ทันใดนั้นเอง เสียงอุทานของซีเยว่ก็พลันดังขึ้นในห้วงความคิดของมู่เฟิง
“เยว่เอ๋อร์ เ้าตื่นแล้ว”
มู่เฟิงเอ่ยขึ้นด้วยความดีใจ
“ที่นี่คือที่ใดกัน เหตุใดจึงมีพลังแห่งสะเก็ดดาวได้?”
ซีเยว่ถามด้วยความสงสัย
“ที่นี่คือหอคอยเทียนอวิ่นที่ตั้งอยู่ภายในสำนักศึกษาเทียนอวิ่น พลังแห่งสะเก็ดดาวที่เ้าพูดถึงคือพลังอะไรอย่างนั้นหรือ?”
มู่เฟิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“พลังแห่งสะเก็ดดาวก็คือพลังของดวงดาวบนท้องฟ้า แต่เมื่อมันตกสู่ผิวโลกโลกและหลอมรวมเข้ากับสนามแม่เหล็ก มันก็ถูกเรียกว่าพลังแห่งสะเก็ดดาวแทน และพลังนี้สามารถช่วยผู้ฝึกยุทธ์ในการฝึกฝนวรยุทธ์ได้ ทว่าการที่สถานที่แห่งนี้มีพลังแห่งสะเก็ดดาวเข้มข้น ก็เห็นได้ชัดว่าสะเก็ดดาวนี้เป็ชิ้นส่วนที่มาจากแกนกลางของดวงดาว นับว่าเป็ของดีเลยทีเดียว”
ซีเยว่อธิบาย
“แกนกลางของดวงดาวหรือ"
มู่เฟิงไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งนี้มากเท่าไรนัก
“พี่เฟิง เหตุใดเราถึงไม่ฝึกฝนกันที่ชั้นนี้ล่ะขอรับ”
ไป๋จื่อเยว่ปาดเหงื่อออกจากหน้าผากก่อนจะเอ่ยถาม เขาไม่้าที่จะขึ้นไปยังชั้นต่อไปอีกแล้ว
“เฟิง เราฝึกกันที่ชั้นนี้เถอะ ส่วนของชั้นห้าเป็พื้นที่ฝึกของพวกศิษย์สายในน่ะ”
ว่านเอ๋อร์กล่าวเสริมขึ้นอีกคน
“เอาละ เช่นนั้นพวกเราก็ฝึกกันที่ชั้นนี้เถอะ”
มู่เฟิงพยักหน้าก่อนจะเดินนำทุกคนไปยังสถานที่โล่งกว้าง
“หนุ่มน้อย เด็กสาวผู้นี้ก็คือว่านเอ๋อร์ สตรีของเ้าผู้นั้นหรือ?”
ซีเยว่เอ่ยถามขึ้นในทันที
“อืม หึๆ สวยใช่หรือไม่”
มู่เฟิงส่งเสียงผ่านกระแสจิตหาอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ
แต่คาดไม่ถึงว่าซีเยว่จะไม่ตอบกลับ ทั้งยังไม่สนใจจะพูดคุยกับเขาอีก
“สตรีนี่ช่างแปลกยิ่งนัก”
เมื่อเห็นซีเยว่เงียบไปอีกครั้ง มู่เฟิงก็พึมพำกับตัวเอง
หลังจากที่คนทั้งสี่เดินมาได้ระยะหนึ่งแล้ว พวกเขาก็มองหาที่นั่ง ก่อนจะนั่งลงตรงมุมหนึ่ง มู่เฟิงนำยาเม็ดโลหิตขั้นสองออกมาและกลืนเข้าไป จากนั้นเขาก็เริ่มโคจรพลังปราณพร้อมกับดูดซับกลิ่นอายของพลังฟ้าดินทันที
พลังฟ้าดินค่อยๆ หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของมู่เฟิง และเพียงไม่นานพลังเ่าั้ก็ถูกกลั่นให้เป็พลังปราณอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหลั่งไหลเข้าสู่มวลคลื่นพลังที่อยู่ภายในจุดตันเถียน
หลังจากกลืนที่เขาเม็ดยาโลหิตลงไปแล้ว กระแสพลังปราณก็ไหลเวียนไปทั่วร่าง
เพียงไม่นานมู่เฟิงก็พบว่าความสามารถในการกลั่นพลังปราณของตนนั้นรวดเร็วกว่าตอนที่อยู่ด้านนอกอย่างมาก พลังแห่งสะเก็ดดาวที่ถูกดูดซับเข้ามาภายในร่างกายของเขาช่วยให้เขาสามารถกลั่นพลังปราณได้เร็วขึ้นจริงๆ
