มู่หรงฉือปลอบโยน “น้องสาว เื่นี้เปิ่นกงจะตรวจสอบให้ชัดเจน ไม่มีทางให้เ้าเสียหาย”
หยวนซิ่วพูดอย่างฉุนเฉียว “คุณชายกงสารเลวผู้นั้น! องค์หญิงใกล้จะแต่งงานกับเขาอยู่แล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าจะฉวยโอกาสตอนมาเยี่ยมทำมิดีมิร้ายองค์หญิง แล้วทำลายชื่อเสียงองค์หญิง เขายังเป็คนอยู่หรือไม่? หากองค์หญิงต้องแต่งให้เขา ต่อไปก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเื่อะไรขึ้นอีก เตี้ยนเซี่ยจะต้องออกหน้าให้องค์หญิงนะเพคะ อย่าปล่อยคุณชายกงไป!”
มู่หรงฉางพูดอย่างสิ้นหวัง “เสด็จพี่ ชีวิตนี้ของน้องคงไม่ได้จบสิ้นแล้วใช่หรือไม่เพคะ? จะ…”
มู่หรงฉือพูดปลอบใจ “ไม่มีทางหรอก เ้าอย่าคิดมากเลย วางใจเถิด เปิ่นกงไม่มีทางให้เ้าถูกคนรังแกไปทั้งเช่นนี้”
นางสั่งหยวนซิ่วให้ดูแลจาวฮวาให้ดี อย่าอยู่ห่างแม้แต่ก้าวเดียว ป้องกันไม่ให้จาวฮวาทำเื่โง่ๆ จากนั้นก็กลับออกไปที่ตำหนักใหญ่
เสิ่นจือเหยียนบอกว่า หมอหลวงได้จัดการแผลของกงจวิ้นหาวแล้ว แต่เนื่องจากเสียเืมากเกินไป ตอนนี้เขาจึงหมดสติไปแล้ว
“ในเมื่อสลบไปแล้ว เช่นนั้นก็ให้เขากลับจวนไปก่อน” มู่หรงฉือเรียกผู้ดูแลตำหนักจิ่งหงมา ก่อนจะถาม “ส่งคนไปรายงานที่จวนเสนาบดีแล้วหรือยัง?”
“ส่งไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ท่านเสนาบดีคงจะใกล้มาถึงแล้ว” ขันทีคนนั้นตอบ
นางพยักหน้า เสิ่นจือเหยียนส่งสายตาให้นาง นางจึงตามเขาไปยังทางเดินทิศตะวันตกของตำหนัก
เขาพูดเสียงเครียด “แผลถูกฟันของกงจวิ้นหาวนั้นเป็การตัดองคชาตขาดในคราวเดียว ต่อไปเขาไม่อาจมีทายาทสืบสกุลได้แล้ว”
นางขมวดคิ้วแน่น “ไม่มีความเป็ไปได้ที่จะรักษาเลยหรือ?”
เสิ่นจือเหยียนส่ายหน้า “เป็การลงมือที่รุนแรงยิ่ง”
“ความหมายของเ้าก็คือ…”
“ข้าไม่กล้าตัดสิน แต่ดูจากาแของกงจวิ้นหาวแล้ว สตรีอ่อนแอผู้หนึ่งไม่มีความเป็ไปได้ที่จะฟันให้ขาดในคราวเดียวได้ ยิ่งกงจวิ้นหาวเองก็มีฝีมือการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง ปฏิกิริยาว่องไว ยิ่งไม่มีความเป็ไปได้ที่จะถูกองค์หญิงลงมือ” เขาวิเคราะห์
“มีความเป็ไปได้หรือไม่ว่าเขาพยายามจะทำมิดีมิร้ายจาวฮวา จาวฮวาจึงต่อต้านเขาอย่างรุนแรง ระหว่างที่พวกเขายื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่ จาวฮวาก็สูญเสียการควบคุมจนใช้มีดสั้นทำร้ายเขา บวกกับแรงแห่งความหวาดกลัวนางจึงทำสำเร็จ” นางสันนิษฐาน
“ข้าพูดได้เพียงว่า มีความเป็ไปได้” เสิ่นจือเหยียนพูดอย่างลังเล “แต่ข้ายังรู้สึกว่า เื่นี้ค่อนข้างแปลก”
ตอนนี้เอง มู่หรงฉือก็เห็นเฉียวเฟยที่มีนางกำนัลข้างกายประคองเดินเข้ามาอย่างเร็วรี่ ดวงหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
หลังได้ยินคำบอกกล่าวจากเหล่านางกำนัล เฉียวเฟยก็มุ่งหน้าไปทางตำหนักข้างฝั่งตะวันออก
มู่หรงฉือพลันรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เหตุใดเฉียวเฟยถึงเพิ่งมาเอาในตอนนี้? นางกำนัลไม่ใช่ว่าจะต้องรีบไปบอกเฉียวเฟยผู้เป็มารดาของจาวฮวาเป็คนแรกหรอกหรือ? หรือบางทีนางกำนัลอาจจะยุ่งวุ่นวายอยู่ จึงลืมไปชั่วขณะ
เสิ่นจือเหยียนเห็นนางทำหน้าครุ่นคิด จึงถามว่า “มีอะไรหรือ?”
