เหยียนชิงตอบกลับอิ้งหลีว่าเขาต้องปรับตัวไปตามสถานการณ์ ขอให้เขาระวังตัวให้มากขึ้น หากไม่มั่นใจก็ไม่ควรเสี่ยง
แต่สิ่งที่เหยียนชิงไม่รู้ก็คือ ในยามที่พวกเขากังวลว่าตี้จวินจะไม่สามารถปกป้องอิ้งหลีได้นั้น อิ้งหลีได้ถือครองตราประทับราชครูของฮ่องเต้ที่เคยอยู่กับท่านราชครูเฒ่าและได้ถือครองตราประทับฮองเฮา[1] ที่ถูกเก็บอยู่ในห้องบรรทมของเซียนตี้ตี้โฮ่ว[2] ไว้ได้อย่างเป็ทางการแล้ว
ยามค่ำคืน ณ พระราชวัง
“ทูลตี้จวิน ท่านราชครูและองค์ชายใหญ่มาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ตำหนักตงหวา ในห้องบรรทมตี้จวิน หยางเหิงแสดงความเคารพต่อผู้ที่กำลังเอนกายอยู่บนเบาะที่นุ่มนวล
เฟิงจิ้งอี้นั่งอยู่บนพระที่นั่งเก้าอี้ตัวนุ่ม มือหนึ่งยกขึ้นวางเท้าคางไปกับโต๊ะอีกมือจับหนังสือเปิดอ่านอย่างจริงจัง เมื่อได้ยินเช่นนี้จึงเงยหน้าขึ้นมาอย่างเกียจคร้าน “อืม”
หยางเหิงก้าวถอยหลังออกไป ไม่นานอิ้งหลีและเฟิงฉางหลินที่อยู่ในชุดคลุมสีดำก็เดินเข้าพร้อมกัน
“คารวะตี้จวิน”
“คารวะเสด็จพ่อ”
เฟิงจิ้งอี้วางหนังสือลงแล้วโบกมือไปทางพวกเขา “ไม่ต้องพิธีรีตอง”
แคว้นเทียนซูชื่นชมสีดำ[3] โดยเฉพาะผู้ที่เข้ามาในพระราชวังควรแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อย ฉลองพระองค์ของฮ่องเต้เป็ผ้าสีดำลายเมฆาล้อั เครื่องแต่งกายส่วนใหญ่เป็สีดำมีลายเมฆสีทอง ถือเป็กฎเกณฑ์ที่เคร่งครัดอย่างยิ่ง
เครื่องแต่งกายเต็มยศจะเป็เสื้อคลุมผ้าไหมสีดำขอบทอง ทำให้ดูสง่างามและเคร่งขรึม
มีเพียงองค์ชายองค์หญิงที่ยังเยาว์วัยและเหล่านางสนมเท่านั้น ที่สามารถแต่งกายหลากสีได้
หลังจากมีความตั้งใจจะแต่งตั้งเฟิงฉางหลินเป็เซ่อเจิ้งอ๋องแล้ว ยามที่เฟิงจิ้งอี้ขึ้นว่าราชกิจจึงรับสั่งให้เขาติดตามตนอย่างใกล้ชิด แน่นอนว่าต้องสวมเครื่องแต่งกายเต็มยศ ส่วนอิ้งหลี-ที่เดิมไม่ต้องเข้าร่วมการว่าราชกิจทางการเมืองนั้น หลังจากได้รับตราประทับราชครูของฮ่องเต้มาแล้ว เขาจึงต้องเข้าร่วมการว่าราชกิจทุกวัน ดังนั้นเครื่องแต่งกายที่เคยเรียบง่ายและสง่างามตามปกติจึงเปลี่ยนเป็เครื่องแต่งกายเต็มยศที่ดูเคร่งขรึม
ผมยาวเป็ระเบียบภายใต้เครื่องประดับหัว อิ้งหลีที่อยู่ในชุดผ้าไหมลายเมฆาสีดำขอบทองให้อารมณ์ที่ห้าวหาญทำให้เขาดูเข้มงวดและทรงปัญญา ใบหน้าหล่อเหลาดูสง่างามมากขึ้นเรื่อย ๆ เฟิงจิ้งอี้ชอบรูปลักษณ์ของอิ้งหลีในเครื่องแต่งกายเต็มยศเช่นนี้มาก
ในขณะอิ้งหลีกำลังฝนหมึก เฟิงฉางหลินนำฎีกาที่ไม่สามารถตัดสินใจได้ของวันนี้ขึ้นมาจัดเตรียมไว้ ก้มศีรษะเล็กน้อยแล้วนั่งรอ
เฟิงจิ้งอี้หยิบฎีกาขึ้นมาเริ่มอ่านไปทีละม้วน อ่านไปพูดไป เมื่ออ่านจบก็พูดเจตจำนงและการตัดสินใจของตนเองจบเช่นเดียวกัน เก็บฎีกาม้วนสุดท้ายพร้อมกับส่งรอยยิ้มบาง ๆ ให้กับผู้ฟัง
“สิ่งที่เจิ้นบอกไป หลินเอ๋อร์เข้าใจหรือไม่? มีข้อสงสัยอะไรไหม?”
