เย่เฟิงมาถึงเขตชางผิงอย่างรวดเร็ว ระหว่างทางสืบจนรู้ที่ตั้งของคฤหาสน์ตระกูลหลิน เมื่อมาถึงสวนด้านนอกคฤหาสน์ก็ได้ใช้จิตหยั่งรู้สำรวจโดยรอบจึงพบทหารของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติซุ่มอยู่จำนวนมาก ทั้งยังมีอาวุธครบมือ เห็นได้ชัดว่าเหตุการณ์ในวันนี้ทำให้คฤหาสน์ตระกูลหลินจัดการคุ้มกันอย่างแ่า
การมีจิตหยั่งรู้เป็ประโยชน์ต่อเย่เฟิงมาก มันทำให้เขารับรู้สถานการณ์ภายในรัศมีหนึ่งร้อยเมตร ไม่ว่าจะมีคนกี่คน มีอาวุธอะไร หรือมีสุนัขกี่ตัว เขาก็รับรู้ได้ทั้งหมด!
เย่เฟิงใช้งานทักษะล่องหนเดินเข้าไปในเขตคฤหาสน์แล้วเดินสำรวจรอบๆ เพียงไม่นานก็มาถึงใจกลางสวนซึ่งมีอาคารลักษณะคล้ายโรงแรมอยู่ถัดไป
จากการใช้จิตหยั่งรู้สำรวจ ทำให้ชายหนุ่มรู้ว่าซูเมิ่งหานอยู่ในห้องห้องหนึ่งบนชั้นสามของอาคารลักษณคล้ายโรงแรมนั่น และมีเ้าหน้าที่สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสองคนเฝ้าประตู นี่ก็เท่ากับว่าพวกเขาบังคับกักขังเธอ หลังจากสำรวจอย่างละเอียดสักพักก็พบว่าอาคารหลังนี้สูงมาก ชั้นสามมีความสูงถึงสามสิบเมตร เย่เฟิงะโขึ้นไปไม่ได้แน่ หรือต่อให้ขึ้นไปได้ ก็บุกเข้าไปพาตัวซูเมิ่งหานออกมาไม่ได้อยู่ดี ชายหนุ่มทราบดีอยู่แล้ว ตอนนี้เขามาที่นี่ในฐานะเย่เฟิง ซึ่งไม่สามารถเผยพลังของตัวเองได้!
หากจะให้เขาเข้าไปช่วยซูเมิ่งหานในฐานะชายสวมหน้ากากก็ดูจะมากเกินไป สถานที่ที่ได้รับการคุ้มกันแ่าขนาดนี้ อย่างน้อยด้วยฐานะของเย่เฟิง ยังสามารถรับรองความปลอดภัยได้ ขืนเปลี่ยนเป็ชายสวมหน้ากาก ตนจะไม่ถูกเ้าหน้าที่ยิงจนพรุนหรอกเหรอ ดังนั้นเมื่อเดินมาถึงหน้าประตูอาคาร เขาก็ปลดทักษะล่องหน จากนั้นเตะประตูเปิดออกแล้วเดินเข้าไป!
“ซูเมิ่งหานอยู่ที่ไหน?” เย่เฟิงะโ ความจริงเขาไม่อยากได้คำตอบ เพียงแต่้าส่งเสียงดังข่มอีกฝ่ายเท่านั้น
ก่อนเข้ามา เย่เฟิงรับรู้สถานการณ์ในห้องโถงจากการใช้จิตหยั่งรู้แล้ว ภายในห้องโถงมีคนนับสิบ ส่วนใหญ่เป็คนของตระกูลหลิน และยังมีเหลยิหัวหน้าหน่วยของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ ทันทีที่ชายหนุ่มบุกเข้ามา คนในห้องโถงต่างลุกขึ้นทันที
“เหลยิ จับตัวเ้าเด็กนี่ไว้!” หลินเต๋อเทียนมีปฏิกิริยาเป็คนแรก เขายืนขึ้นพร้อมตบโต๊ะ ก่อนชี้เย่เฟิง
“เอาล่ะครับ ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อสู้กับใคร จับผมจะมีประโยชน์อะไร? ทำไมเราไม่คุยเื่ชายสวมหน้ากากกันล่ะครับ?” เย่เฟิงโบกมือ
ทันทีที่เขาพูดก็ส่งผลให้สีหน้าของทุกคนตึงเครียดขึ้นมา ตอนนี้มีใครในตระกูลหลินไม่อยากรู้บ้างว่าชายสวมหน้ากากเป็ใคร?