ระยะเวลาในการฝึกหนึ่งชั่วโมงในที่แห่งนี้สามารถเทียบได้กับการกลั่นพลังสองชั่วโมงที่โลกภายนอก และด้วยพลังฟ้าดินที่เข้มข้นอย่างมากนี้ ก็ทำให้ผลของการฝึกในหนึ่งวันเทียบได้กับเวลาภายนอกสามวันเลยทีเดียว
แน่นอนว่าการเข้ามาในนี้ ผู้ฝึกยุทธ์จะต้องฝึกแข่งกับเวลา เพราะพวกเขาจำต้องใช้คะแนนหนึ่งร้อยคะแนนเพื่อแลกกับเวลาหนึ่งวันในการฝึกฝนในที่แห่งนี้
ในเวลาเดียวกัน ณ ลานกว้างแห่งหนึ่งที่ถูกจัดเอาไว้อย่างงดงามภายในของหุบเขาเทียนอวิ่น
เงาร่างของหนานหลิงในชุดคลุมสีขาวกำลังเคลื่อนไหวร่างกายอย่างพลิ้วไหวอยู่ภายในลานฝึก ยามนี้เขากำลังปะทะกับชายหนุ่มอีกคน โดยที่ด้านข้างก็มีซั่งกวานเชียนจื้อที่เหลือแขนเพียงข้างเดียวกับเหล่าสมาชิกของสมาคมเป่ยอ๋องอีกสองสามคนกำลังเฝ้ามองอยู่
ร่างกายของหนานหลิงถูกห่อหุ่มไว้ด้วยพลังกังชี่สีขาว เมื่อเขาตบฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา พลังชีวิตสีขาวก็พลันก่อตัวขึ้นเป็ฝ่ามือน้ำแข็งขนาดใหญ่ และฝ่ามือนี้ก็ตบไปทางชายหนุ่มในชุดสีน้ำเงินผู้นั้นอย่างรวดเร็ว
ฝ่ามือนี้ถูกอัดแน่นไว้ด้วยพลังอันเย็นะเืที่แผ่คลื่นความเย็นจัดออกมารอบๆ
สีหน้าของชายหนุ่มในชุดคลุมสีน้ำเงินผู้นั้นพลันเปลี่ยนไป เขาปล่อยเปลวเพลิงให้โหมกระหน่ำออกมาจากฝ่ามือทันที และฝ่ามือเปลวเพลิงนี้ก็พุ่งเข้าหาฝ่ามือน้ำแข็งนั้นอย่างรวดเร็ว
เปรี้ยง...!
โดยไม่ทันคาดคิด ฝ่ามือน้ำแข็งขนาดใหญ่ก็พุ่งทำลายฝ่ามือเปลวเพลิงได้ในทันที อานุภาพความแข็งแกร่งของมันเป็สิ่งที่น่าตกตะลึงเป็อย่างยิ่ง
ปัง!
ฝ่ามือน้ำแข็งของหนานหลิงพุ่งโจมตีใส่ชายหนุ่มผู้นั้นต่อในทันที เมื่ออีกฝ่ายถูกฝ่ามือนี้กระแทกร่าง เขาก็พ่นเืออกมาจากปากก่อนที่จะปลิวกระเด็นไปไกล
ชายหนุ่มผู้หนึ่งรีบนำผ้ามามอบให้กับหนานหลิงอย่างว่องไว หนานหลิงรับผ้านั้นมาก่อนจะใช้มันซับเหงื่อที่ผุดขึ้นบริเวณหน้าผาก
“ฝ่าา ท่านต้องล้างแค้นให้กระหม่อมนะพ่ะย่ะค่ะ”
ซั่งกวานเชียนจื้อกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยที่แฝงไว้ด้วยความเคียดแค้น มู่เฟิงผู้นั้นทำให้เขาต้องเสียแขนไปข้างหนึ่ง
เมื่อมองไปทางซั่งกวานเชียนจื้อ ั์ตาของหนานหลิงก็พลันเปลี่ยนเป็เ็า เวลานี้ชื่อของมู่เฟิงเป็สิ่งต้องห้ามสำหรับเขา
สายตาที่จ้องมองมาอย่างเ็านั้นทำให้หัวใจของซั่งกวานเชียนจื้อสั่นสะท้าน เขารีบหดคอหนีอย่างรวดเร็ว
“มู่เฟิง...หนิงหย่วน ่นี้เ้าเด็กบ้านั่นมีการเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง เ้าได้ส่งคนไปจับตาดูเขาไว้หรือไม่?”