เฟิงฉางหลินพยักหน้าด้วยความเคารพ “ลูกเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่ชี้แนะ”
“อืม” เฟิงจิ้งอี้พยักหน้าหน้าแล้วหันไปมองอิ้งหลี “ท่านราชครูมีความคิดเห็นอื่นอีกหรือไม่?”
อิ้งหลีก็ส่ายหัวด้วยความเคารพเช่นกัน “กระหม่อมไม่มีข้อโต้แย้งพ่ะย่ะค่ะ”
เฟิงจิ้งอี้ยิ้มในดวงตา
“เช่นนั้นก็ดี ดึกมากแล้ว วันนี้หลินเอ๋อร์ควรกลับไปพักผ่อนให้เร็วหน่อย หลังจากเจิ้นพิจารณาเสร็จแล้วจะส่งให้ท่านอัครมหาเสนาบดี เ้าไปเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ ลูกขอลา”
เฟิงฉางหลินลุกขึ้นคารวะแล้วรับถอยหลังจากไป
อิ้งหลีหยุดมือของตนแล้วลุกขึ้นคารวะ “กระหม่อมขอลา”
“…”
เฟิงจิ้งอี้ไม่ตอบ หยิบฎีกาขึ้นมากางบนโต๊ะ มือจับพู่กันขึ้นมาจุ่มลงไปในหมึกแล้วเริ่มพิจารณาฎีกา หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อเงยหน้าขึ้นแล้วเห็นว่าเฟิงฉางหลินได้ถอยออกไปถึงโถงด้านนอกแล้วจึงค่อยเอ่ยคำไม่กี่คำออกมาอย่างแ่เบาว่า
“เจิ้นไม่อนุญาต”
อิ้งหลี “…”
มุมปากของเฟิงจิ้งอี้โค้งงอราวกับตะขอ “คนดี ฝนหมึกให้เจิ้นหน่อย”
น้ำเสียงออดอ้อนของเขาทำให้ใบหูของอิ้งหลีร้อนฉ่า เขาพูดขึ้นโดยไม่ขยับตัวว่า “หมึกมีพอแล้ว” ฝนเพิ่มไปก็ไร้ประโยชน์
เฟิงจิ้งอี้เหลือบมองไปที่จานฝนหมึก แล้วจึงมองไปที่ใบหูแดงก่ำอีกครั้ง ก่อนเอื้อมมือออกไปคว้าอีกคนเข้ามา
“เช่นนั้นก็เข้ามาให้เจิ้นกอดหน่อย เจิ้นไม่ได้พบเ้ามาหลายวัน คิดถึงมาก ๆ”
การแสร้งทำเป็ป่วยใน่ไม่กี่วันที่ผ่านมาไม่มีฎีกาที่เขาต้องตัดสินใจด้วยตนเอง ดังนั้นในทุกวันจึงมีเพียงเฟิงฉางหลินที่เข้ามารายงานผล อิ้งหลีไม่ได้ติดตามมาด้วย และแม้ว่าคนผู้นี้จะยอมรับเขาแล้วแต่ก็ยังคงหลีกเลี่ยงเขาหากสามารถทำได้ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงเขินอายได้มากถึงเพียงนี้ คนที่พาเขาไปหอนางโลมดื่มเหล้าบุปผาหายไปไหนเสียแล้ว
อิ้งหลีดิ้นรนเล็กน้อยก่อนกล่าวอย่างจงใจว่า
“สิ่งที่สามารถตัดสินใจเองได้นั้นย่อมไม่จำเป็ต้องมารบกวนตี้จวิน ตี้จวินมี ‘พระวรกายที่กำลังประชวร’ ควรต้องพักผ่อนให้มากถึงจะดี”
เฟิงจิ้งอี้ยิ้มออกมาด้วยความรัก
“เกี่ยวอะไรกัน เ้ามีปัญหามารบกวนเจิ้นมากสักหน่อยจะเป็อะไรไป? เจิ้นไม่ว่าอะไรหรอกหากเป็เ้าที่ทำให้เจิ้นต้องลำบาก ไม่มีเื่ใดก็มาให้เจิ้นเห็นเสียหน่อยก็ยังดี”