“ไอ้หมอนั่นเป็ใครกันแน่ เป็ลูกศิษย์จากสำนักไหน?” ในฐานะพ่อของหลินซิวเหวิน หลินเหรินเทียนจึงกระวนกระวายกับเื่นี้ที่สุด เขาถามด้วยใบหน้าบึ้งตึง
ภายใต้กรอบแว่น ใบหน้าของคนสูงวัยบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ เห็นได้ชัดว่าเื่ที่ลูกชายของเขากลายเป็คนปัญญาอ่อนกระทบจิตใจเขามาก
“เขาเป็เพื่อนคนหนึ่งของผม ส่วนเื่อื่น ขอโทษด้วยที่ต้องบอกว่าผมไม่รู้อะไรเลย” เย่เฟิงพูดด้วยท่าทีขึงขัง ก่อนเดินสองสามก้าวไปที่โต๊ะแล้วทรุดตัวนั่ง
“ในเมื่อนายไม่มีความจริงใจ งั้นเราก็ไม่มีอะไรต้องคุยกันอีก” สีหน้าของหลินเหรินเทียนเปลี่ยนเป็ไม่น่าดู ไม่หลงเหลือท่าทีสุขุมเหมือนตอนแรก ตอนนี้เขาดูเหมือนวัวกระทิงที่คอยปกป้องลูกสุดกำลัง
“ไม่ๆๆ ความจริงที่ผมอยากบอกก็คือ พวกคุณไม่คิดว่ากำลังโต้ตอบผิดคนหรือครับ?” เย่เฟิงเปลี่ยนเื่ด้วยท่าทีสงบนิ่ง
“หึ หลักฐานก็ชัดเจนอยู่แล้ว มันจะผิดคนได้ยังไง?” หลินเหรินเทียนตอบเสียงเย็น ก่อนดันแว่นตาขึ้น
“ใช่” หลินเต๋อเทียนที่อยู่ด้านข้างกล่าวเสริม “ก่อนตายไช่เฉ่าหงโทรศัพท์มาหาฉัน เขาบอกว่าชายสวมหน้ากากทำร้ายหลินซิวเหวิน แล้วยังลักพาตัวเซียวฉี่ไปด้วย หลังจากนั้นที่บ้านของไช่เฉ่าหง เป็ไปได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ที่ชายสวมหน้ากากจะเป็คนสังหารเขา แล้วยังจุดไฟทำลายศพเขาอีก…”
“แล้วแรงจูงใจล่ะครับ?” เย่เฟิงถามอย่างใจเย็น
“แรงจูงใจยังไม่แน่ชัด แต่จากการสันนิษฐานเบื้องต้น มันคง้าอะไรบางอย่างในบ้านของไช่เฉ่าหง” เหลยิลุกขึ้นพร้อมแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา
“ผมหมายถึงก่อนหน้านั้นต่างหาก เขาลงมือกับเซียวฉี่และหลินซิวเหวินไปทำไมครับ?” เย่เฟิงส่ายหัวก่อนถามต่อ
“ความจริงแล้ว นี่ก็เป็สิ่งที่ฉันสงสัย” เหลยิชิงพูดก่อนคนอื่นแทรก จากนั้นเหลือบมองหลินเต๋อเทียนและหลินเหรินเทียน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เมื่อครู่สายข่าวรายงานว่า พบศพชายชราคนหนึ่งใกล้อพาร์ตเม้นต์ของเซียวฉี่ ดูเหมือนจะเป็คนของยุทธจักร มีระดับวรยุทธ์ประมาณยี่สิบปี…”
คนที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็ผู้ทรงอิทธิพลระดับสูงของประเทศ ไม่ว่าจะเื่ของยุทธจักรหรือเื่อื่น พวกเขาล้วนรับรู้และเข้าใจดี ดังนั้นการพูดเช่นนี้จึงไม่มีอะไรไม่เหมาะสม
ด้วยข้อมูลจำกัด ไม่มีใครคาดเดาได้เลยว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น คนที่เป็กุญแจสำคัญในเวลานี้มีเพียงเซียวฉี่และชายสวมหน้ากาก น่าเสียดายที่คนหนึ่งหมดสติ ส่วนอีกคนก็หายไปแล้ว
“ตอนนี้อย่าพึ่งคาดเดาอะไรให้มากเลย” หลินเต๋อเทียนเคาะโต๊ะพลางกล่าวเสียงขรึม “หลังจากไช่เฉ่าหงตาย เหลยิก็ส่งคนไปตรวจค้นหลักฐานภายในบ้าน แล้วชายสวมหน้ากากก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง มันฆ่าเ้าหน้าที่ไปสามนาย ทั้งยังทำลายหลักฐานทิ้งทั้งหมด”
“น่าขำ” เย่เฟิงยิ้มบาง “ต่อให้เพื่อนของผมเป็คนลงมือทำลายหลักฐาน หลักฐานที่ถูกทำลายก็เป็หลักฐานที่อยู่ในบ้านของไช่เฉ่าหง ทำไมพวกคุณไม่ลองคิดดูล่ะครับว่าในบ้านของเขามีอะไรอยู่กันแน่?”
