วันนี้เจียงเฉิงเยว่ตื่นจากการหลับใหล เขารู้สึกเพียงทั่วร่างถูกกดทับด้วยูเาลูกหนึ่ง ที่ลำคอถูกรัดไว้จนแน่น พร้อมกับที่กระแสความร้อนปะทะปอยผมที่ข้างแก้มของเขาอย่างเป็จังหวะ ช่างทำให้รู้สึกจั๊กจี้ในใจจริงเชียว
เขาหันศีรษะเล็กน้อยไปเห็นใบหน้าที่หลับใหลอย่างสงบสุขของหลี่อวิ๋นหัง ขนตาที่ยาวและงอนนับได้ว่าโดดเด่นอย่างชัดเจน ขาของคนผู้นั้นยังพาดอยู่บนเอวของเขา และท่าทางตอนหลับไม่ได้น่าเกลียดเลย
เจียงเฉิงเยว่กลอกตาโดยไม่พูดจา จากนั้นตำหนิตนเองอย่างลับๆ เขาไตร่ตรองกับตนเองว่าการศึกษาในสามปีมานี้ที่มีต่อเด็กคนนี้มีปัญหาหรือไม่? หรือว่าเอาอกเอาใจมากเกินไปจึงทำให้อีกฝ่ายชินที่จะสร้างปัญหากัน?
แม้ว่าหลี่อวิ๋นหังในวัยสิบเอ็ดปีจะเคยเย่อหยิ่งและยากที่จะจัดการ แต่อย่างน้อยก็ยังมีระเบียบจากการมีสถานะเป็องค์ชายห้า ไม่ว่าจะเดินหรือนั่งล้วนอยู่ในท่าทางที่ถูกต้อง แม้กระทั่งท่านอนยังเป็ไปตามปกติอย่างดี...หลังจากนั้นสามปีกลับถูก ‘ท่วงท่า’ ที่เอ้อระเหยเล็กน้อยซึ่งนำโดยองค์รัชทายาทเสด็จพี่ผู้เกียจคร้านของเขาผู้นี้ ท่านอนกลับกันจากเจียงเฉิงเยว่ ในอดีตเมื่อเจียงเฉิงเยว่เข้านอนจะกลายเป็ปลาหมึกที่เมื่อจับอะไรได้ก็กอดรัดสิ่งนั้น แต่ยามนี้กลับถูกหลี่อวิ๋นหังบังคับให้กลายเป็ท่อนไม้ ถูกอีกฝ่ายกอดไว้ในอ้อมแขนจนต้องนอนเหยียดตรงอย่างมีระเบียบ...เหมือนกันกับลิงหนัง1 ที่ปีนต้นไม้ ทำไมถึงได้ปีนบนร่างของเขาอย่างสบาย ทำไมเล่า...
อย่างไรก็ตาม ท่านอนที่น่าเกลียดช่างมันเถิด อีกฝ่ายยังชอบที่จะแย่งผ้าห่มของเขาเป็พิเศษ! ทุกครั้งที่เจียงเฉิงเยว่นอนห่างมาเล็กน้อยมักจะถูกอีกฝ่ายม้วนผ้าห่มไว้บนร่างเสมอ าาผีผู้น่าสงสารที่เคยสั่นะเืไปทั้งสามโลกต้องกลิ้งไปตามผ้าห่ม ในที่สุดก็พลั้งพลาดเข้าไปในอ้อมแขนของหลี่อวิ๋นหัง หลังจากนั้นเ้าลิงหนังตัวน้อยก็รีบจับเหยื่อของเขาอีกครา...
หากเขายังเป็เด็กน้อยน่ารักอย่างก่อนหน้านี้ทั้งหมดก็พูดง่าย โดยเฉพาะ...ั้แ่อายุสิบเอ็ดถึงสิบสี่ปี...นี่คือ่เวลาที่เด็กหนุ่มจะแตกแขนงออกไปเหมือนกับหน่อไม้ เวลานี้หลี่อวิ๋นหังสูงกว่าเขาครึ่งศีรษะแล้ว ไม่นับร่างกายที่แข็งแกร่งกว่าเขาอยู่ไม่น้อย...คนผู้นี้จะเป็ผู้ใหญ่ในอีกไม่กี่เดือน ทำไมถึงยังเหมือนกับเด็กอายุสิบเอ็ดปีผู้นั้นที่ทุกๆ ่คืนเดือนดับจะนอนอยู่บนเตียงของเขาไม่ยอมไปไหนเลยเล่า?
