ป้าจ้าวผู้เจนจัดรีบทำทีเป็ห่วงเป็ใยหลิ่วจิ้งก้าวเข้าไปหานางสองก้าว คำนับพลางเอ่ยว่า “ฮูหยินท่านฟื้นแล้วหรือเ้าคะฟื้นก็ดีแล้วเ้าค่ะ ท่านรู้หรือไม่ว่าเมื่อครู่นี้ท่านหมดสติที่สระบัวทำเอาพวกเราตกอกใกันแทบแย่ พวกเราจึงได้มารออยู่ที่นี่ ภาวนาให้ฮูหยินรีบๆฟื้นขึ้นมานะเ้าคะ”
หลิ่วจิ้งฟังป้าจ้าวพูดจบก็ต้องกลอกตาขาวอยู่ในใจปั้น ปั้นเข้าไป เ้าปั้นเื่ไปเถิด มีผู้ใดเคยเห็นองค์หญิงที่สามารถอยู่รอดมาจนโตในวังหลวงมองเื่นี้ไม่ออกบ้าง
แม้จะบอกว่านางมิใช่องค์หญิงจริงๆ แต่นางก็เติบโตมาในจวนราชครูในวังหลวงเรือนใหญ่โตใดบ้างที่ไม่มีเื่โสมมชนิดเหยียบหัวผู้อื่นให้ตนเองได้สูงขึ้นไปแม้นางจะไม่เป็ฝ่ายวางแผนทำร้ายผู้อื่นแต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางไม่เข้าใจเล่ห์เหลี่ยมเหล่านี้ หาไม่แล้วนางก็คงไม่ไปเข้าตาหวงฝู่จิ้งและได้มาแต่งงานแทนในแคว้นชางอี้
พอหลิ่วจิ้งนึกถึงจวนราชครูของตนก็พลันหมดอารมณ์จะทำสิ่งใดต่อนางกวาดตามองทุกคนที่ห้อมล้อมอยู่หน้าประตูเรือนรอบหนึ่ง บอกกับพวกนางว่า“พวกเ้าจงกลับไปบอกกล่าวกับฮูหยินของพวกเ้าแต่ละคนว่าข้าขอบคุณในความเป็ห่วงของพวกนางหากทุกคนไม่มีเื่ใดแล้วก็แยกย้ายกันไปเถิด ท่านแม่ทัพกำลังหารือกับท่านแม่ทัพอาเหมิ่งต๋าอยู่ในห้องข้าคิดว่าอีกสักพักก็คงยังไม่ออกมากระมังแต่นี่ก็เป็เพียงสิ่งที่ข้าคาดเดาเท่านั้น หากอยากจะอยู่รอท่านแม่ทัพต่อก็ตามใจ”
หลิ่วจิ้งพูดจบก็บอกกับอิ๋งเหอว่า“ข้าหิวแล้ว ไปดูกับข้าหน่อยว่ามีอะไรกินบ้าง”จากนั้นก็พาอิ๋งเหอเดินไปทางห้องครัวหลัง
อวี้จิ่นเห็นดังนั้นก็รีบตามไป ส่วนคนที่เหลือแม้คิดจะอยู่รอฟังการตัดสินใจของท่านแม่ทัพแต่ก็คิดว่าไม่มีเหตุผลใดจะใช้อ้างให้อยู่ต่อได้ แม้ไม่ยอมใจแต่ไม่ไปก็ไม่ได้
ท้ายที่สุดก็เป็ป้าจ้าวที่เห็นว่าตัวเองออกมานานแล้วเกรงว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะมีเื่เรียกหา จึงได้กลับไปเป็คนแรก
เมื่อป้าจ้าวกลับไปแล้วอาหนูก็ชะเง้อคอดูในห้องอีกหน แต่กลับไม่ได้ยินเสียงใด จึงได้แต่เรียกจื่อเซียวกลับไปที่เรือนด้วยกันแม้ไม่อยากไปก็ตาม
บัดนี้คนของแต่ละเรือนที่พากันตามความวุ่นวายมาที่หน้าเรือนหลักในทีแรกและภายหลังที่อยากรู้เื่ที่ท่านแม่ทัพบอกว่าจะแต่งงาน ที่กลับได้ก็กลับ ที่แยกได้ก็แยกทันใดนั้นในลานบ้านก็ไม่เหลือคนอีก