เหลยิกล่าวเสริม “ความจริงที่ห้องใต้ดินก็มีของน่าสงสัยอยู่เยอะมาก…”
“พอได้แล้ว” หลินเหรินเทียนดันแว่นพร้อมลุกขึ้นยืน พร้อมชี้เย่เฟิง “อย่าเปลี่ยนเื่ ตอนนี้ซิวเหวินกับเซียวฉี่นอนอยู่ที่โรงพยาบาล ไช่เฉ่าหงและเ้าหน้าที่หน่วย NSA ทั้งสามคนก็ตายด้วยน้ำมือของชายสวมหน้ากาก นี่คือความจริง ไอ้ชายสวมหน้ากากนั่นต้องถูกลงโทษ ต้องเอามันเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม”
เขากวาดตามองผู้คนโดยรอบ “ทุกคนคิดว่าไง? ไอ้ชายสวมหน้ากากนั่นไม่เพียงทำลายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของเรากับเพ่ยเค่อกรุ๊ป มันยังเป็ภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติด้วย แสดงให้เห็นว่าพวกคนในยุทธจักร้ายั่วยุพวกเรา!”
คำพูดของหลินเหรินเทียนเต็มไปด้วยความดูแคลนผู้ฝึกวรยุทธ์ เทียบกันแล้ว สมาชิกคนอื่น ในตระกูลหลินยังถือว่ามีเหตุผลอยู่บ้าง อาจเพราะพวกเขาไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ จึงเพียงมองอย่างสงบเพราะไม่้านำตัวเองไปเกี่ยวข้องกับเื่ยุ่งยากอย่างนี้
“อืม เื่นี้ต้องหารืออย่างรอบคอบ”
“ใช่ มีหลายอย่างที่ยังตรวจสอบไม่ได้ รอให้เด็กเซียวฉี่นั่นฟื้น ค่อยว่ากันอีกทีเถอะ”
เื่ทั้งหมดล้วนเป็ความรับผิดชอบของผู้นำตระกูลอย่างหลินเต๋อเทียนซึ่งมีตำแหน่งเป็ผู้บัญชาการของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติด้วย ความขัดแย้งระหว่างโลกของคนทั่วไปกับยุทธจักรล้วนเป็หน้าที่ของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ พวกเขาไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเื่นี้ แต่หลินเต๋อเทียนไม่เหมือนกัน
“เย่เฟิง บอกเบาะแสของชายสวมหน้ากากมา ฉันจะเห็นแก่ที่นายเป็หลานชายของผู้าุโเย่ ลุงอย่างฉันจะไม่ทำให้นายต้องลำบากใจ” หลินเต๋อเทียนเกลี้ยกล่อมอย่างสง่าผ่าเผย
เย่เฟิงกลับหัวเราะเสียงแ่ เขาหยิบหน้ากากสีขาวหน้าตาบูดบึ้งจากอกเสื้อ ก่อนสวมลงบนหน้า “ผมนี่แหละชายสวมหน้ากาก พวกคุณเชื่อไหม?”
การกระทำนี้ทำให้ทุกคนตื่นใ! แม้แต่สมาชิกตระกูลหลินคนอื่นๆ ที่มีท่าทีสงบมาตลอดล้วนพากันเบิกตากว้าง อะไรกัน? เย่เฟิงจะเป็ชายสวมหน้ากากได้อย่างไร?
“ดูปฏิกิริยาของพวกคุณสิ ผมแค่ล้อเล่นเอง เป็อะไรไปล่ะ?” เย่เฟิงยิ้มบาง ก่อนถอดหน้ากากแล้วโบกไปมาสองครั้ง “ใครสวมหน้ากากก็ถือเป็เพื่อนของผมแล้วหรือไง? พวกคุณหัดใช้สมองหน่อยสิ แค่หน้ากากอันเดียวก็สามารถระบุตัวตนได้แล้วงั้นเหรอ? ตามแผงข้างถนนหน้ากากราคาไม่ถึงสิบหยวน อย่างนั้นใครอยากเป็ชายสวมหน้ากากก็ได้สิ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้