ความวุ่นวายในเขตเหอตงก็ดี สถานการณ์ที่ผกผันได้เสมอในปักกิ่งก็ดี ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเซี่ยเสี่ยวหลาน
เธอจะทำในสิ่งที่ตนเองควรทำให้สำเร็จลุล่วง คนอื่นจะชอบเธอหรือไม่ เป็ความคิดที่ขึ้นอยู่กับบุคคลทั้งนั้น เซี่ยเสี่ยวหลานฝืนใจไม่ได้
อย่างน้อยเถ้าแก่เฉินประจำหยางเฉิงก็ชอบเซี่ยเสี่ยวหลานมาก เมื่อมองเห็นเธอ ยิ้มแย้มแจ่มใสยิ่งกว่าดอกไม้เบ่งบาน
“ถ้าเธอยังไม่มาอีก ฉันจะเก็บสินค้ารอบนี้ให้ไม่อยู่แล้วนะ”
ความนิยมของกระโปรงสีแดงมีเค้าแล้ว หยางเฉิงอากาศร้อนกว่าซางตู ซางตูเพิ่งเริ่มอุณหภูมิสูงขึ้น ในขณะที่คนหยางเฉิงเริ่มแต่งกายด้วยเสื้อผ้าฤดูร้อนั้แ่ปลายเดือนเมษายน กระโปรงแดงของเฉินซีเหลียงขายหมดแล้วขายหมดอีก ครั้งนี้สามารถชะล้างภาพลักษณ์เ้าโง่ที่มีต่อพี่เขยของเขาได้สะอาดเอี่ยมอ่อง อย่างน้อยเถ้าแก่เฉินผู้ทำงานเป็นายตนเองและมีความฝันในการออกแบบก็พูดถูกครั้งหนึ่ง ไม่ได้ลากโรงงานเสื้อผ้าเฉินอวี่อับปางไปพร้อมกัน
กระแสนิยมจะเผยแพร่จากเมืองชายฝั่งเข้ามาในแผ่นดิน พื้นที่ใกล้เคียงหยางเฉิงกำลังนิยม ‘กระโปรงแดง’ แล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานมารับสินค้าในเวลานี้ถือว่าเหมาะเจาะยิ่งนัก
การจะจุดไฟลูกนี้ให้โชติ่ในซางตู จำเป็ต้องใช้เวลาบ่มเพาะ เนื่องจากขีดจำกัดของสภาพคล่องทางการเงิน คนที่ตุนสินค้าล่วงหน้าจึงมีจำนวนน้อยอยู่ดี พออากาศร้อน ผู้คนถึงเริ่มซื้อสอยเครื่องแต่งกายหน้าร้อน
เสื้อผ้าสตรีนิยมกระโปรงแดง ส่วนเสื้อผ้าบุรุษคือกางเกงขาสั้นแบบตะวันตกซึ่งนิยมในเซี่ยงไฮ้เมื่อปีก่อน
สอดชายเสื้อแขนสั้นไว้ในกางเกงขาสั้น ดึงเอวกางเกงขึ้นจนสูง ด้านนอกรัดเข็มขัดหนังหนึ่งเส้น การแต่งตัวแบบนี้เป็ที่นิยมมากในเซี่ยงไฮ้เมื่อปีที่แล้ว คนเซี่ยงไฮ้ทันสมัยเสมอ ั้แ่เครื่องแต่งกายไปจนถึงของใช้ในชีวิตประจำวัน คือตัวอย่างที่คนทั่วประเทศเลียนแบบทั้งหมด เช่นกางเกงขาสั้นแบบตะวันตกของปีก่อน หรือ ‘ปกเสื้อหลอก’ ที่ออกมาก่อนหน้านั้น—คนเซี่ยงไฮ้หัวแหลมช่างสุดยอดเหลือเกิน เพราะมีตั๋วผ้าใช้ไม่เพียงพอ หลายคนรับค่าใช้จ่ายต้นทุนของการตัดเสื้อมีปกหนึ่งตัวไม่ไหว จึงมีคนคิดค้น ‘ปกเสื้อหลอก’ ขึ้นมา ผ้าสองชิ้นด้านหน้าและหลังจะยาวถึงบริเวณใต้รักแร้เท่านั้น ทว่าปกเสื้อเข้ารูปเรียบร้อย ทับด้วยเสื้อไหมพรมเป็ตัวนอก หรือติดกระดุมเสื้อคลุมเผยให้เห็นเฉพาะปก ใครจะดูออกว่าด้านในมีเสื้อเพียงครึ่งบน?