นางส่ายหน้า “ไม่มีอะไร”
เขาพูดด้วยความกังวล “เสนาบดีมีบุตรจากภรรยาเอกอยู่เพียงคนเดียว ตอนนี้กงจวิ้นหาวาเ็ ไม่อาจสืบสกุลได้ เกรงว่าเสนาบดีไม่มีทางปล่อยเื่นี้ไปง่ายๆ”
ที่นางกำลังกังวลก็คือเื่นี้เช่นกัน “เปิ่นกงจะตรวจสอบเื่นี้ให้ชัดเจน พรุ่งนี้เปิ่นกงจะไปสอบถามกงจวิ้นหาวที่จวนเสนาบดี”
เขาพูดเสียงอ่อนโยน “พรุ่งนี้หากมีเวลาข้าจะไปที่จวนเสนาบดีกับเตี้ยนเซี่ย”
ผ่านไปหนึ่งถ้วยชา เสนาบดีกงลี่ิก็รุดมาถึง
ตอนที่ได้รู้ว่าบุตรชายได้รับาเ็ตรงอวัยวะสืบพันธุ์ เมื่อได้เห็นบุตรที่เอาหาเื่วุ่นวายไม่หยุดหย่อนบัดนี้นอนหายใจรวยริน เขาก็หน้าแดงก่ำไปทั้งดวง ใบหน้าปกคลุมด้วยหมอกครึ้ม
“ใต้เท้าโปรดวางใจ หมอหลวงได้ทำการรักษาบุตรชายของท่านแล้ว ตอนนี้บุตรของท่านไม่มีอันตรายถึงชีวิต เพียงแต่เสียเืไปไม่น้อย ตอนนี้จึงยังสลบอยู่” มู่หรงฉืออธิบาย
“บุตรชายของกระหม่อมาเ็ได้อย่างไร กระหม่อมจะต้องสอบถามให้ชัดเจน!” กงลี่ิพูดจาขึงขัง
“ใต้เท้า บุตรชายของท่านจำต้องได้รับการรักษาตัว มิสู้พาบุตรชายของท่านกลับจวนไปพักผ่อนดีๆ ก่อนเถิด” เสิ่นจือเหยียนพูดอย่างเป็มิตร
กงลี่ิสั่งให้นางกำนัลพากงจวิ้นหาวกลับไป จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อออกไป
ครั้นเห็นท่าทางของเขา ในใจของมู่หรงฉือเองก็พอจะรู้แล้วว่าเื่นี้ไม่อาจจบลงได้โดยง่าย
นางกำนัลข้ารับใช้ในวังรีบเก็บกวาดทำความสะอาดห้องบรรทมเสียใหม่ จากนั้นเฉียวเฟยกับหยวนซิ่วก็พามู่หรงฉางกลับเข้าไปพักผ่อน
แต่ครั้นมู่หรงฉางได้ยินว่าจะต้องกลับไปตำหนักบรรทม ก็กรีดร้องเสียงแหลม หลบไปขดตัวสั่นเทิ้มอยู่ที่มุมห้อง
เฉียวเฟยกับหยวนซิ่วไม่ซักไซ้ว่าเป็เพราะเหตุใด ต่างเป็ห่วงนางมากจนไม่รู้ว่าควรจะปลอบใจอย่างไร
มู่หรงฉือพูดกับเฉียวเฟย “น้องสาวเจอเื่น่าใอย่างหนัก ทั้งยังได้รับาเ็ ในใจจึงมีความกลัวที่ยากรักษา หากกลับตำหนักบรรทมก็จะย้อนนึกถึงเื่ราวน่ากลัวเ่าั้ มิสู้ให้นางพักผ่อนที่ตำหนักข้างสักสองสามวันเถิด”
เฉียวเฟยรู้สึกว่าที่นางพูดมามีเหตุผล จึงสั่งให้นางกำนัลไปทำความสะอาดตำหนักข้างฝั่งตะวันออก
มู่หรงฉือมีคำสั่งลงไป ไม่อนุญาตให้พูดคุยเื่นี้อีก หากผู้ใดฝ่าฝืนจะถูกลงโทษตามกฎของวังหลวง
...