เจียงเฉิงเยว่ลอบตัดสินใจ หรือว่าควรหาโอกาสพูดกับอาหังอย่างอ้อมๆ? เขาในวัยนี้ยังนอนกับเสด็จพี่อยู่คงจะ...ไม่ค่อยดีเท่าไรกระมัง? ท้ายที่สุดแล้ว่สามปีนี้ นอกจากความสูงที่เพิ่มขึ้นแล้ว การบ่มเพาะกลับรุดหน้าอย่างรวดเร็ว โตขึ้นยิ่งกระฉับกระเฉง พลังหยางแข็งแกร่งยิ่ง ชะตาหยินขั้นสูงสุดมีผลกระทบไม่มากเมื่อเทียบกับวัยเด็ก อีกฝ่ายวาดค่ายกลด้วยตนเองเพื่อป้องกันการบุกรุกของพลังหยินชั่วร้ายใน่คืนเดือนดับซึ่งนับว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่อีกต่อไป
เมื่อปีแรกๆ เขาก็มีความคิดเช่นนี้ รอให้อาหังวาดค่ายกลที่พอจะต่อต้านพลังหยินชั่วร้ายได้ จะได้ไม่ต้องนอนเตียงเดียวกัน ความสามารถอื่นๆ ของคนผู้นี้พัฒนาอย่างรวดเร็ว มีเพียงการวาดค่ายกลสิ่งเดียวที่เป็จุดอ่อน
หลังจากเจียงเฉิงเยว่คิดฟุ้งซ่านอยู่เพียงลำพัง ลมหายใจที่อยู่ใกล้มากของหลี่อวิ๋นหังทำให้หัวใจของเขากระตุกอย่างยากจะทานทน มีอาการปวดและแน่นอย่างเบาบางที่ไหนสักแห่งตั้งตรงแต่เช้าตรู่ ฉับพลันหัวใจเต้นเร็วขึ้น เขาใกับปฏิกิริยาที่ซื่อสัตย์ของร่างกาย อดไม่ได้ที่จะรู้สึกละอายใจอย่างท่วมท้น
ทันใดนั้นใบหน้าชราของฉิงชางจวินร้อนจนเดือด เขารีบคลานออกจากเตียงเป็พัลวันทีละนิดทีละหน่อยภายใต้เงื้อมมือของใครบางคน ทว่าเพิ่งคลานออกไปไม่ถึงครึ่งฉื่อ าามารผู้หนึ่งซึ่งอยู่ในความฝันกลับสังเกตเห็น ขณะเดียวกันก็ใช้แรงที่ฝ่ามือและเท้าลากเขากลับไปอย่างคาดไม่ถึง อีกมือหนึ่งที่ถูกเขาหนุนกลับโอบเขาั้แ่ใต้ซี่โครงไปจนถึงไหล่ ดังนั้นร่างกายของคนทั้งสองจึงแนบชิดกันในทันที ครู่ต่อมาเจียงเฉิงเยว่กลับมีวัตถุแข็งๆ ค้ำที่หลังเอว...
ไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่มีการตอบสนองทางสรีระในตอนเช้าหรือ?
าาผีใจเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง เกือบจะดิ้นรนอย่างสุดชีวิตขึ้นมา ไม่ได้การ! วันนี้จำเป็ต้องบอกกับอีกฝ่ายให้เข้าใจแล้ว! นอนด้วยกันไม่ได้แล้วจริงเชียว! สถานการณ์นี้ไม่สามารถใช้คำว่า ‘อับอาย’ สองคำนี้มาพรรณนาได้อีกต่อไป! หากไม่พูด...สถานการณ์อาจพลิกผันเป็อย่างยิ่ง!!!