แน่นอนว่า ‘ปกเสื้อหลอก’ แบบนี้จะถอดเสื้อนอกออกไม่ได้ เมื่อไปเป็แขกเยี่ยมเยียนบ้านผู้อื่น แม้ภายในบ้านอบอุ่นขนาดไหน เหงื่อผุดเต็มหน้าก็ต้องทนไว้
ปกเสื้อหลอกนิยมเป็เวลานานทีเดียว จนกระทั่งยกเลิกตั๋วผ้า ทุกวันนี้มีน้อยคนที่จะทำปกเสื้อหลอกแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานไม่รู้เื่นี้แม้แต่น้อย เฉินซีเหลียงเป็คนเล่า เขาพูดคล่องแคล่วฉะฉาน พลิกหาสินค้าให้เซี่ยเสี่ยวหลานไปพลาง เล่าเื่ราวเกี่ยวกับเสื้อผ้าพวกนี้ไปพลาง
เซี่ยเสี่ยวหลานส่ายศีรษะ “คราวนี้ฉันจะให้ป้าสะใภ้กับแม่ฉันเลือกก่อน ปล่อยให้พวกเธอสองคนเลือกแบบเอง!”
หลิวเฟินประหม่าจนกุมมือแน่น เธอจะเลือกแบบอะไรได้เล่า เสียเวลาธุรกิจจะทำอย่างไร เสื้อผ้าที่เลือกกลับไปขายไม่ออกจะทำอย่างไร?
เซี่ยเสี่ยวหลานปลุกเร้ากำลังใจให้หลิวเฟิน “แม่วางใจเถอะ ต่างกันแค่เวลานั่นแหละ ยังไม่มีแบบที่ขายไม่ออกหรอก”
เสื้อผ้าน่าเกลียดขนาดไหนก็มีคนใส่อยู่ดี สุนทรียภาพไม่เหมือนกัน หรือสภาพจิตใจของลูกค้าไม่เหมือนกัน... มีเสื้อผ้าบางอย่างที่เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าไม่สวย ลูกค้าคิดว่าสวยดี คนที่ใส่เสื้อผ้าไม่ได้กำลังเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับตนเองมากที่สุดเสมอไป ใช้แสดงความนอกกรอบเป็เอกลักษณ์ได้เช่นกัน ตั้งใจแต่งกายดึงดูดสายตา ปรารถนาจะแตกต่างจากผู้อื่น!
ถ้าเลือกแบบที่ไม่สวยสักครั้งสองครั้ง จากปริมาณลูกค้าของหลานเฟิ่งหวงก็ขายเสื้อผ้าพวกนั้นได้ เพียงแต่แบบที่สวยอาจขายได้ 10 ชิ้นภายในสองวัน และแบบที่ไม่สวย 10 ชิ้นต้องใช้หนึ่งสัปดาห์ถึงจะขายหมด ช่องว่างสำหรับหมุนเวียนสินค้าเต็ม กำไรที่จะได้ย่อมน้อยลง ทว่าหากเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ปล่อยมือให้หลี่เฟิ่งเหมยและหลิวเฟินไปเลือกเสื้อผ้า พวกเธอจะไม่มีวันรับผิดชอบด้วยตัวเองได้ เซี่ยเสี่ยวหลานจะไม่มารับสินค้าที่หยางเฉิงใน่เวลาก่อนสอบเกาเข่า และหลังจากนี้ความถี่ที่เธอมาหยางเฉิงก็จะน้อยลงเรื่อยๆ เหมือนกัน ร้านเสื้อผ้านี้คือสิ่งที่เซี่ยเสี่ยวหลานใช้เพื่อเก็บทองคำถังแรก แต่เธอหมกตัวเองอยู่ในซางตูเพียงเพราะร้านเสื้อผ้าไม่ได้
เธอตกลงกับโจวเฉิงแล้วว่าจะสอบไปเรียนที่ปักกิ่ง เวลาส่วนใหญ่ในอีกสี่ปีข้างหน้าจึงจะอยู่แค่ในปักกิ่ง
หลิวเฟินลังเล เซี่ยเสี่ยวหลานก็ไม่เร่งเร้า เธอสนทนาเล่นกับเฉินซีเหลียง หลิวเฟินและหลี่เฟิ่งเหมยกระซิบกระซาบปรึกษากันอยู่นาน ในที่สุดต่างฝ่ายต่างให้กำลังใจและเริ่มค้นเลือกในกองเสื้อผ้าของเฉินซีเหลียง หลิวเฟินหยิบขึ้นมาหนึ่งชิ้น ไม่แน่ใจนัก เธอดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากนั้นวางลงเหมือนเดิม
หลี่เฟิ่งเหมยกระทุ้งเธอพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “กล้าๆ เลือกหน่อย ทำตามที่นิตยสารสอน!”