ส่วนสาเหตุที่ในห้องเงียบงันเหลือเกินก็เป็เพราะอาเหมิ่งต๋าขุ่นเคืองใจจึงเอาแต่นิ่งเงียบไม่สนใจหั่วอี้ฝ่ายหั่วอี้ก็หาได้สนใจว่าอาเหมิ่งต๋าจะรู้สึกอย่างไร เพราะยามนี้มีเพียงท่าทีแสนฉลาดเฉลียวและซุกซนของหลิ่วจิ้งหมุนวนไปมาอยู่ในหัวเขายังคงนึกถึงเท้าดั่งหยกงามของหลิ่วจิ้งที่ได้เห็นเมื่อครู่ ในใจกระวนกระวายรู้สึกว่าควรจะได้เข้าห้องหอกับองค์หญิงอย่างเป็ทางการเสียทีแล้วกระมัง
อาเหมิ่งต๋านั่งโกรธอยู่คนเดียวสักพักเมื่อเห็นว่าหั่วอี้หาได้สนใจตนไม่ ทั้งยังไม่รู้ว่าใจลอยนั่งคิดเื่ใดไปแล้วเขาจึงลุกพรวดพราดขึ้นมาอย่างมีน้ำโห เดินออกไปข้างนอกโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมาระหว่างนั้นก็เอ่ยทิ้งท้ายไว้ว่า “พี่ใหญ่ หากท่านจะแต่งกับองค์หญิงต้าเว่ยนั่นจริงๆท่านเชื่อหรือไม่ว่าข้าจะถล่มงานนี้ให้เละเลย”พูดจบเขาก็สะบัดมือผลักประตูเปิดเต็มแรงและออกจากจวนไปทันที
แม้หลิ่วจิ้งจะอ้างว่าหิวจึงเดินไปที่ห้องครัวหลังเพื่อให้พ้นจากสายตาของทุกคนแต่พอมาถึงที่หมายแล้วก็กลับไม่มีอารมณ์จะไปหาของกิน นางเอ่ยกับอิ๋งเหอและอวี้จิ่นที่ตามมาข้างหลังว่า“อิ๋งเหอเ้าเดินตามข้าไปดูรอบๆ หน่อย ส่วนอวี้จิ่นเ้าไปหาของกินเตรียมไว้ อีกประเดี๋ยวข้าจะกลับไปกิน”
อวี้จิ่นย่อตัวคำนับหลิ่วจิ้งตอบไปว่า “เ้าค่ะฮูหยิน ข้าจะไปดูที่ห้องครัวหลัง” ก่อนจะหันหลังจากไป
ท่าทีที่เปลี่ยนไปของอวี้จิ่นทำให้หลิ่วจิ้งต้องหยุดเดินนางหันมองตามหลังอวี้จิ่นด้วยใบหน้าฉงนสงสัย รู้สึกว่าวันนี้อวี้จิ่นมีบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิม
หลิ่วจิ้งพาอิ๋งเหอค่อยๆเดินไปบนทางเดินที่ปูด้วยกรวดไข่ห่านทรงหัวใจรู้สึกถึงความแหลมและมนลื่นแผ่ซ่านขึ้นมาจากใต้ฝ่าเท้า หมู่ดาวแน่นขนัดในยามค่ำคืนเคลื่อนไปพร้อมกับพวกนางดั่งเงาตามตัวแสงจันทร์ใสเย็นถักทอกับแสงโคมที่ส่องประสานตามรายทางคอยส่องสว่างหนทางข้างหน้าให้แก่พวกนาง
แม้หลิ่วจิ้งจะเข้ามาอยู่ในจวนแม่ทัพหลายวันแล้วแต่นางกลับยังไม่เคยเดินชมสวนดอกไม้หลังจวนแม่ทัพให้ดีๆ เลยสักครา
เื่ในวันนี้ทำให้นางอยากละวางการใส่ร้ายป้ายสีแสนรำคาญใจเ่าั้ลงชั่วคราวนางรู้สึกว่าระยะนี้แรงใจของตนอ่อนล้าจนถึงที่สุด นางจำเป็ต้องผ่อนคลายเสียบ้างหาไม่แล้วสายพิณที่ขึงจนดึงเกินไปคงได้ขาดลง
จู่ๆ หลิ่วจิ้งก็หยุดเดิน นางพบว่าที่ซุ้มดอกไม้รูปวงรีเบื้องหน้าตนมีดอกไม้เล็กๆหลากสีสันที่นางไม่รู้จักเกาะอยู่เต็มไปหมด ข้างกันนั้นมีโต๊ะกลมตัวหนึ่งจัดวางอยู่ และมีเก้าอี้สำหรับนอนเอนหลังวางอยู่สองแถวไว้รอบโต๊ะ
“ที่นี่งามจริงๆ ข้างหน้ามีเก้าอี้อยู่ด้วยฮูหยินจะไปนั่งพักสักหน่อยหรือไม่เ้าคะ?” อิ๋งเหอก็พบทิวทัศน์งดงามตรงหน้าเช่นกัน จึงอดเอ่ยออกมาอย่างตื่นเต้นมิได้
