กลิ่นคาวเืหมื่นปีก่อนและความยิ่งใหญ่ของเผ่าพันธุ์สัตว์ปีศาจทำให้นักฝึกตนไม่กล้ารุกรานพวกมันอีก
และนี่ก็เป็เหตุผลที่ว่าทำไมนักฝึกตนจึงหลงใหลในพลังของสัตว์ปีศาจ แต่กลับมีนักฝึกตนส่วนน้อยที่สามารถทำสัญญาใจกับสัตว์ปีศาจสำเร็จ สัตว์ปีศาจที่ขั้นยิ่งสูง พลังของฝูงมันก็ยิ่งแกร่งกล้า ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่นักฝึกตนสามารถฆ่าได้ง่ายๆ
แต่การปรากฏตัวของจอมยุทธ์ในตำนานนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงความเป็จริงแห่งกฎธรรมชาติได้
โลกนี้เดิมทีเป็โลกที่ผู้อ่อนแอมักตกเป็เหยื่อของผู้แข็งแกร่งกว่า
เ้าแห่งเผ่าพันธุ์สัตว์ปีศาจนั้นเพียงแค่ให้พลังที่แกร่งกล้ากับพวกมัน แต่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ฉันอริของนักฝึกตนกับสัตว์ปีศาจแต่อย่างใด ดังนั้นการเข่นฆ่าก็ยังคงมีสืบต่อกันมา แต่ไม่ใช่การฆ่าเพียงฝ่ายเดียวเช่นหมื่นปีก่อน
นับแต่นั้นมา จอมยุทธ์แห่งตำนานก็หายตัวไป จนถึงห้าพันปีก่อนเคยปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง แต่นับจากนั้นก็ไม่ปรากฏตัวอีกเลย มีคนกล่าวว่าจอมยุทธ์แห่งตำนานนั้นจากแผ่นดินหลงเสียงไปแล้ว มีบ้างที่กล่าวว่าเขากำลังหลับใหลอยู่ บ้างก็ว่าเขาอาจกำลังอยู่ที่ไหนสักแห่งในแผ่นดินหลงเสียงตอนนี้…
ไม่ว่าคำตอบคืออะไร สำหรับเผ่าพันธุ์สัตว์ปีศาจแล้ว จอมยุทธ์ท่านนั้นก็คือเทพเ้าของพวกมัน เป็ผู้นำของพวกมัน ยิ่งกว่านั้นยังเป็ตำนานกล่าวขานของเผ่าพันธุ์สัตว์ปีศาจด้วย!
โหยวเสี่ยวโม่ชะงัก คิดไม่ถึงว่าเมื่อหมื่นปีก่อนระหว่างนักฝึกตนกับสัตว์ปีศาจจะมีเื่ราวแบบนี้เกิดขึ้นด้วย
ถึงว่าเขาไม่เคยเห็นสัตว์ปีศาจที่ทำสัญญาใจในสำนักเทียนซินมาก่อน สัตว์ปีศาจพลังทั่วไปนั้น นักฝึกตนกับนักหลอมยาไม่มีทางทำสัญญาอย่างสิ้นเปลืองโดยง่าย และสัตว์ปีศาจพลังสูงก็หาได้ยาก เลือกไปเลือกมา คนที่ทำพันธสัญญากับสัตว์ปีศาจได้จึงมีน้อยมาก
ส่วนการก่อตั้งของดงงูหลามปีศาจ แน่นอนว่ามีการปกป้องจากเ้าแห่งสัตว์ปีศาจ แต่เขาไม่ได้ปรากฏตัวมาร่วมหลายพันปี ไม่มีใครรู้ว่าเขาออกจากแผ่นดินหลงเสียงไปหรือยัง ดังนั้นเทียบกันความน่าเกรงกลัวจึงไม่เท่าแต่ก่อน
ทว่าที่พวกสำนักใหญ่มีอำนาจทั้งหลายไม่ได้จู่โจมดงงูหลามปีศาจนั้น ยังมีสาเหตุอื่น
ดงงูหลามปีศาจนั้นถูกปกคลุมด้วยชั้นบรรยากาศสีเทาที่เป็พิษตลอดทั้งปี นั่นคือพิษที่แปรสภาพมาจากพิษที่งูหลามปีศาจกว่าหมื่นตัวพ่นออกมา สามารถทำลายการป้องกันของจอมยุทธ์ชั้นอรุณลงมาได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้นนอกเสียจากว่าสำนักใหญ่เ่าั้กล้าเสียสละชีวิตจำนวนมากของลูกศิษย์ พวกเขาจึงไม่มีทางกล้าลงมือกับดงงูหลามปีศาจแน่ อีกอย่าง เ้าแห่งดงงูหลามปีศาจซึ่งมีพลังขั้นเก้าก็ฝึกฝนจนสามารถแปลงกายในรูปลักษณ์มนุษย์ มีขุนพลทั้งแปดใต้บังคับบัญชา ล้วนมีพลังขั้นแปด พลังอำนาจนี้เทียบเท่ากับสำนักเทียนซินทีเดียวเชียว
อีกทั้ง ดงงูหลามมีความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ เดาว่ายังไม่ทันเจองูหลามปีศาจก็คงตายไปไม่น้อย
โหยวเสี่ยวโม่แอบสะกิดหลิงเซียว จังหวะที่ศิษย์พี่ทั้งสองกำลังคุยกันเขาก็แอบคุยกับหลิงเซียวว่า “ศิษย์พี่หลิง ท่านว่าเ้าแห่งสัตว์ปีศาจเก่งกาจเพียงนั้น เขาจะใช่เ้าของแดน์วิมานนี่รึเปล่า พวกเราเข้าไปแบบนี้ จะทำให้เขาโกรธมั้ย?”