ศึกษาการจับคู่เสื้อผ้ามานานเสียขนาดนั้นแล้ว ปกติเซี่ยเสี่ยวหลานก็อธิบายตลอด แม้สมองของหลี่เฟิ่งเหมยไม่ได้มีไหวพริบเท่าหนุ่มสาว ถึงกระนั้นเธอไม่เชื่อว่าตนเองจะจำอะไรไม่ได้เลย!
เมื่อหยิบเสื้อขึ้นมาหนึ่งชิ้น ต้องรู้ว่ามันน่าจะจับคู่กับกางเกงอะไรได้ พอจับคู่เข้าชุดดี ลูกค้าอาจซื้อไปทั้งชุด ดูชิ้นเดียวไม่สะดุดตา ไม่ได้แปลว่าจับคู่เสร็จแล้วจะไม่ยอดเยี่ยม ไม่มีเสื้อผ้าที่ไม่สวย มีแต่คนที่จับคู่เสื้อผ้าไม่เป็... ในนิตยสารบอกไว้แบบนี้ หลี่เฟิ่งเหมยต้องนำทฤษฎีที่เรียนรู้มาใช้กับการปฏิบัติจริง เธอเองไม่มีความมั่นใจเช่นกัน
ไม่มั่นใจก็ต้องกล้าที่จะทำอยู่ดี ก่อนมาหยางเฉิงยังพูดเลยว่าซื้อบ้านในเมืองให้เทาเทา จะซื้อทะเบียนบ้านเมือง ถ้าเธอไม่พยายามทำธุรกิจให้ดี จะให้ทั้งครอบครัวหน้าด้านหน้าทนพึ่งพาหลานสาวดำรงชีพหรือ?
หลี่เฟิ่งเหมยเข้าใจอย่างชัดเจน แรกเริ่มเดิมทีหลิวหย่งให้เงินแก่เซี่ยเสี่ยวหลาน 50 หยวน เซี่ยเสี่ยวหลานใช้เงินนั่นเป็ทุนตั้งตัวทำธุรกิจค้าไข่ไก่ จากขายไข่ไก่ถึงขายปลาไหล จวบจนมาหยางเฉิงเพื่อรับซื้อเสื้อผ้าสตรี ความเร็วในการพัฒนาธุรกิจของเซี่ยเสี่ยวหลานนี้ คนทั่วไปดูแล้วยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับลงมือทำตาม
แต่เงิน 50 หยวนที่หลิวหย่งให้นั้น แค่ช่วยเซี่ยเสี่ยวหลานประหยัดเวลาได้สองสามวัน หลี่เฟิ่งเหมยเชื่อมั่นว่ามีเงิน 50 หยวนนั่นหรือไม่ เซี่ยเสี่ยวหลานก็จะกลายเป็เศรษฐีหมื่นหยวน
ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจดจำน้ำใจน่ะสิ คิดถึงเธอกับครอบครัวเสมอ ดึงเธอเข้าร่วมหุ้นทำธุรกิจขายเสื้อผ้า หาลูกค้าให้หลิวหย่งทำงานตกแต่งภายใน เซี่ยเสี่ยวหลานเป็ธุระให้ทั้งสิ้น
หลี่เฟิ่งเหมยรู้อยู่แก่ใจดียิ่งกว่าใคร หลานสาวไม่ได้เห็นครอบครัวของเธอทั้งสามคนเป็คนนอก
แต่ในฐานะญาติผู้ใหญ่ จะคอยให้หลานสาวช่วยเหลือตลอดเวลาโดยไม่ละอายได้หรือ?