“อา...อาหัง...ปล่อยข้า” เจียงเฉิงเยว่ดิ้นรน
“ฮู่...” หลี่อวิ๋นหังที่กึ่งหลับกึ่งตื่นส่งเสียงครวญครางออกมาอย่างไม่พอใจ เสียงเด็กที่ใสและนุ่มนวลถูกแทนที่ด้วยเสียงทุ้มลึกช่างดึงดูด คนผู้นี้ได้เริ่ม่เวลาของการเปลี่ยนแปลงเสียงแล้ว น้ำเสียงที่แหบเล็กน้อยเพราะยังไม่ตื่นเต็มที่...จึงมีเสน่ห์มากจนอาจสังหารคนได้
ฝ่ามือของอีกฝ่ายโอบรอบเจียงเฉิงเยว่ไว้อย่างแ่า พยายามระงับการเคลื่อนไหวของเขา บางส่วนที่อ่อนไหวบนหน้าอกกำลังขยายตัวและหดตัวทุกครั้งที่หายใจเข้า ทั้งยังเสียดสีกับแขนที่โอบหน้าอกของเขาเล็กน้อย กระตุ้นให้ร่างกายเริ่มสั่น ลมหายใจที่อยู่ข้างหูััติ่งหูของเขาแ่เบา เจียงเฉิงเยว่ยากที่จะอดทนกับความทรมานนี้อีกต่อไปจึงพยายามดึงข้อมือเหล็กคู่นั้นออก หูข้างหนึ่งกับลำคอเหมือนจะเผาไหม้ขึ้นมา ถูกลวกจนตัวสั่น
“ปล่อยข้า! ข้า ข้าจะไปห้องน้ำ!!!” เจียงเฉิงเยว่พูดเสียงต่ำ เร่งรีบที่จะหลุดออกจากมือคู่นั้นซึ่งราวกับปลาที่ลื่นไหล จากนั้นหยิบชุดคลุมที่อยู่ด้านข้างลวกๆ หลบหนีออกจากห้องโดยที่ยังจัดเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย
ท้องฟ้ายังไม่สว่างเต็มที่ อากาศในตอนเช้าเย็นลงเล็กน้อย ทว่าเขากลับเดินไปทั่วลานใต้อาคารอยู่เป็เวลานาน รอให้อากาศทำให้ทั้งร่างที่ร้อนรุ่มเย็นลงถึงจะกล้ากลับไป
เขายกมือขึ้นมากดหน้าอก การเต้นของหัวใจของตนเองจึงสงบลง พลันรู้สึกหงุดหงิดจนอยากตาย ฉิงชางจวินไม่มีวิธีที่จะเพิกเฉยต่อความจริงที่ตนเองถูกเด็กหนุ่มที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะผู้หนึ่งกระตุ้นอารมณ์...เขาไม่มีหนทางที่จะเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายชั่วขณะ นอกจากความรู้สึกผิดเต็มหัวใจ เขาไม่มีวิธีที่จะปฏิเสธเด็กหนุ่มรูปงามนามว่าหลี่อวิ๋นหังผู้นั้น สำหรับเขาแล้วทุกท่วงท่าที่ปกติธรรมดา ล้วนแต่มีเสน่ห์และความยั่วยวนทั้งสิ้น
อายุเกือบสองร้อยปี นี่เป็ครั้งแรกที่เขาได้ัักับบางอย่างที่เรียกว่ากวางน้อยะโไปทั่ว2 อะไรที่เรียกว่าตาพร่า สิ่งใดที่เรียกว่าจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว โดยเฉพาะ...อีกฝ่ายไม่ใช่แค่ผู้เยาว์ แต่ยังเป็น้องชายแท้ๆ ของร่างกายนี้ด้วย! หลี่อวิ๋นหังนับว่าเขาเป็เสด็จพี่ที่ไว้ใจที่สุด...์ เจียงเฉิงเยว่ เ้าเป็เช่นนี้ยังเป็คนอยู่หรือเปล่า?!
“อา...” เขายกมือทั้งสองตบใบหน้าของตนเองเบาๆ จากนั้นรวบรวมความกล้า รอไม่ได้อีกต่อไปแล้ว วันนี้จำเป็ต้องพูดกับอีกฝ่ายให้ชัดเจน ว่าั้แ่คืนเดือนดับครั้งหน้าเป็ต้นไปไม่อาจนอนร่วมเตียงกันได้ อย่างไรก็ตาม เจียงเฉิงเยว่กลับนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ ทั้งร่างพลันนิ่งค้าง เขารีบกลับไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อผลักประตูห้องเข้าไปกลับเห็นหลี่อวิ๋นหังลุกขึ้นแล้ว อีกฝ่ายสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย กำลังคาดเข็มขัด หลังจากเห็นเขากลับมาก็ทำเพียงเหลือบมองอย่างเฉยเมยแวบหนึ่ง
เจียงเฉิงเยว่ใ ถามด้วยความลำบากใจเล็กน้อย “วันนี้ตื่นเช้าเช่นนี้...เสด็จพี่เสียงดังจนเ้าตื่นหรือไม่?”
หลี่อวิ๋นหังส่ายศีรษะอย่างเฉยเมย “อาจารย์บอกว่าั้แ่วันนี้เป็ต้นไปจะมีการอบรมเพิ่มเติม...ท่านไปไหนมา?”
มุมปากของเจียงเฉิงเยว่กระตุก เขาอยู่ข้างนอกเป็เวลานานเช่นนี้ ข้ออ้างที่บอกว่าไปเข้าห้องน้ำคงไม่เชื่อกระมัง? เขาทำได้เพียงพูดไปเรื่อย “เมื่อครู่...เมื่อครู่ข้าฝันร้ายเลยไม่อยากนอนแล้ว จึงลงไปเดินเล่นใต้อาคารสักพัก...”