หลิงเซียวถอนสายตาอภิรมย์ที่ทอดมองวิวทิวทัศน์ แววตาลุ่มลึกนั้นจ้องมองสีหน้าคาดหวังของโหยวเสี่ยวโม่ มุมปากยกสูงยิ้มอย่างคาดเดาไม่ออก “ไม่น่า”
“ทำไมไม่น่าล่ะ?” โหยวเสี่ยวโม่ถามกลับ
หลิงเซียวตาเป็ประกายจ้องมองเขา ยิ้มหรี่ตาแล้วเอ่ย “เ้าแห่งสัตว์ปีศาจถึงขั้นสร้างความเกรงกลัวให้กับนักฝึกตนได้ เห็นทีคงไม่มีใครสู้เขาได้ ก็เท่ากับว่าไม่มีใครทำร้ายเขาได้ ดังนั้นตอนนี้เขาน่าจะมีชีวิตอยู่ แต่เ้าของแดน์วิมานนั้นมีมาั้แ่หมื่นปีก่อน เป็จอมยุทธ์ที่ยาวนานกว่ามาก ตอนนี้คงตายจนไม่เหลือซากแล้ว(ดวงิญญาแตกซ่าน) แล้วจะเป็เขาได้ไงกัน?”
โหยวเสี่ยวโม่วิเคราะห์ตาม เห็นด้วยกับที่หลิงเซียวพูดมา เ้าแห่งสัตว์ปีศาจนั้นดูเหมือนจะโผล่มากะทันหัน มีความเป็ไปได้ว่าจะไม่ใช่คนในแผ่นดินหลงเสียง ดังนั้นเื่เวลาคาบเกี่ยวเป็ไปไม่ได้
“ศิษย์น้องเล็ก อันที่จริงการมีอยู่ของดงงูหลามปีศาจนั้นซับซ้อนกว่าที่เ้าคิด” จังหวะนั้นเองหลิงเซียวก็โน้มลงมากระซิบกับเขา
โหยวเสี่ยวโม่เงยหน้ามองใบหน้าที่ยังมีรอยยิ้มแต่งแต้มอยู่ ไม่ใช่รอยยิ้มสบายๆ หากแต่แฝงไปด้วยความดูถูกดูแคลน แววตาราวกับกำลังมองพวกเห็บอยู่ พลันอธิบายไม่ถูก
อันที่จริงเหตุผลที่ทั้งสามกลุ่มอำนาจไม่ลงมือเสียที เพราะความสมดุล
ตัวตนของสำนักเทียนซิน สำนักชิงเฉิง และพรรคซิงหลัวนั้นสร้างสมดุลของอำนาจในแดนใต้ของแผ่นดินหลงเสียง หากว่าอำนาจของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งลดลง ก็มีความเป็ไปได้ว่าอาจถูกอีกสองเ้าโค่นล้มได้
ยกตัวอย่างเช่น สำนักเทียนซินและสำนักชิงเฉิงต่างสนใจดงปีศาจงูหลามมาก พวกเขาสามารถร่วมมือกันรับมือกับงูหลามปีศาจตนนั้นได้ แต่อย่างที่รู้กัน พลังป้องกันของงูหลามปีศาจขั้นเก้านั้นไม่ธรรมดา อยากฆ่าเขาต้องแลกมาด้วยการลงทุนมหาศาล เท่านี้พวกเขาก็ต้องได้รับาเ็หนัก หากไร้ซึ่งความน่าเกรงขามของจอมยุทธ์ชั้นราชันแล้ว อำนาจก็จะเสียสมดุล พรรคซิงหลัวก็อาจลงมือกับพวกเขาแทนได้
หากว่าสามกลุ่มอำนาจไม่มีใครลงมือ กลุ่มอำนาจทั้งสองที่เหลือก็ไม่ลงมือเช่นกัน ได้แต่มองเนื้ออันโอชะอย่างดงงูหลามปีศาจที่ยิ่งอยู่ยิ่งขุนจนโตแต่ทำอะไรไม่ได้
“ศิษย์พี่หลิง ท่านว่าเ้าแห่งสัตว์ปีศาจนั่นยังมีชีวิตอยู่รึเปล่า?”