ยังไม่พูดถึงว่าเลือกเสื้อผ้าได้หรือเปล่า หากเธอดูแลร้านอย่างเดียว มีสิทธิอะไรที่จะได้ส่วนแบ่ง 40% ? แม้แต่หม่าเวยก็ดูแลร้านได้ เงินเดือนรวมเงินพิเศษหนึ่งเดือนของหม่าเวยก็รับแค่ 60 หยวนเท่านั้นเอง
ไม่ว่าหลี่เฟิ่งเหมยและหลิวเฟินจะเลือกเสื้อผ้าอะไร เซี่ยเสี่ยวหลานไม่แสดงความคิดเห็นเลย อันที่จริงมีบางแบบที่เธอไม่ค่อยถูกใจ ทว่าเธอก็ไม่คัดค้าน
เลือกเสื้อผ้าของเฉินซีเหลียงตรงนี้ได้ตามสบาย อย่างไรเสียเฉินซีเหลียงก็ยินยอมให้เธอเปลี่ยนสินค้าในฤดูกาล
เอาเป็ว่าต้องนำเสื้อผ้ากลับไปขายอยู่ดี เพื่อทำให้หลี่เฟิ่งเหมยและหลิวเฟินคุ้นชินขึ้นใจ รสนิยมจะถูกบ่มเพาะโดยการปฏิบัติจริง ถ้าแบบที่พวกเธอสองคนเลือกขายไม่ได้ ย่อมร้อนรนมากกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานแน่ และจะทุ่มเทกายใจศึกษาเคล็ดลับของธุรกิจเสื้อผ้ามากยิ่งขึ้น
ก่อนมาหยางเฉิง หลานเฟิ่งหวงเพิ่งดำเนินการปันผลเป็ครั้งที่สามเท่านั้น
ปันผลครั้งล่าสุดคือปลายเดือนมีนาคม เซี่ยเสี่ยวหลานกลับมาจากปักกิ่ง ผ่านไปอีกหนึ่งเดือนกว่า จำหน่ายเสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิในร้านใกล้หมดแล้ว 22180 หยวนในบัญชีกลายเป็ 48400 หยวน เซี่ยเสี่ยวหลานยังคงทำดั่งที่ผ่านมา ปันผลสองหมื่น และเก็บเงินหมุนสองหมื่นกว่าไว้ใช้บริหารภายในร้าน
ไม่เยอะเท่าการปันผลครั้งที่สอง เนื่องจากการปันผลครั้งที่สองนับั้แ่หลังตรุษจีนจนถึงปลายเดือนมีนาคม ระยะเวลาของการปันผลครั้งนี้จะสั้นกว่าหน่อย
ผลประกอบการของหลานเฟิ่งหวงกำลังอยู่ในสภาวะคงตัว
แม้จัดกิจกรรมการขายบ่อยครั้ง เฉลี่ยผลประกอบการรวมแล้วก็ไม่แตกต่างกันเท่าไร แน่นอนว่าเครื่องแต่งกายฤดูใบไม้ผลิคือ่ซบเซา ยอดขายของ่เฟื่องฟูจะเป็เช่นไรยังต้องดูเสื้อผ้าฤดูร้อน ‘หลานเฟิ่งหวง’ เพิ่งเปิดกิจการปลายเดือนมกราคมปีนี้ พลาด่เฟื่องฟูส่วนใหญ่ของเสื้อผ้าฤดูหนาว ฤดูร้อนนี้ต่างหากที่เป็โอกาสแสดงศักยภาพการขายของ่เฟื่องฟูอย่างแท้จริง... เซี่ยเสี่ยวหลานลองคำนวณดู กำไรหนึ่งปีของหลานเฟิ่งหวงสามารถสูงได้ถึงมากกว่าหนึ่งแสนห้าหมื่นหยวน
จำนวนเท่านี้เรียกได้ว่าน่าสะพรึงแล้ว ทำเลที่ดีที่สุด หน้าร้านสามคูหาที่ดีที่สุด ค่าเช่า ค่าตกแต่งร้าน และต้นทุนแรงงานที่ต่ำมากเหลือเกินเมื่อเทียบกับกำไร ประกอบกับยึดช่องว่างตลาดเครื่องแต่งกายระดับกลางถึงสูงของซางตูได้... หากขาดปัจจัยสำคัญเหล่านี้ไปสักหนึ่ง หลานเฟิ่งหวงคงทำกำไรได้ไม่มากมายขนาดนี้ แต่ถ้าอยากได้กำไรมากกว่านี้ก็ยากไม่ใช่น้อย กำไรที่หลานเฟิ่งหวงสร้างได้ใกล้แตะขีดจำกัดสูงสุดแล้ว นอกเสียจากเพิ่มสาขาร้านอีก
บวกเงินปันผลครั้งนี้ เงินเก็บในมือเซี่ยเสี่ยวหลานครบ 5 หมื่นพอดิบพอดี
ใช้กลยุทธ์การขายเล็กๆ น้อยๆ เสมอมา ถ้าธุรกิจราบรื่น พอเธอสอบเกาเข่าเสร็จสิ้น น่าจะเก็บเงินสำหรับปลูกบ้านและลงทุนธุรกิจวัสดุก่อสร้างครบถ้วน อาจยังขาดอีกนิดหน่อย ทว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่
ถ้าอย่างนั้นจะเสี่ยงอีกดีหรือไม่ หากำไรแบบรวดเร็วอีกรอบ?