วันต่อมา มู่หรงฉือไปที่ศาลต้าหลี่ก่อน จากนั้นก็มุ่งไปที่จวนเสนาบดีกับเสิ่นจือเหยียน
พ่อบ้านของจวนเสนาบดีแจ้งว่าท่านเสนาบดีไม่อยู่ แต่ก็ยังพาพวกเขาไปยังเรือนเล็กที่กงจวิ้นหาวพักอยู่
บังเอิญฮูหยินกงออกจากเรือนมาพอดี ครั้นเห็นพวกเขาก็ทำความเคารพอย่างไม่เต็มใจ ดวงตาบวมแดงเต็มไปด้วยความโกรธแค้นที่ไม่อาจระบาย
มู่หรงฉือพูดอย่างเกรงใจ “ฮูหยินกง สมุนไพรพวกนี้เป็น้ำใจของเปิ่นกง สำหรับบุตรชายของท่านบำรุงร่างกาย”
ฉินรั่วใช้สองมือส่งสมุนไพรล้ำค่าสี่กล่องไปให้ หยางซื่อส่งสายตาให้คนสนิทข้างกาย แล้วกล่าวเสียดสี “ในเมื่อเป็น้ำใจของเตี้ยนเซี่ย หม่อมฉันก็จะรับไว้ก็แล้วกัน”
คนสนิทข้างกายของนางรับกล่องสมุนไพรทั้งสี่กล่องมา
“ฮูหยินกง พวกเราจะขอเข้าไปเยี่ยมบุตรชายของท่านได้หรือไม่?” เสิ่นจือเหยียนถามเสียงอ่อนโยน
“ไม่มีผู้ใดอยากให้เกิดเื่เช่นนี้ขึ้น มีเื่บางเื่ที่เปิ่นกงอยากจะสอบถามบุตรชายของท่าน ขอฮูหยินกงโปรดอนุญาตด้วย” มู่หรงฉือพูดอย่างเข้าใจในความเสียใจของฮูหยินกง จึงพยายามสะกดโทสะเอาไว้
“หาวเอ๋อร์หลับไปแล้ว...” ใบหน้าดุดันของหยางซื่อยังมีความเ็าแฝงอยู่เล็กน้อย
“ท่านแม่ ให้เตี้ยนเซี่ยเข้ามาเถิด” เสียงของกงจวิ้นหาวดังออกมาจากด้านใน
เมื่อทำอะไรไม่ได้ นางจึงยอมให้พวกเขาเข้าไป
ฉินรั่วรออยู่ด้านนอก มู่หรงฉือกับเสิ่นจือเหยียนเข้าไป คนดูแลข้างกายในห้องนอนก็ถอยออกมา
กงจวิ้นหาวนอนอยู่บนเตียง สีหน้าขาวซีด ใบหน้าที่เดิมสดใสราวพระอาทิตย์ตอนนี้เต็มไปด้วยเมฆหมอก ผสมปนเปไปด้วยความรู้สึกมากมาย ทั้งโกรธเกรี้ยว ทั้งเ็ป ทั้งสิ้นหวัง...
เมื่อวานตอนกลับมาถึงจวน หลังจากเขาฟื้นขึ้นมาแล้วพบว่าตนกลายเป็คนไร้ค่าเหมือนขันทีในวัง เขาก็ไม่อาจยอมรับได้ โวยวายยกใหญ่ คำรามออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว กอดมารดาร่ำไห้ออกมาด้วยความสิ้นหวัง...แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงเื่นี้ไปได้...