หนานหลิงเอ่ยถาม
หนิงหย่วนคือชายหนุ่มที่ส่งผ้าให้กับเขาก่อนหน้านี้ อีกฝ่ายตอบด้วยความเคารพว่า “เ้าเด็กนั่นก่อเื่ขึ้นนิดหน่อยพ่ะย่ะค่ะ เมื่อวานเขาปะทะกับกลุ่มบัณฑิตของอาณาจักรเทียนเฟิง นึกไม่ถึงว่าเขาจะสามารถเอาชนะศิษย์สายในผู้หนึ่งที่ชื่อเฉินจื้อได้ เื่นี้ทำให้ผู้คนพากันประหลาดใจไม่น้อย และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าเขาจะกำลังฝึกฝนอยู่ในหอคอยเทียนอวิ่นพ่ะย่ะค่ะ จริงสิ อวิ๋นชิงว่านเองก็ติดตามไปด้วยพะยะค่ะ”
“หอคอยเทียนอวิ่น พวกเขาไปเอาคะแนนมากมายมาจากที่ใดกัน แล้วเ้าเด็กนั่นแข็งแกร่งถึงขั้นสามารถเอาชนะศิษย์สายในได้เชียวหรือ!”
เมื่อได้ฟังคำรายงาน หนานหลิงก็รู้สึกคาดไม่ถึงขึ้นมาทันที กระทั่งซั่งหวานเชียนจื้อเองก็ยังนึกประหลาดใจ
ศิษย์สายในนั้นมีสถานะเช่นไรอย่างนั้นหรือ แน่นอนพวกเขาล้วนเป็บัณฑิตที่บรรลุวรยุทธ์ระดับหนิงกังไปแล้ว
มู่เฟิงสามารถเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ระดับหนิงกังได้! เด็กหนุ่มผู้นี้แข็งแกร่งมากถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
“กระหม่อมได้ตรวจสอบมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ เฉินจื้อผู้นั้นเพิ่งบรรลุวรยุทธ์ระดับหนิงกังได้ไม่นาน ไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งอะไรมากนักพ่ะย่ะค่ะ”
หนิงหย่วนกล่าวรายงานเพิ่มเติม
“แม้จะเป็เพียงผู้ฝึกยุทธ์ระดับหนิงกังธรรมดา แต่การที่เ้าสัตว์ประหลาดน้อยผู้นั้นสามารถเอาชนะเขาได้ก็แสดงให้เห็นว่าพร์ของเขานั้นไม่ธรรมดา สมแล้วที่บิดาข้าให้ความสำคัญกับเขามาก เยี่ยงนั้นข้าก็ยิ่งจะต้องกำจัดเขาให้ได้”
หนานหลิงกล่าวออกมาโดยไม่บังเจตนาที่้าจะสังหารแม้แต่น้อย “จับตาดูเขาเอาไว้ให้ดี เมื่อใดที่เ้าเด็กนั่นหรือคนตระกูลมู่ออกไปทำภารกิจให้รีบมารายงานข้าในทันที”
“รับทราบพ่ะย่ะค่ะ!”
หนิงหย่วนรับคำด้วยความนอบน้อม
“มู่เฟิง การมายังสำนักศึกษาเทียนอวิ่นจะกลายเป็การตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุดของเ้า ส่วนอวิ๋นชิงว่าน ในเมื่อเ้ากล้าทำเช่นนี้กับข้า สักวันหนึ่ง ข้าจะทำให้เ้าต้องเสียใจไปตลอดชีวิต!”
หนานหลิงกำหมัดแน่น ดวงตาของเขาทอประกายวาวโรจน์ มันเต็มไปด้วยความคิดชั่วร้ายอยู่ภายใน
เขาจะไม่มีวันปล่อยมือจากเื่นี้ โดยเฉพาะมู่เฟิง เขาจะต้องกำจัดอีกฝ่ายทิ้งให้ได้
วันเวลาล่วงเลยผ่านไปวันแล้ววันเล่า เพียงพริบตาเดียว เวลาก็ผ่านพ้นไปถึงครึ่งเดือนแล้ว
พวกมู่เฟิงต่างก็ฝึกฝนอยู่ในหอคอยเทียนอวิ่นเป็เวลาครึ่งเดือนแล้ว
คะแนนที่พวกเขาได้รับมาจากโรงพนันครั้งก่อน เพียงพอให้พวกเขาสามารถฝึกฝนอยู่ภายในหอคอยเทียนอวิ่นได้ในระยะเวลาหนึ่ง
เวลานี้มวลคลื่นพลังลูกที่แปดภายในร่างกายของมู่เฟิงถูกบรรจุพลังปราณเอาไว้จนเต็มเปี่ยม และรูปร่างของมวลคลื่นพลังลูกที่เก้าก็กำลังจะก่อตัวขึ้นเช่นกัน ทำให้เขาสามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตของเทียนเว่ยระดับสูงได้สำเร็จ ดังนั้นเวลานี้เขาจึงเริ่มกลั่นพลังชีวิตให้กลายเป็พลังกังชี่ได้แล้ว!