อย่ามองว่าเฟิงจิ้งอี้เคลื่อนไหวอย่างอ่อนโยน มือของเขาแข็งแรงมาก อิ้งหลีไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมทำตามความ้าของเขายอมเข้าใกล้เขามากขึ้นอีกเล็กน้อย ไม่้าแต่กลับไม่กล้าปฏิเสธ อิ้งหลีโดนโอบเข้ามากลางอ้อมแขนจนนั่งอยู่บนตักของเขา จากนั้นเขาจึงยิ้มออกมา
“บอกแล้วว่าอยากกอด”
“ท่านกำลังพิจารณาฎีกาเพื่อดูแลบ้านเมืองอยู่นะ”
อิ้งหลีเตือนเขา ทำเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับการกระทำของฮ่องเต้ผู้โง่เขลา
สายตาของเฟิงจิ้งอี้ไม่ได้ละไปจากฎีกา แม้แต่การเขียนก็ยังดูเรียบร้อยและเป็ระเบียบ คำพูดนั้นจึงไม่ถูกต้อง
“เพียงแค่อยากกอด เ้าอย่าขยับ หากใจของข้าไม่มั่นคงมันจะผิดพลาดเอาได้”
อิ้งหลีขยำแขนเสื้อเอาไว้แน่น แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ว่าอะไร ยอมนั่งอยู่ในอ้อมแขนมองดูเขาพิจารณาฎีกา และตอบคำถามเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเขาเป็ครั้งคราว
มีสักกี่คนที่ฝันถึงการนั่งอยู่ในอ้อมแขนของฮ่องเต้และได้ร่วมพูดคุยกับเขาถึงเื่ดินฟ้าอากาศ อิ้งหลีรู้สึกว่าในฐานะตี้จวินสิ่งนี้มันดูเข้ากันไม่ได้จนเกินไป หากเขาเป็คนชั่วช้า แคว้นเทียนซูคงถึงคราวสิ้นสุดแล้ว
หลังพิจารณาฎีกาเรียบร้อยแล้ว อิ้งหลีก็ออกจากอ้อมแขนของเขาไป เฟิงจิ้งอี้มองด้วยรอยยิ้ม ความรู้สึกเช่นนี้ช่างดีจริง ๆ หลังจากได้ตัวอิ้งหลีมาแล้ว การดูแลเื่การเมืองล้วนรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก ชีวิตก่อนหน้านี้มันช่างน่าเบื่อจริง ๆ
เก็บฎีกาซึ่งเป็สิ่งสำคัญต่อบ้านเมืองลงไปพร้อมกับสายตาเร่าร้อน เมื่อเงยหน้าขึ้น สบเข้ากับสายตาที่มองลงมาจากพระที่นั่งเก้าอี้ตัวนุ่มด้วยความรู้สึกราวกับคนกำลังจมน้ำ
สายตาสบประสานกัน ดวงตาของเฟิงจิ้งอี้อ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย ลุกขึ้นแล้วสาวเท้าเข้ามาหา อิ้งหลีมองดูเขาเดินเข้ามาใกล้ทีละก้าว แม้จะคุ้นเคยกันดีแล้ว แต่กลับไม่อาจหยุดหัวใจที่เต้นรัวได้ ร่างที่ถูกคลุมด้วยชุดผ้าไหมสีดำยาวลายเมฆา ผมยาวปลิวไสวจากด้านหลัง ริมฝีปากราวกับกำลังจะแย้มยิ้ม เฟิงจิ้งอี้ผู้นี้ช่างร้ายกาจ[4]
เมื่อออกจากท้องพระโรงมาอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวเฟิงจิ้งอี้จะอ่อนโยนเป็อย่างมาก ราวกับว่าความฉลาดเ้ากลอุบายทั้งหมดถูกตัดขาดออกไปด้วยประตูตำหนักตงหวา ยามพวกเขาได้อยู่ด้วยกันตามลำพังจึงเหมือนกับคู่รักทั่วไป
