พอคำพูดนี้หลุดออกมา ทุกคนต่างตะลึงพรึงเพริด
"แซ่เซวีย?" ซีมู่เซียงพึมพำเบาๆ
หมายความว่ารับสือโถวเป็น้องชาย?
ซีมู่เซียงหันไปมองสือโถวซึ่งตื่นตะลึงไม่แพ้กันด้วยสายตางุนงง
"ต้าเหนียงจื่อหมายความว่า..."
อูหลันฮวากำลังแทะคอไก่ ได้ยินคำพูดนี้ถึงก็เกือบสำลัก
"ความหมายคือให้เขามาเป็น้องชายข้า" เซวียเสี่ยวหรั่นทอยิ้มมองสือโถวน้อย
เด็กคนนี้อายุสิบเอ็ดปี ไม่โตเกินไปไม่เด็กเกินไป รู้ความสามารถดูแลตนเองได้ โชคชะตาอาภัพ แต่กลับยืนหยัดไม่ย่อท้อ
แม้ชีวิตจะลำบากแสนเข็ญ แต่แววตาของเขากลับไม่เปลี่ยนเป็คับแค้นเหี้ยมเกรียม
อุปนิสัยหวาดระแวงอยู่บ้าง ไม่ค่อยพูดจาหรือยิ้มแย้ม สัญชาตญาณป้องกันตัวสูงยิ่ง
แน่นอนว่าเป็เื่ปรกติมาก เขาอยู่ตัวคนเดียวมานาน หากไม่มีสัญชาตญาณป้องกันตัวก็อาจไม่รอดชีวิตมาถึงทุกวันนี้
ความพยายามดิ้นรนเอาตัวรอดในป่าเพียงลำพังทั้งที่ยังอายุน้อยแค่นี้ ทำให้เธอรู้สึกะเืใจ
หลังจากผ่านวันเวลาที่ใช้ชีวิตในป่ามาแล้ว เธอก็รู้ว่าการยืนหยัดด้วยตนเองในสถานที่ห่างไกลผู้คนลำบากยากเข็ญเพียงใด
นอกจากนี้เธอก็มีแผนจะหาน้องชายมาเป็เสาหลักค้ำจุนครอบครัวอยู่แล้ว
เขามาแจ้งข่าวโดยไม่หวั่นเกรงต่ออันตราย ทั้งยังสนิทชิดเชื้อกับอาเหลย และคนที่เคยให้ความช่วยเหลืออย่างซีมู่เซียงกับอูหลันฮวา แต่ละเื่ที่เกิดขึ้นล้วนพิสูจน์แล้วว่าเด็กคนนี้มีจิตใจบริสุทธิ์ รู้สำนึกและตอบแทนบุญคุณ
หากได้เขามาเป็น้องชาย เซวียเสี่ยวหรั่นก็รู้สึกว่าเป็เื่ที่ไม่เลวเลย
สายตาสามคู่ต่างมองมาที่นางด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ
"ตะ... ต้าเหนียงจื่อ เหตุใดท่านถึงอยากรับสือโถวมาเป็น้องชายเล่า" อูหลันฮวากลืนอาหารในปากลงท้องก่อนเอ่ยถาม
"เพราะข้าขาดน้องชายอยู่พอดี" เซวียเสี่ยวหรั่นไม่สะดวกอธิบายว่ากำลังหาน้องชายเพื่อสร้างครอบครัวให้แก่ตนเอง
"บ้านท่านไม่มีน้องชายร่วมอุทรเลยหรือ" ซีมู่เซียงซักต่อ
"อื้อ ที่นี่ไม่มี" เซวียเสี่ยวหรั่นได้แต่ตอบไปแบบคลุมเครือ "แฮ่ม สือโถว เ้าใคร่ครวญดูเถอะ หากใช้แซ่เซวียตามข้า ต่อไปเ้าก็คือน้องชายของข้า สิ้นเดือนนี้พวกเราจะเดินทางไปเมืองชางตาน อืม ก็อีกแค่ไม่กี่วันแล้ว เ้าไตร่ตรองให้ดีว่าจะไปกับพวกเราหรือไม่"
"อ้อ หลันฮวากับอาเหลยก็เดินทางไปด้วย มีคนรู้จักมักคุ้นอยู่ด้วย เ้าไม่ต้องกลัว" เซวียเสี่ยวหรั่นกล่าวเสริมอีกประโยค หลังจากนั้นก็คีบน่องไก่ให้เขา "กินข้าวก่อน ยังมีเวลาตรึกตรอง ไม่ต้องรีบร้อน"