หลี่อวิ๋นหังยังคงรัดเข็มขัดด้วยตนเอง เสื้อผ้าที่อีกฝ่ายสวมใส่ในวันนี้นอกจากผ้าคาดเอวแล้วยังประดับด้วยพู่ของราชวงศ์ ซึ่งจำเป็ต้องผูกด้วยปมที่ซับซ้อนบริเวณด้านหลัง จากนั้นหมุนมาด้านหน้าแล้วใช้ตะขอของเข็มขัดหยกเกี่ยวเอาไว้ แม้ว่าจะดูดีแต่กลับยุ่งยากยามสวมใส่ เวลานี้อีกฝ่ายเอามือทั้งสองอ้อมด้านหลังเป็เวลานานกลับไม่สำเร็จ จึงขมวดคิ้วเผยความหงุดหงิดขึ้นมา
เจียงเฉิงเยว่มองเขาอย่างขบขัน จากนั้นเดินไปพลางพูดด้วยน้ำเสียงตามใจอยู่หลายส่วน “ทำไมโตขนาดนี้แล้วยังใส่เสื้อผ้าดีๆ ไม่ได้...” ขณะที่พูดก็หยิบพู่ของราชวงศ์จากฝ่ามือนั้น เริ่มหมุนนิ้วอย่างคล่องแคล่ว ดึงผ้าคาดเอวเบาๆ เพื่อส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายเดินไปข้างหน้า ทว่าหลี่อวิ๋นหังกลับไม่ขยับ
เจียงเฉิงเยว่จึงมองอย่างละเอียด กลับเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงเหยียบบนหน้ารองเท้าหุ้มส้นของตนเองด้วยเท้าเปล่า สถานการณ์นี้จึงยากที่จะเคลื่อนไหวโดยธรรมชาติ ด้านหลังตำแหน่งที่ยืนอยู่คือฉากกั้นที่งดงาม และเขาก็พันไม่ถึงด้านหลังของอีกฝ่าย จึงทำได้เพียงเอามือทั้งสองข้างโอบรอบเอวคอดบางอย่างไม่มีทางเลือก ก่อนใช้มือคลำหาเงื่อนอย่างมองไม่เห็น...ท่าทางการผูกเช่นนี้ลำบากอย่างช่วยไม่ได้ องค์รัชทายาทไม่ประสบความสำเร็จอยู่เป็เวลานาน ดังนั้นทั้งสองจึงยืนในท่าทางที่คล้ายกับการโอบกอดอยู่ชั่วเวลาหนึ่ง
หลี่อวิ๋นหังไม่รู้ว่ารอไม่ไหวหรือไม่ จึงเอามือทั้งสองอ้อมไปด้านหลังแล้วกระซิบเสียงแ่ “ให้ข้าทำเอง...” เพราะอยู่ใกล้เกินไป เมื่ออีกฝ่ายขยับริมฝีปากอ่อนนุ่มเกือบจะััโหนกแก้มของเจียงเฉิงเยว่ เขารู้สึกถึงความร้อนจากริมฝีปากนั้นอย่างชัดเจน ฝ่ามือที่อยู่ด้านหลังถูกฝ่ามือของอีกฝ่ายกอบกุมเอาไว้ หลังปลายนิ้วัั หัวใจของเจียงเฉิงเยว่กลับเต้นไม่เป็จังหวะ เขาใจนปล่อยมือทันที พู่ของราชวงศ์ร่วงหล่นจากฝ่ามือของทั้งสองคนลงไปบนพื้น
เจียงเฉิงเยว่ถอยหลังไปก้าวใหญ่ทันทีราวกับถูกกัด
หลี่อวิ๋นหังเบะปากเล็กน้อยอย่างไม่พอใจ งุนงงอยู่หลายส่วน ขณะที่พูดเขาก้มลงเก็บพู่ของราชวงศ์จากพื้นขึ้นมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “เสด็จพี่...ท่านเป็อะไรหรือเปล่า?”
“ไม่...” เจียงเฉิงเยว่กัดริมฝีปาก ตัดสินใจอย่างลับๆ ว่าั้แ่ตอนนี้เป็ต้นไปต้องรักษาระยะห่างที่เหมาะสมจากเด็กคนนี้ หากความคิดเล็กน้อยนี้ของตนเองถูกมองออกแม้แต่นิดเดียว...เขาคงละอายใจจนอยากตายเสียให้ได้!