เฟิงจิ้งอี้ชอบรูปลักษณ์ที่มีอิสระร่าเริงและท่าทางที่จริงใจของอิ้งหลีที่แสดงออกมายามอยู่ต่อหน้าเขาเป็อย่างมาก มันช่างน่ารัก อดไม่ไหวจนต้องดึงคนผู้นี้เข้ามาไว้ในอ้อมแขน
“พยายามหลบเลี่ยงเจิ้นเสมอ เ้าไม่คิดว่ามันเป็การทำร้ายจิตใจเจิ้นบ้างหรือ”
“ไม่ได้หลบ...” อิ้งหลีปฏิเสธ มือของเขาค่อย ๆ กำชายผ้าเอาไว้แน่น “เพียงแค่ต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาโดยไม่จำเป็ ท่านก็รู้ ในยามนี้ไม่ใช่่เวลาที่เหมาะสม”
“เ้ามีเหตุผลอันสมควรที่จะเข้ามาพบเจิ้น...” เฟิงจิ้งอี้จับติ่งหูของเขาอย่างอ่อนโยน “คนรักควรได้พบเจอกันบ่อยครั้ง เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์”
อิ้งหลีไม่ตอบกลับ ถึงจะเป็เช่นนั้นจริงแล้วจะให้ทำอย่างไรเล่า? ในยามนี้เขาไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว ต้องตื่นั้แ่เช้าตรู่ทุกวันเพื่อไปรายการตัวที่ตำหนักเหวินหัว หากมาสู้รบวุ่นวายอยู่ที่นี่ ในวันรุ่งขึ้นเขาอาจพลาด่เวลาในยามเช้าอย่างไม่ตั้งใจ เขาเพิ่งได้รับตราประทับราชครูของฮ่องเต้มาจึงไม่้าถูกคนวิพากษ์วิจารณ์
ด้วยสิ่งนี้ไม่เพียงจะสร้างปัญหาให้ตนเองเท่านั้น มันยังส่งผลต่อตระกูลเหยียนอีกด้วย ผู้คนจะพูดได้ว่าเขาอาศัยว่าตนเองเป็คนโปรดจึงหยิ่งยโส
เฟิงจิ้งอี้ยิ้มน้อย ๆ อุ้มอีกคนขึ้นมาแล้วเดินไปที่แท่นบรรทม มีคนมากมาย้าปีนขึ้นแท่นบรรทมของเขา แต่ฮองเฮาของเขากลับพยายามหลีกเลี่ยงได้ เขาเพียงแค่ต้องยับยั้งชั่งใจอีกสักหน่อยก็แค่นั้น
เชิงอรรถ
[1] ตราประทับฮองเฮาหรือตราประทับฟีนิกซ์ (凤印) คือตราประจำตัวของฮองเฮา มีเพียงฮองเฮาผู้ที่ปกครองวังหลังเท่านั้นที่จะได้
[2] เซียนตี้ตี้โฮ่ว (先帝帝后) ฮองเฮาพระองค์ก่อน
[3] ชื่นชมสีดำ (尚黑) หมายถึงสีเสื้อผ้าที่ต้องใส่ในราชสำนักควรเป็สีดำ ถือเป็การสะท้อนถึงแิดั้งเดิมของการมีปฏิสัมพันธ์กับเทพเ้าหรือบรรพบุรุษ โดยมีสีทั้งหมด 5 สี คือสีดำ เหลือง ฟ้า ขาว แดง โดยสีจะปรับเปลี่ยนไปตามราชวงศ์
[4] ร้ายกาจ ต้นฉบับใช้คำว่า 慵懒邪魅 ซึ่งแปลตรงตัวว่าี้เีและมีเสน่ห์ที่ชั่วร้าย ใช้สำหรับเรียกคนที่มีหน้าตาดี(สวย,หล่อ) มีนิสัยที่ชั่วร้ายและบรรยากาศน่าเกรงขามแต่ก็ยังมีเสน่ห์ ซึ่งจะเรียกราว ๆ ว่าเป็คนร้ายกาจก็ได้