วรยุทธ์ระดับหนิงกังและระดับจื่อฝู่นั้นมีความต่างกันหลักๆ อยู่สองประการ
พลังชีวิตของวรยุทธ์ระดับหนิงกังจะมีคุณสมบัติเฉพาะตัวที่ต่างกัน ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้จะมาจากคุณสมบัติของพลังกังชี่ภายในร่างกาย
ร่างกายของมนุษย์นั้นมีการแบ่งธาตุออกเป็ธาตุทองคำ ธาตุไม้ ธาตุน้ำ ธาตุไฟและธาตุดิน ซึ่งจากคุณสมบัติของธาตุเหล่านี้ทำให้ร่างกายของผู้ฝึกยุทธ์แต่ละคนมีความถนัดเน้นไปที่ธาตุใดธาตุหนึ่งต่างกัน
วรยุทธ์ระดับหนิงกังจะสามารถควบแน่นพลังชีวิตออกมาได้ หลังจากควบแน่นพลังชีวิตได้แล้วก็จะสามารถกลั่นพลังกังชี่ที่มีคุณสมบัติเฉพาะตัวขึ้นมาภายในร่างกาย เมื่อถึงเวลานั้นพลังกังชี่กับพลังชีวิตก็จะหลอมรวมเข้าด้วยกัน และพลังชีวิตที่มีคุณสมบัติเฉพาะตัวนี้หากถูกสำแดงออกมาก็จะะเิเป็พลังอันแข็งแกร่ง
โดยปกติแล้ว พลังกังชี่จะถูกแบ่งออกเป็ธาตุทองคำ ธาตุไม้ ธาตุน้ำ ธาตุไฟและธาตุดิน แต่นอกเหนือจากนี้แล้วยังมีพลังกังชี่ที่มีคุณสมบัติพิเศษอื่นๆ อีก อาทิเช่น ธาตุสายฟ้า ธาตุลมหรือธาตุน้ำแข็ง เป็ต้น โดยผู้ฝึกยุทธ์จะสามารถเลือกคุณสมบัติเฉพาะของพลังกังชี่ที่จะกลั่นออกมาจากร่างกายของตัวเองได้ นอกจากนี้ยังสามารถดูดซับพลังกังชี่จากภายนอกได้อีกด้วย
พลังกังชี่นั้นมีคุณลักษณะที่เด่นและด้อยแตกต่างกันไป ยิ่งพลังกังชี่แข็งแกร่งมากเท่าไร หลังจากได้หลอมรวมเข้ากับพลังชีวิตแล้ว พลังที่หลอมรวมออกมาก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งจะถูกเรียกว่าพลังหยวนกัง
แน่นอนว่าพลังกังชี่ที่สามารถดูดซับได้จากภายนอกนั้นเป็สิ่งที่หาได้ยาก แม้จะมีการซื้อขาย แต่ราคาของมันก็ทำเอาผู้คนต้องตกตะลึง นอกจากนี้การดูดซับพลังกังชี่จากภายนอกยังถือเป็เื่อันตรายอีกด้วย ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงนิยมกลั่นธาตุพลังของพลังกังชี่ออกมาด้วยตัวเองมากกว่า
เพียงแต่มู่เฟิงยังไปไม่ถึงขั้นนั้น ต้องรอให้เขาสามารถบรรลุวรยุทธ์ระดับหนิงกังให้ได้เสียก่อน
หลังจากฝึกฝนอยู่ที่นี่มาเป็เวลาหนึ่งเดือน อีกเพียงก้าวเดียวมู่เฟิงก็จะสามารถควบแน่นมวลคลื่นพลังลูกที่เก้าออกมาได้สำเร็จแล้ว
แต่ในระหว่างขั้นตอนสุดท้ายนั้น คะแนนภายในบัตรผลึกสีน้ำเงินของเขากลับหมดเสียก่อน ดังนั้นเขาจึงถูกผู้ดูแลเรียกลงมาจากหอคอยเทียนอวิ่น
ทางด้านไป๋จื่อเยว่ ว่านเอ๋อร์และมู่ขวงเองก็ถูกเรียกลงมาเช่นกัน
“พี่เฟิง ดูเหมือนว่าเราจะต้องหาวิธีในการหาคะแนนให้ได้มากกว่านี้แล้ว”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้