หลี่อวิ๋นหังพยายามอย่างรอบคอบอยู่หลายครั้ง ในที่สุดก็สวมมันได้สำเร็จ เขาประดับบนตะขอเข็มขัดหยก จากนั้นหันกลับไปนั่งบนเตียงแล้วใส่ถุงเท้ารองเท้าอย่างจดจ่อ
เจียงเฉิงเยว่มองเขาอยู่นาน จากนั้นหายใจเข้าลึกๆ แล้วถาม “อาหัง...วันนี้คือ...วันที่ห้าใช่หรือไม่?”
ขณะที่หลี่อวิ๋นหังเอาเท้าเหยียบเข้าไปในรองเท้าหุ้มส้นโดยไม่เงยหน้าขึ้น “โอ้? ข้าจำวันที่ไม่ได้...คงใช่...”
เจียงเฉิงเยว่ทำได้เพียงกลืนคำพูดที่เขา้าจะบอกอย่างเงียบงัน
เดิมทีพวกเขาตกลงกันใน่เจ็ดวันก่อนและหลังคืนเดือนดับ คืนเดือนดับวันแรกของทุกเดือน กล่าวได้ว่าคืนวันที่สี่ของทุกเดือนเป็ต้นไปหลี่อวิ๋นหังไม่จำเป็ต้องนอนกับเขาอีกต่อไปแล้ว...แต่อีกฝ่ายกลับมานอนที่นี่อีกคืนหนึ่ง บางทีอาจไม่ได้คำนวณเลยลืมจริงจัง เจียงเฉิงเยว่จึงไม่สามารถพูดอะไรได้นัก
รอให้หลี่อวิ๋นหังสวมเรียบร้อย ลุกขึ้นเพื่อไปห้องของตนเอง ขณะเดียวกันเขากลับกำชับเจียงเฉิงเยว่ด้วยท่าทางปกติ “วันนี้ท่านไม่ได้มีธุระอะไร นอนอีกสักหน่อยเถิด”
“เอ่อ...” เจียงเฉิงเยว่ยังไม่ทันพูดอะไร หลี่อวิ๋นหังเปิดประตูแล้วหันกลับมายิ้มให้เขา พลางยืดตัวอย่างเกียจคร้าน “เช่นนั้นข้าไปอาบน้ำก่อน”
จนกระทั่งเงาร่างหายไปเป็เวลานาน เจียงเฉิงเยว่จมจ่อมในรอยยิ้มที่เผยให้เขาเมื่อยามรุ่งอรุณนั้น ซึ่งรูปลักษณ์นั้นโจมตีตนเอง...
“อา...” เขากุมหัวใจดวงน้อยๆ รู้สึกว่ามันบ้าคลั่งมากอย่างควบคุมไม่ได้ “ไม่ได้การแล้ว ไม่ได้การแล้ว!” เขานั่งลงบนเตียงของตนเองอย่างหนักหน่วง หลังจากนั้นห่อด้วยผ้าห่มแล้วกลิ้งไปบนเตียง ้านอนต่อตามที่หลี่อวิ๋นหังกำชับ ทว่าเตียงกับผ้าห่มทั้งหมดเคยอยู่บนร่างของคนผู้นั้นที่อยู่ในวิหารเยว่หลาน ซึ่งปะปนด้วยกลิ่นหอมของสาลี่กับผลเซียนอวี๋3 กลิ่นแรกนั้นให้ความรู้สึกเคร่งขรึมหนักแน่น เมื่อได้ดอมดมอีกครั้งกลับพาความเย็นซึ่งต่อต้านผู้คนพันลี้ ส่งผ่านมาด้วยความหวานที่ไม่เหมือนสิ่งใด...กลิ่นหอมที่คลุมเครืออย่างใกล้ชิดนี้มักเย้ายวนให้จับต้องโดยไม่รู้ตัว หลังจากยอมแพ้ที่ไม่ได้อะไรกลับมา เขายังคงอ้อยอิ่งจับผ้าห่มอยู่ที่ปลายจมูก คล้ายกับมีทั้งความสับสนและการปลอบโยน...ในที่สุดเจียงเฉิงเยว่ก็ถูกทรมานจนหายง่วงเป็ปลิดทิ้ง เขาลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิบนเตียงอย่างไม่ยี่หร่ะ...มักจะรู้สึกว่า...เหมือนว่าจะลืมเื่สำคัญอะไรไปหรือไม่กัน?
.............................