หลิ่วจิ้งพยักหน้าให้อิ๋งเหอ อิ๋งเหอจึงวิ่งไปที่เก้าอี้เอนหลังตัวนั้นรอให้หลิ่วจิ้งเดินตามมา
ว่ากันตามจริงแล้วเวลานี้อิ๋งเหอก็เป็เพียงสาวน้อยวัยสิบห้าปีคนหนึ่งยังคงมีความไร้เดียงสาของเด็กเล็กอยู่และเป็่วัยที่รักสนุก
จนเมื่อหลิ่วจิ้งเดินมาถึงข้างซุ้มดอกไม้กลับพบว่าข้างหน้าทางซ้ายของซุ้มดอกไม้ยังมีชิงช้าอยู่ตัวหนึ่งเสาชิงช้าทำเป็รูปครึ่งวงกลม บนเสาชิงช้ายังมีดอกไม้หลากหลายชนิดประดับอยู่ด้วย ส่วนข้างๆชิงช้าก็มีโต๊ะกลมวางอยู่ตัวหนึ่ง คิดว่าจัดวางไว้เพื่อให้คนที่มาโล้ชิงช้าได้ดื่มน้ำกินของว่างยามพักผ่อนกระมังดูไปแล้วชิงช้าตัวนี้คล้ายว่ามีคนบรรจงจัดแต่งอย่างประณีต
หลิ่วจิ้งจึงเดินผ่านเก้าอี้เอนหลังและตรงไปยังชิงช้าที่ว่างเปล่าข้างหน้านั้นแสงจันทร์นวลอ่อนสาดส่องลงมาครอบคลุมทั่วพื้น
“โอ้โห ชิงช้าตัวนี้งดงามนักฮูหยินสายตาเฉียบคมจริงๆ บ่าวยังไม่ทันเห็นเลยเ้าค่ะ” อิ๋งเหอที่เดินตามหลิ่วจิ้งมาเพิ่งจะเห็นว่าข้างหน้ายังมีชิงช้าอยู่ตัวหนึ่งก็อดอุทานขึ้นมาไม่ได้
หลิ่วจิ้งเอื้อมมือออกไปทดสอบความแข็งแรงของมันก่อนนั่งลงบนชิงช้าตัวนั้นถีบเท้าไปหน้าทีหลังทีโยกชิงช้าไปมา พลางคิดในใจว่าไม่รู้ผู้ใดในจวนเป็คนออกแบบที่พักผ่อนหย่อนใจแห่งนี้คนผู้นี้ช่างรู้จักหาความสุขเสียจริง
เมื่อเงยหน้ามองหมู่ดาวเต็มฟ้า นางก็พลันคิดเื่มากมายจนไม่อาจจัดระเบียบความคิดของตนได้ชั่วขณะหลายวันมานี้ราวกับนางกำลังฝันอยู่ จู่ๆ ก็ต้องมาพบเจอเื่ราวตั้งมากมายจนจิตใจเกือบถึงจุดที่ทนรับไม่ไหว
“อิ๋งเหอ เ้าก็มานั่งพักสักหน่อยเถิด”หลิ่วจิ้งรู้ว่าการเป็สาวใช้ที่ต้องคอยติดตามอยู่รอบกายนางมิใช่เื่ง่าย การติดตามคนมาใหม่ก็มักถูกคนเก่ากดดันบีบคั้นด้วยเหตุนี้เมื่อเห็นว่าอิ๋งเหอกำลังจะไปไกวชิงช้าให้ หลิ่วจิ้งจึงยับยั้งนางเอาไว้
“ขอบคุณฮูหยินที่เมตตาแต่บ่าวไม่นั่งหรอกเ้าค่ะ แค่ยืนก็พอแล้ว” แม้ฮูหยินจะเมตตานางมากแต่อิ๋งเหอก็รู้ว่าตนมิควรอาจเอื้อม หาไม่แล้วหากถูกฮูหยินผู้เฒ่ารู้เข้า แม้แต่ฮูหยินก็ยังไม่อาจปกป้องนางได้
หลิ่วจิ้งเห็นดังนั้นและนางก็รู้กฎเกณฑ์ในเรือนใหญ่โตดีจึงไม่ฝืนใจอิ๋งเหออีก อย่างไรเสียในจวนแม่ทัพยามนี้นางไม่เพียงตัดสินอะไรไม่ได้แม้แต่ตัวนางเองก็ยังต้องคอยระวังไปแทบทุกเื่เช่นกัน
“อิ๋งเหอ เ้าเล่าเื่ที่รู้มาในวันนี้ให้ข้าฟังหน่อยข้าอยากรู้ว่าในจวนเกิดเื่ใดขึ้นบ้างตอนที่ข้าไม่รู้สึกตัว”
_____________________________