ความสัมพันธ์ของกลุ่มอำนาจพวกนี้ช่างซับซ้อน โหยวเสี่ยวโม่ี้เีไปทำความเข้าใจ แต่เขาสนใจตัวเ้าแห่งสัตว์ปีศาจมากกว่า
หลิงเซียวก้มลงมองเขา เอ่ยเสียงเบา “ยังอยู่แน่นอน”
โหยวเสี่ยวโม่ตาหมุนเป็วงกลม เอ่ยเสียงดีใจ “แล้วท่านรู้หรือไม่ว่าเขาอยู่ที่ไหน?”
“เขาน่ะเหรอ...” หลิงเซียวลูบคาง มองตาลุกวาวของเขา จู่ๆ ก็ถามกลับว่า “เ้าถามถึงเขาทำไมกัน?”
“ข้า ข้าก็แค่ถามดูเฉยๆ” โหยวเสี่ยวโม่หัวเราะทะเล้น เหมือนที่เขาบอกว่าแค่ถามเฉยๆ
คนทั่วไปคงไม่ถามจี้ต่อ แต่หลิงเซียวไม่ใช่คนทั่วไป ยิ่งไปกว่านั้นเ้าตัวก็ยืนอยู่ตรงนี้แล้ว ไม่ถามต่อคงเป็ไปไม่ได้ ฉับพลันก็ฟาดหัวเข้าให้ หัวเราะแล้วเอ่ย “บอกความจริงมา”
โหยวเสี่ยวโม่ขบริมฝีปากล่าง หมอนี่น่ารำคาญจริง ต้องจับไต๋เขาให้ได้ทุกครั้งสิน่า
โหยวเสี่ยวโม่รวบรวมคำพูดแล้วเอ่ย “ที่จริงข้าคิดว่า ท่านผู้นั้นเขาเก่งกาจขนาดนั้น สมบัติล้ำค้าที่เขาเฝ้าอยู่คงไม่ใช่ธรรมดาทั่วไปแน่ ดังนั้นหากรู้สถานที่ที่เขาเคยอยู่ละก็ พวกเราก็ลองไปหาได้ ไม่แน่อาจได้หญ้าเซียนขั้นสิบขึ้นไปสักต้น ท่านว่าใช่รึเปล่า?”
หลิงเซียวรู้สึกว่าตัวเองประเมินนักหลอมโอสถน้อยคนนี้ต่ำเกินไป กระทั่งกล้าวางแผนเื่เขาเสียด้วย แต่ว่า...เขามองสำรวจตัวเองั้แ่หัวจรดล่าง พบว่าก็มีแต่สมบัติล้ำค่าจริงเท่านั้น อืม จุดนี้เขาเห็นด้วย
“ศิษย์พี่หลิง ท่านว่าแผนข้าเป็ไง?”