สุดท้ายแล้วเจียงเฉิงเยว่ไม่ได้นอนต่อ เขาลุกขึ้นเพื่อเริ่มการฝึกฝนของวัน แม้ว่าในสามปีนี้เขาจะไม่ขยันเหมือนศิษย์คนอื่น แต่จะบอกว่ากราบเข้าสู่สำนักที่อยู่ภายใต้ราชครูเพื่อฝึกฝนก็ไม่ใช่เื่ที่เพียงพูดไปอย่างนั้น การบ่มเพาะขององค์รัชทายาทที่มีสถานะการฝึกฝนธรรมดามีความก้าวหน้าอย่างมากเช่นเดียวกัน
หลี่อวิ๋นหัยิ่งมาถึง่เวลาของขั้นตอนการเลื่อนขั้นแล้ว อาจารย์ของเขากลับไม่ได้หลบซ่อน ให้ยาวิเศษขั้นปราณทองแก่เขา ทุกวันจะเรียกเขามาพบตัวต่อตัวเพื่อ ‘ชี้แนะ’”
อาจารย์ยุ่งอยู่กับการสอนศิษย์ส่วนตัว ศิษย์ที่เหลือจึงผ่อนคลายจากปกติอยู่เล็กน้อย ถึงอย่างนั้น ผู้คนในวิหารหลิงเซียวล้วนขยันหมั่นเพียร จึงไม่กล้ากระทำการแอบอู้ แน่นอนว่าในที่นี้มีข้อยกเว้น...นั่นคือองค์รัชทายาทที่ ‘ทรงพระประชวร’ อยู่
่เวลาเที่ยง เมื่อเจียงเฉิงเยว่หันไปมองยังทางเดินดอกไม้ก็พบหลี่อวิ๋นหังออกมาจากวิหารเยว่หลานซึ่งเป็ที่อยู่ของอาจารย์โดยบังเอิญ ทั้งสองคนเข้าหากัน เด็กหนุ่มตรงหน้าโตขึ้นมีรูปร่างสูงโปร่ง ชุดคลุมบางเบาพร้อมเข็มขัดหลวม แขนเสื้อกว้างย่นเล็กน้อย ขณะที่เคลื่อนไหวชายเสื้อพลิ้วไหวไปมา ราวกับเซียนที่มาพร้อมกับสายลม
เจียงเฉิงเยว่หยุดลมหายใจอีกครั้ง...หลังจากรู้สึกตัวก็แสร้งกระแอมอย่างเขินอายเพื่อปกปิดท่าทีชั่วขณะของตนเอง เขากลับมามีท่าทางยิ้มแย้มอย่างผ่อนคลายอีกครั้งพลางเอ่ยเรียก “อาหัง...” เรียกจบก็หลุบสายตาลง มองเห็นตะขอหยกขาวลายัจำศีลที่ประณีตแผ่นนั้นบริเวณเอวของอีกฝ่าย นึกถึงความลำบากใจในตอนเช้าขึ้นมาอีกครั้งอย่างอธิบายไม่ได้ ใบหน้าจึงแดงทันที
ทันใดนั้น หลี่อวิ๋นหังเดินมาหยุดยืนตรงหน้าเขาอย่างสุขุม “เสด็จพี่”
เจียงเฉิงเยว่เงยหน้ามอง กำลังคิดจะถามเขาว่าจะไปรับประทานอาหารหรือไม่ บังเอิญเห็นกลีบดอกไม้ที่เป็ลอนม้วนกลีบหนึ่งร่วงลงระหว่างเส้นผมที่ราวกับแพรต่วน จึงยกมือขึ้นเพื่อจะปัดให้โดยธรรมชาติ เมื่อยกฝ่ามือขึ้นได้ครึ่งทาง ทันใดนั้นกลับนึกขึ้นได้ว่าตนตัดสินใจอย่างลับๆ ในตอนเช้าแล้วว่าจะรักษาระยะห่างที่แน่นอน หลังคิดได้ว่าการกระทำนี้ใกล้ชิดเกินไปจึงหยุดไปทั้งอย่างนั้น หดมือกลับเตือนเขาด้วยรอยยิ้ม “บนศีรษะมีกลีบดอกไม้ติดอยู่”
หลี่อวิ๋นหังตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นยกมือปัด เขาััที่เส้นผมเป็เวลานานก็ยังหาไม่เจอ “ตรงไหน?”
เจียงเฉิงเยว่ยิ้มพลางชี้ “ขึ้นไปอีกหน่อย...”