พอได้ยินเธอเตือนสติ อูหลันฮวาพลันรู้สึกว่าถ้าสือโถวกลายมาเป็น้องชายนายหญิงก็ไม่เลว อย่างน้อยต่อไปเขาก็จะได้กินอิ่มท้อง และถ้ามีคนคุ้นเคยร่วมทางก็จะยิ่งดีมาก
"สือโถว เ้ารับปากเถอะ พวกเราจะได้เดินทางไปชางตานพร้อมกัน ที่นั่นคือเมืองหลวงของแคว้นหลีเชียวนะ หากพลาดโอกาสนี้ บางทีชั่วชีวิตนี้พวกเราอาจไม่ได้ไปเมืองใหญ่ที่เจริญรุ่งเรืองเช่นนั้นอีกเลยก็ได้"
อูหลันฮวาเริ่มเกลี้ยกล่อมชักนำสือโถว
สือโถวกลับยังคงลังเลสับสนอยู่
ซีมู่เซียงกระตุกแขนเสื้ออูหลันฮวากระซิบเตือน "อย่างไรเสียสือโถวก็ดวงแข็งเกินไป"
"แล้วอย่างไร ก็แค่ข่าวลือส่งเดชเท่านั้นเอง ข้าไม่เชื่อหรอก" อูหลันฮวาตบบ่าของสือโถวพูดอย่างใจกว้าง "เมื่อก่อนตอนบิดามารดาข้าตาย ก็มีคนบอกว่าข้าดวงแข็งเกินไป เหตุใดไม่เห็นพิฆาตคนน่ารังเกียจเ่าั้จนตายบ้างเล่า"
ซีมู่เซียงอึ้งไปชั่วขณะ ปัญหาที่อีกฝ่ายเอ่ยถึงเคยมีอยู่จริง
หลังจากสองสามีภรรยาอูต้าซานล่วงลับไปแล้ว ในหมู่บ้านก็มีข่าวลือว่าอูหลันฮวาดวงแข็ง พิฆาตบิดามารดา
ตอนนั้นอูต้าฟางไม่อยากรับเลี้ยงอูหลันฮวา แต่เขาละโมบอยากได้บ้านและที่ดินของครอบครัวน้องชาย หากไม่รับเลี้ยงดูหลานสาว ก็ไม่อาจยึดครองบ้านและที่ดินเป็ของตน จึงต้องรับอูหลันฮวามาอยู่ที่บ้านของตนเองภายใต้ความจำใจ
หลายปีผ่านไป ครอบครัวนั้นก็ยังอยู่ดี
"ข้าไม่เชื่อเื่พวกนี้" เซวียเสี่ยวหรั่นโบกมือ เมื่อนางกล้าเอ่ย ย่อมไม่ใส่ใจเื่เหล่านี้อยู่แล้ว "สือโถว อย่าวิตก เ้าใคร่ครวญให้ดีว่าอยากตามพวกเราไปหรือไม่ อย่างอื่นล้วนไม่เป็ปัญหา"
"กินข้าวก่อนๆ " เซวียเสี่ยวหรั่นคีบเนื้อให้ทุกคนต่อ "กินคือเื่ใหญ่ เื่อื่นเอาไว้ทีหลัง"
อูหลันฮวาชอบฟังคำนี้ที่สุด นางยิ้มพลางคีบเนื้อเข้าปากอย่างสุขใจ
สือโถวเริ่มก้มหน้าก้มตากิน แต่ดูท่าทางใจลอยอย่างเห็นได้ชัด จมูกใกล้จะปักลงไปในชามข้าวอยู่แล้วก็ยังไม่รู้สึกตัว
กลิ่นกับข้าวหอมยั่วยวนก็ไม่อาจรั้งสมาธิของเขาไว้ได้
ภายในเรือนคนเยอะเสียงดัง เหลียนเซวียนได้ยินเนื้อหาที่สนทนากันไม่ชัดเจนนัก
รอกระทั่งส่งแขกกลับแล้ว ก็เก็บจานชาม
ดวงตะวันเริ่มคล้อยไปทางตะวันตก
เซวียเสี่ยวหรั่นอาศัย่ที่ว่างเข้าไปคุยกับเหลียนเซวียนเื่สือโถว
เหลียนเซวียนตกตะลึง จดจ้องนางด้วยแววตาสงบนิ่งดุจน้ำบ่อลึก
ทำเอาเซวียเสี่ยวหรั่นขนลุกเกรียวไปทั่วแผ่นหลัง
"มีอะไร ไม่ได้รึ"