สูญเสียของของสำคัญที่สุดของบุรุษไป เขาที่เป็บุรุษอกสามศอกผู้หนึ่งจะถูกความอับอายนี้ติดตามไปตลอดชีวิต เป็ความอับอายที่ถูกปักไว้ยังจุดสูงสุด ทั้งชีวิตต้องถูกผู้คนรอบข้างพูดจาดูถูกดูแคลน หัวเราะเยาะอย่างเหยียดหยาม...อีกไม่นานเื่นี้ก็จะถูกเปิดเผยให้คนมากมายรับรู้ เขายังจะมีหน้าอยู่บนโลกนี้ต่อไปได้อย่างไร?
เขาไม่อาจเสพสุขอย่างที่บุรุษคนหนึ่งจะสามารถทำได้แล้ว และยังไม่อาจจะเป็เช่นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่ยินดีจะเก็บตัวอยู่ในโลกอันมืดมิดเงียบเหงาได้ตลอดไป เขาไม่อาจกลายเป็ศพเดินได้ที่แสนน่ากลัวตนหนึ่ง
เขาอยากจะตายไปเสียให้พ้นๆ...
แต่คำพูดของมารดาได้เตือนสติของเขาเอาไว้ว่า บุตรหลานสกุลกงจะอ่อนแอไม่ได้!
เขาจะต้องแก้แค้น!
ถึงแม้ว่าการแก้แค้นจะเป็เื่ยากมาก ไม่อาจจะเทียบเทียมราชนิกุลได้ แต่บุรุษแก้แค้นสิบปีก็ยังไม่สาย ไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็ไปไม่ได้?
“คุณชายกง เื่ที่เกิดขึ้นในตำหนักจิ่งหงเมื่อวาน เตี้ยนเซี่ยรู้สึกเสียใจยิ่งนัก เพียงแต่เตี้ยนเซี่ยยังต้องตรวจสอบให้ชัดเจน” เสิ่นจือเหยียนพูดเสียงนุ่มนวล
“ทางที่ดีเตี้ยนเซี่ยโปรดตรวจสอบให้ชัดเจน แล้วคืนความยุติธรรมให้กับกระหม่อมด้วย” น้ำเสียงของกงจวิ้นหาวดุดัน แทบจะเรียกได้ว่ากัดฟันพูดแล้ว
“คุณชายกง ไม่ว่าเื่ราวจะเกิดขึ้นด้วยเหตุใด สถานการณ์ใด ล้วนเป็จาวฮวาที่ทำร้ายเ้า เปิ่นกงขออภัยเ้าแทนจาวฮวาด้วย” มู่หรงฉือเอ่ยอย่างจริงใจ ความจริงแล้วนางที่เป็องค์รัชทายาทไม่มีความจำเป็จะต้องมาขอโทษบุตรของขุนนางผู้หนึ่ง แต่นางก็ยังอยากแสดงน้ำใจของตัวเอง
“เื่ขอโทษนั้นไม่จำเป็ กระหม่อมเพียง้าความยุติธรรม” เขาพูดอย่างไม่พอใจ แววตาเต็มไปด้วยความหม่นหมอง
"พอจะเล่าได้หรือไม่ว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้นที่ตำหนักจิ่งหงบ้าง? แต่หากเ้าไม่อยากเล่า เปิ่นกงก็ไม่บังคับ” นางถาม
“เมื่อวานกระหม่อมเพิ่งกลับถึงจวนก็เห็นขันทีจากวังคนหนึ่งมาแจ้งว่า องค์หญิงจาวฮวามีรับสั่งให้กระหม่อมเข้าวังเพื่อหารือเื่แต่งงาน เื่เกี่ยวกับการแต่งงานกระหม่อมไม่อยากล่าช้า จึงรีบเข้าวังไปเข้าเฝ้าองค์หญิง” กงจวิ้นหาวพูดช้าๆ น้ำเสียงขึ้นๆ ลงๆ เต็มไปด้วยความรู้สึกเสียใจภายหลังและไม่พอใจ “กระหม่อมได้เจอกับองค์หญิงที่ตำหนักจิ่งหง...”
คิ้วเรียวของมู่หรงฉือขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เหตุใดถึงไม่เหมือนกับที่หยวนซิ่วบอก?
หยวนซิ่วกับจาวฮวาไม่ได้บอกว่าจาวฮวาเรียกกงจวิ้นหาวเข้าวัง
เขาเล่าต่อ ราวกับย้อนกลับไปเมื่อวาน...