หลังจากนั้น หลี่อวิ๋นหังหันมาทางเขาเล็กน้อยแล้วเอียงศีรษะอย่างตรงไปตรงมา ไม่ได้พูดอะไรทว่าความหมายกลับชัดเจนยิ่ง
เจียงเฉิงเยว่ทำได้เพียงกัดฟันพร้อมยื่นมือไปปัดให้ เขากำลังจะหยิบออกมา ฝ่ามือที่กำลังหยิบกลีบดอกไม้อยู่กลับถูกหลี่อวิ๋นหังจับไว้อย่างแ่า เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึง ้าจะเก็บมือกลับมาตามสัญชาตญาณ ทว่าถูกจับไว้แน่นขึ้น
มือขาวนวลทั้งสองข้างวางซ้อนกัน หลี่อวิ๋นหังรูปร่างสูงกว่าหน่อย ฝ่ามือจึงใหญ่กว่าเขาอยู่เล็กน้อย อีกฝ่ายกอบกุมมือของเขาอย่างอบอุ่น มองกลีบดอกไม้สีม่วงอมชมพูกลีบนั้นที่เขาจับไว้เบาๆ ด้วยปลายนิ้ว เริ่มย้อนความทรงจำอย่างจริงจัง “น่าจะเป็เมื่อครู่ที่เดินอยู่ใต้ต้นจื่อเวย4 อยู่พักหนึ่งจึงติดกลับมา” ขณะที่พูดก็พองแก้มอย่างเด็กๆ และเป่าแ่เบา กลีบดอกจื่อเวยบนปลายนิ้วของเจียงเฉิงเยว่จึงหล่นลงมา หลี่อวิ๋นหังระบายยิ้มในทันทีพร้อมสบตา
ดวงตาทั้งสี่สบกัน ดวงตาที่สวยงามของหลี่อวิ๋นหังคู่นั้นเมื่อแรกพบยังเย็นะเืราวกับน้ำแข็ง ่เวลานี้กลับนุ่มนวลและอ่อนโยนราวกับสายน้ำ ไม่นานนัก เจียงเฉิงเยว่รู้สึกว่าตนเองกำลังจะจมน้ำตายด้วยแววตาคู่นั้น...เขารีบร้อนดึงมือกลับ ทว่าหลี่อวิ๋นหังกลับไม่ปล่อย ่เวลาที่ยื้อยุดฉุดกระชาก ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายเกิดความสนใจที่จะเล่นกับเขา จู่ๆ กลับออกแรง เจียงเฉิงเยว่จึงแทบจะล้มลงไปในอ้อมแขนนั้น
หลี่อวิ๋นหังกล่าว “เสด็จพี่...”
เจียงเฉิงเยว่แทบไม่ได้ยินอะไรนอกจากเสียงหัวใจของตนที่เต้นรัวราวกับรัวกลอง ใช้เวลานานถึงค่อยตอบสนองขึ้นมา “อืม หืม?”
หลี่อวิ๋นหังถามอย่างจริงจัง “ท่านเป็อะไรไป? เมื่อเช้านี้ตื่นขึ้นมาก็เห็นท่านสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว...หรือว่าจะป่วยกัน?” ขณะที่พูดเขาเอนตัวมาลูบบนหน้าผากตน
เจียงเฉิงเยว่แข็งทื่อไปทั้งร่าง
หลี่อวิ๋นหังยกฝ่ามือกลับพลางเบะปากด้วยความสังสัย “ไม่ได้เป็ไข้...” จากนั้นนำมือของเขาที่ถูกตนเองจับเปลี่ยนมาจับไว้ด้วยสองมือ เจียงเฉิงเยว่รู้สึกถึงพลังิญญาเล็กน้อยในร่างของอีกฝ่ายที่บุกรุกเข้ามาภายในร่างทันที ซึ่งกำลังจะตรวจสอบเขา
เจียงเฉิงเยว่ออกแรงดึงมือกลับอย่างเสียท่าที
หลี่อวิ๋นหังจึงคว้าอากาศในทันใด มีความประหลาดใจเล็กน้อย สีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็เรียบนิ่ง
อีกฝ่ายกำลังจ้องมองมา
เจียงเฉิงเยว่หลุบตาลง อายุราวสิบสี่ปีเช่นนี้...ความไร้เดียงสากับความเยือกเย็นของอีกฝ่ายช่างโหดร้ายนัก
กล่าวกันตามตรงแล้ว ฉิงชางจวินใน่ร้อยกว่าปีได้พบเด็กหนุ่มสาววัยเช่นนี้ไม่น้อย ที่ใช้เวลาด้วยกันมากก็มีไม่น้อยทีเดียว ในจำนวนนี้ถึงกันมีพันธะกับเขามาก ผู้ที่มีความรู้สึกไม่ธรรมดากับเขามีชัดเจน ยิ่งกว่านั้นคือกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่าชอบเขา...ทว่าไม่มีใครในนั้นที่เหมือนกับหลี่อวิ๋นหังซึ่งเป็ข้อยกเว้นเท่ายามนี้
เขารู้สึกเหมือนว่าตนเองเปลี่ยนไปเมื่ออยู่กับหลี่อวิ๋นหัง อีกฝ่ายที่อายุสิบปีก็เหมือนกับเมื่อก่อน ไม่สิ ถึงขั้นมีความเยือกเย็นและสุขุมมากกว่าเด็กแปลกๆ คนก่อนหน้านี้ เขาที่อายุเกือบสองร้อยปีกำลังจะกลายเป็หนุ่มวัยแรกรุ่น เอาแต่กังวลถึงสิ่งที่จะได้และความสูญเสียของตนเอง รู้สึกเพียงว่าเมื่ออยู่กับอีกฝ่ายแล้วช่างหอมหวานและทรมาน...