โหยวเสี่ยวโม่เห็นเขาไม่พูด ก็เอ่ยถามย้ำท่าทีกระตือรือร้น เขาอยากรู้ให้ได้ตอนนี้
“แน่นอน เป็ความคิดที่เข้าท่า” หลิงเซียวยิ้มตาหยีแล้วพยักหน้า
ความเป็จริง แหล่งที่มีหญ้าเซียนชั้นสูงย่อมต้องมีสัตว์ปีศาจแน่ แต่แหล่งที่มีสัตว์ปีศาจไม่แน่ว่าจะมีหญ้าเซียน ชัดว่าโหยวเสี่ยวโม่ลืมจุดนี้ไป เมื่อได้ยินหลิงเซียวเห็นด้วยกับความคิดตัวเอง เขาก็มีความสุข คิดว่าตัวเองนั้นหลักแหลมใช้ได้
หลิงเซียวเห็นเขาใบหน้าดีใจ แววตาฉายแววยิ้มเ้าเล่ห์ แล้วเอ่ยต่อ “ศิษย์น้องเล็ก ข้าคิดๆ ดูแล้ว ความคิดนี้ดีมาก แต่ไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่”
ทันใด โหยวเสี่ยวโม่ก็เก็บสีหน้ายิ้มแย้ม ถามอย่างฉงน “ไม่สมเหตุสมผลตรงไหน?”
หลิงเซียกล่าวท่าทีจริงจัง “เ้าลองคิดดูให้ละเอียด เ้าจะหาที่ที่เขาเคยอยู่มาก่อน ถ้างั้นคงมีมากมาย หากเยอะเกินไป พวกเราก็ต้องตระเวนหาทั่วทุกที่ไม่ใช่รึไง?”
“นั่นก็ถูกอยู่” โหยวเสี่ยวโม่รู้สึกว่าเขาพูดมีเหตุผล “ถ้างั้นเราหาจากที่ที่มีพลังปราณหนาแน่นสิ ที่ที่มีพลังปราณอ่อนบาง คิดๆ แล้วคงไม่มีหญ้าเซียนชั้นสูงอยู่แน่ ท่านคิดว่าไง?”
“ถ้าแบบนี้ ข้าก็พอรู้อยู่ว่าที่ไหนที่เ้าแห่งสัตว์ปีศาจจะไปแน่นอน และที่นั่นต้องมีพลังปราณหนาแน่นอีกด้วย” หลิงเซียวยิ้มกริ่มเ้าเล่ห์ เผยคำใบ้ให้เขาก่อน
“จริงเหรอ งั้นท่านรู้ว่าคือที่ไหนงั้นสิ?” โหยวเสี่ยวโม่ตาลุกวาวทันใด
“ที่นั่นก็คือ…” หลิงเซียวเอ่ย
คำพูดประโยคหลังนั้นเสียงเบาจนโหยวเสี่ยวโม่รีบเงี่ยหูเข้าไปฟังใกล้ๆ
หลิงเซียวก้มลงมองใบหูแดงก่ำ แอบหัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยต่อ “นั่นก็คือ..ที่ที่เขาปลดทุกข์ยังไงล่ะ”
โหยวเสี่ยวโม่ “...”
น่าดีอกดีใจ ฉับพลันเปลี่ยนเป็หน้าอึไม่ออก
โธ่เอ๊ย แกล้งกันหรือ ที่ที่ปลดทุกข์คือที่ที่พลังปราณหนาแน่นที่สุด?
โหยวเสี่ยวโม่คิดได้ว่าตัวเองถูกแกล้งอีกแล้ว ที่เขารู้คือที่ปลดทุกข์คือที่ที่เหม็นที่สุดในโลกต่างหาก
ในที่สุดเขาก็พบว่า หลิงเซียวไม่ได้เห็นด้วยกับความคิดเขาแต่แรก ั้แ่ต้นจนจบแค่อยากแกล้งเขา แต่เขาก็ติดกับอีกจนได้…
“ฮ่าๆๆๆ!!” หลิงเซียวมองหน้าที่เปลี่ยนสีไปมาของโหยวเสี่ยวโม่ ในที่สุดก็กลั้นไม่อยู่หัวเราะออกมาดังลั่น และไม่หยุดง่ายๆ
โหยวเสี่ยวโม่หน้าดำหน้าแดง ทนไม่ไหวผลักเขาออก จากนั้นหมายจะเตะขาขวาเขา
หลิงเซียวไม่ใช่พวกยอมอ่อนข้อ จึงรีบยกขาขวาหนีถอยหลังไปหนึ่งก้าว
โหยวเสี่ยวโม่วิ่งตาม ชี้หน้าขู่ฟ่อ “เก่งจริงยืนอยู่ตรงนั้นอย่าหนีเซ่”