เหลียนเซวียนวางมือบนโต๊ะ เคาะนิ้วเบาๆ อย่างใช้ความคิด
"ท่าน... ไม่ให้ข้ารับน้องชายหรือ ทำไมล่ะ"
เขาไม่ถามเื่สือโถว แต่กลับถามเื่ที่เธอจะรับน้องชาย เซวียเสี่ยวหรั่นเลยรู้สึกใจไม่ดี
มักรู้สึกว่าเหมือนเขาจะจับสังเกตบางอย่างได้
"เอ้อ ข้าก็แค่รู้สึกว่าเด็กคนนี้ชะตาอาภัพ ชีวิตลำบากยากเข็ญ ก็เลยอยากช่วยเหลือ อีกอย่างก็นับว่าเขามีบุญคุณกับพวกเรา" เซวียเสี่ยวหรั่นเบี่ยงเบนประเด็นกลับมาที่ตัวสือโถว
เหลียนเซวียนยังคงเคาะโต๊ะครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่เหมือนเดิม
"เ้าบอกว่าภายหน้าจะกลับบ้านมิใช่หรือ หรือเ้าจะพาเขากลับไปด้วย"
"อ้อ ใช่แล้ว พากลับไปด้วยกันก็ได้" เซวียเสี่ยวหรั่นเม้มริมฝีปาก
หากกลับไปได้จริงๆ ก็ดีสิ แต่ว่าน่าเสียดาย...
เมื่อกลับบ้านที่แท้จริงไม่ได้ ก็ต้องสร้างครอบครัวใหม่ขึ้นมา เช่นนี้ก็ไม่นับว่าหลอกลวงเขา เซวียเสี่ยวหรั่นยืดเอวและหลังให้ตรง
สมองของเหลียนเซวียนแล่นไปอย่างรวดเร็ว ใคร่ครวญว่าหมากก้าวต่อไปของนางมีจุดประสงค์ใดกันแน่
หญิงสาวผู้นี้บางครั้งก็ลื่นไหลเหมือนปลาหนีชิว
"ท่านคิดว่าสือโถวไม่ดีพอ" เซวียเสี่ยวหรั่นถลึงตาใส่ "หรือเชื่อข่าวลือเหลวไหลเื่ดวงพิฆาตบ้าบออะไรนั่น"
เธอรู้สึกว่าเขาไม่น่าจะสนใจเื่เหล่านี้ด้วยซ้ำ เขาเป็คนทะนงตนไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ข่าวลือไม่มีมูลจากปากชาวบ้านเหล่านี้จะอยู่ในสายตาเขาได้อย่างไร
เหลียนเซวียนส่ายหน้า "ข่าวลือเื่ดวงพิฆาตบุพการีของสือโถวน่าจะมีคนจงใจปล่อยข่าว อาจเกี่ยวข้องกับชาติกำเนิดของเขา"
เซวียเสี่ยวหรั่นเบิกตากว้าง "ใครกันช่างโเี้นัก ถึงกับปล่อยข่าวเหลวไหลทำลายชีวิตคน สือโถวก็ยังเด็กขนาดนั้น"
"ก็พูดยาก ชาติกำเนิดของเขาคงจะมีปัญหา" เหลียนเซวียนไม่เก็บมาใส่ใจ เล่ห์กลพรรค์นี้ในคฤหาสน์ตระกูลใหญ่ใช่ว่ามีน้อยเสียที่ไหน
"หา?" เซวียเสี่ยวหรั่นอึ้งไปชั่วขณะ "พูดเช่นนี้ข้าก็ไม่อาจรับเขาเป็น้องชายน่ะสิ ใช่หรือไม่"
กว่าเธอจะเจอเด็กที่เหมาะสมไม่ง่าย จะให้แล้วไปอย่างนี้หรือ
เหลียนเซวียนกลับหัวเราะ ยกมือเท้าคางมองนางอย่างหยอกเย้า "อยากได้เขามาเป็น้องชายขนาดนี้เชียวรึ"
"อื้อ ข้ารู้สึกว่าเขาไม่เลวเลย" เซวียเสี่ยวหรั่นพยักหน้าตอบอย่างซื่อๆ
เหลียนเซวียนมองนางครู่ใหญ่ ถึงตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "ข้าจะลองช่วยเ้าดูก็แล้วกัน"