ท้ายที่สุดแล้วข้าเป็อะไรไป?! เขาคำรามอยู่ในใจไม่หยุด จากนั้นกลับรู้สึกสิ้นหวังเล็กน้อย คงไม่ใช่ว่าตกอยู่ในกำมือของเด็กน้อยผู้หนึ่งไปทั้งแบบนี้หรอกกระมัง?! เช่นนั้นก็ขายหน้าเสียแล้ว!
เจียงเฉิงเยว่หายใจเข้าลึกๆ โบกมือไล่อารมณ์ที่ยุ่งเหยิงภายในใจ มองอีกฝ่ายอีกครั้งพร้อมยิ้มเยือกเย็น “อาหัง...มีบางเื่ที่เสด็จพี่้าคุยกับเ้า เ้า...ไม่ต้องคิดมาก...”
ถูกต้อง เพียงเพราะเด็กน้อยโตขึ้นจึงควรหลีกเลี่ยงที่จะทำในสิ่งที่ก่อให้เกิดความสงสัย แม้ว่าจะเป็เพศเดียวกัน ทั้งยังเป็พี่น้อง เขาไม่สามารถเกิดความคิดที่น่ารังเกียจเช่นนั้นกับเด็กหนุ่มบริสุทธิ์ผู้หนึ่งได้...
เมื่อคิดถึงตรงนี้เขาพูดอีกครั้ง “อาหัง ยามนี้เ้าโตแล้ว การบ่มเพาะก็พัฒนาขึ้นไม่น้อย ทุกเดือนใน่คืนเดือนดับไม่จำเป็ต้อง...”
“เสด็จพี่...” อย่างไรก็ตามเขายังไม่ทันพูดจบ หลี่อวิ๋นหังเอ่ยขัดจังหวะ จากนั้นมองข้ามศีรษะของเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมไปทางด้านหลัง
เจียงเฉิงเยว่รู้สึกแปลกใจ ก่อนได้ยินเสียงของขันทีที่คุ้นเคยจากด้านหลังดังแว่วมาอย่างร้อนใจ “ฝ่าา! ฝ่าา ท่านอยู่ที่นี่ ทาสชราตามหาแทบแย่...”
เจียงเฉิงเยว่หันศีรษะไปเห็นขันทีร่างใหญ่ในชุดสีม่วงถือชายเสื้อวิ่งมาอย่างรีบร้อนตามทางเล็กๆ บนฝ่ามือขวากำลังถือจดหมายไว้ฉบับหนึ่ง ขันทีหยุดยืนตรงหน้าของเจียงเฉิงเยว่พลางรีบร้อนยกสองมือทำความเคารพ แล้วค้อมตัวเพื่อยื่นให้เบื้องหน้าก่อนกล่าว “ฝ่าา...รายงานด่วนจากโซ่วหลิงขอรับ”
เจียงเฉิงเยว่รับมาด้วยความสงสัย จากนั้นเปิดออก เมื่อกวาดสายตาอ่านคร่าวๆ สีหน้าพลันเคร่งขรึมทันใด
หลี่อวิ๋นหังถาม “เสด็จพี่...เป็อย่างไร?”
เจียงเฉิงเยว่เก็บจดหมายอย่างเงียบๆ เขาถอนหายใจเล็กน้อยแล้วบอก “เสด็จพ่อทรงพระประชวรหนัก...จึงเรียกหาข้า...ให้พวกเรากลับไปรับใช้... “
หลี่อวิ๋นหังขมวดคิ้ว
เจียงเฉิงเยว่มอง “อาหัง...เช่นนั้นเ้า...กลับไปด้วยกันกับข้าดีหรือไม่?”
หลี่อวิ๋นหังพยักหน้าอย่างหนักแน่น
------------------------
[1] ลิงหนัง หมายถึง ชื่อเล่นสำหรับใช้เรียกคนที่มีรูปร่างผอม
[2] กวางน้อยะโไปทั่ว เป็สำนวน หมายถึง กระสับกระส่าย
[3] ผลเซียนอวี๋ หมายถึง คอร์เนเลียน เชอร์รี
[4] ต้นจื่อเวย หมายถึง ดอกยี่เข่ง