สำหรับเื่การแต่งงาน เขาพอใจมาก เขาเกิดมาก็มีเสื้อผ้าอาหารเพียบพร้อม ถูกคนทะนุถนอมเลี้ยงดูอยู่ในฝ่ามือ อีกทั้งยังเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ ชาติตระกูลดีมีฐานะ มีคนคอยติดตาม จึงภาคภูมิใจในตัวเองเป็อย่างยิ่ง ทั้งยังนับว่าเป็คนที่เก่งกาจในบรรดาบุรุษแห่งเมืองหลวง หลังฝ่าาพระราชทานงานแต่งงานให้ เขาก็ยิ่งได้ใจ มีความสุขกับคำชื่นชมและสายตาอิจฉาของคนรอบข้าง
ดังนั้น เมื่อองค์หญิงจาวฮวาเรียกเขาเข้าวัง เขาจึงไม่ได้คิดอะไรมากแล้วเข้าวังไป
เมื่อเข้าตำหนักใหญ่มาก็เจอกับองค์หญิงที่รัก
องค์หญิงแต่งตัวงดงามเป็อย่างยิ่ง งามกว่าวันอื่นๆ นางสวมอาภรณ์สีสันสดใส คล้ายมีหมอกสีแดงนุ่มปกคลุมร่างกาย ทั้งยังเหมือนดอกโบตั๋นในฤดูร้อน เป็ความงดงามแห่งแคว้น หรูหราวิจิตรยิ่ง
เขาเหม่อมองตาค้าง รู้สึกว่าองค์หญิงที่ก้มหน้าลง ท่าท่างที่ยิ้มเอียงอายของนางทำให้ิญญาของเขาแทบหลุดลอยไป
แต่เขาไม่กล้าก่อเื่ เพียงคิดว่าเดือนแปดองค์หญิงที่งดงามผู้นี้แต่งเข้ามาเมื่อไหร่เขาจะรักเอ็นดูนาง ได้ชื่นชมนางอย่างไร้ที่สิ้นสุด
องค์หญิงจาวฮวาเชิญให้เขานั่งลง บนโต๊ะมีอาหารที่แช่เย็นไว้รออยู่ก่อนแล้ว รวมถึงขนมหวานและโจ๊ก นางเชื้อเชิญให้เขาทานอย่างอ่อนโยน ทั้งยังยกโจ๊กมาป้อนถึงตรงหน้าเขา
“นี่เป็โจ๊กที่เสด็จพ่อชอบทานมากที่สุด เปิ่นกงให้นางกำนัลทำมาถ้วยหนึ่ง เ้ารีบทานเถิด”
นางคลี่ยิ้มมองเขา คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันน้อยๆ หลากหลายอารมณ์
กงจวิ้นหาวรับถ้วยมา ทานโจ๊กไปในใจก็รู้สึกหวานไปทั้งดวง
ต่อมา องค์หญิงก็ยกผลไม้มาป้อนเขาถึงปาก ดวงตาเรียวมีรอยยิ้ม “อ้าปาก”
เพียงมองมือเรียวของนาง เขาก็อ้าปากตามสัญชาตญาณ “ราชบุตรเขย รสชาติเป็อย่างไรบ้าง?”
“รสชาติอร่อยกำลังดี สีสันก็น่าทาน” เขาตอบกลับตามความจริง “เหตุใดองค์หญิงถึงได้ดีกับกระหม่อมเช่นนี้?”
“เพราะว่าเ้าเป็ว่าที่สามีของข้าอย่างไรเล่า” นางยิ้ม
“องค์หญิงจะหารือเื่การแต่งงานกับกระหม่อมมิใช่หรือ?”
“ไม่รีบ อีกประเดี๋ยวค่อยคุยกัน”
องค์หญิงจวาฮวาหยิบแตงโมหนึ่งชิ้นขึ้นมาละเลียดทาน พลางมองไปทางเขา นางกัดแตงโมคำเล็กๆ ทีละคำ จากนั้นไม่ทันระวังทำแตงโมหกใส่อาภรณ์ของตนเอง ทำให้ชุดที่สวมอยู่เปื้อน
นางลุกขึ้นเอ่ยเสียงนุ่ม “เปิ่นกงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน อีกประเดี๋ยวจะกลับมา”
กงจวิ้นหาวลุกขึ้นโค้งตัวส่ง แต่ไม่นาน เขากลับได้ยินเสียงร้องเบาๆ ดังออกมาจากในห้องบรรทม เพราะกังวลว่าจะมีอุบัติเหตุอะไรขึ้นกับนาง จึงพุ่งเข้าไปโดยไม่ทันคิด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้