หลิงเซียวไม่มีทางยืนรอตรงนั้นอย่างเชื่องๆ อยู่แล้ว แม้ถูกเขาเตะจะไม่ได้รู้สึกอะไร แต่เขาก็ไม่ให้โหยวเสี่ยวโม่สมหวังหรอก กระนั้นแล้ว คนหนึ่งวิ่ง คนหนึ่งตาม วิ่งวนกลุ่มฟางเฉินเล่ออยู่เช่นนั้น
หลิงเซียวหาได้หัวเราะดังลั่นตามอำเภอใจแบบนี้ที่ไหนมาก่อน จากที่ทุกคนรู้ ‘หลินเซียว’ เป็คนมีกาลเทศะ สุภาพอ่อนน้อม ไม่เคยเห็นเขาหัวเราะมีความสุขเช่นนี้ก่อน
แต่ที่ทำให้พวกเขาเบิกตาโตก็คือ ‘หลินเซียว’ กลับเย้าแหย่ล้อเล่นกันกับนักหลอมโอสถน้อยขึ้นมาเสียได้ ดูท่าทางมีความสุขนั้นแล้วยังชอบใจเสียอีก
ภาพนี้ทำให้หลายคนตกตะลึง ที่แท้ ตัวตนจริงๆ ของ ‘หลินเซียว’ คือแบบนี้นี่เอง แต่ถ้าจะพูดถึงคนที่ตะลึงที่สุด เห็นจะเป็บรรดาศิษย์และผู้าุโของสำนักเทียนซินมากกว่า
พวกเขาใมากกว่าคนสำนักชิงเฉิงเสียอีก เพราะเป็เพื่อนร่วมสำนักกัน ดังนั้นจึงรู้ดีว่าหลินเซียวเป็คนเช่นไร พูดจาประนีประนอม แต่กลับไม่เคยสนิทสนมกับศิษย์คนไหนมาก่อน แม้เขาจะดีกับโหยวเสี่ยวโม่มาก ทั้งยังปกป้อง แต่พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อน ว่าแท้จริงแล้วทั้งสองนั้นจะอยู่กันอย่างในภาพที่เห็นตอนนี้
ยังไม่พูดถึงพรรคพวกของเซียวหลง ลำพังฟางเฉินเล่อที่ถูกทั้งสองคนวิ่งล้อมอยู่ก็อ้าปากเหวอทีเดียว เห็นกับตา ในที่สุดเขาก็รู้ว่าศิษย์น้องเล็กกับ ‘หลินเซียว’ นั้นสนิทสนมกันมากกว่าที่คิด
ถัดออกไปไม่ไกล ทังอวิ๋นฉีจ้องมองอย่างเดือดดาล สายตามองทั้งสองแข็งกร้าว
ศิษย์พี่ศิษย์น้องข้างๆ ไม่กล้ามองหน้านาง แต่ก็รับรู้ถึงความโมโหของนางได้ เห็นทีคนที่กระทบมากที่สุดจากภาพที่เห็นนี้คงจะเป็นาง
แต่ไม่มีใครกล้าปลอบประโลมนาง เพราะอยากแกว่งเท้าหาเสี้ยน
“พอได้แล้ว คนมากมาย กระเซ้าเย้าแหย่กัน มันดูไม่งาม!”
ในที่สุดขงเหวินก็ทนไม่ไหวกล่าว สีหน้าดำทะมึน ตักเตือนพร้อมจ้องมองโหยวเสี่ยวโม่
โหยวเสี่ยวโม่เห็นสายตาเยือกเย็นของเขาพลันรู้สึกขนลุก เก้อเขินจนรีบเม้มปาก รีบวิ่งกลับไปอยู่ข้างหลิงเซียว ไม่กล้าทำอีก
หลิงเซียวก็ไม่ได้วิ่งหนีเขาอีก มองเขาท่าทีหยอกล้อ
โหยวเสี่ยวโม่ตบหน้าตัวเอง อาศัยจังหวะที่ทุกคนมองไปยังดงงูหลามปีศาจ รีบยกขาแล้วกระทืบลงไปเหยียบขาหลิงเซียว ทีหนึ่งไม่พอ เหยียบซ้ำอีก เพราะหมอนี่แท้ๆ ทำให้เขาขายหน้าอีกแล้ว
หลิงเซียวยังยิ้มไม่เปลี่ยน ราวกับว่าคนที่โดนเหยียบไม่ใช่เขา มองไปทางม่านมิติเหมือนทุกคน
โหยวเสี่ยวโม่เหยียบอยู่พักหนึ่ง เห็นเขาไม่มีท่าทีเ็ปอะไร จึงชักเท้ากลับไม่สบอารมณ์ แต่เมื่อเขาเห็นรองเท้าขาวปักลายสวยกลายเป็สีเทา พลันยิ้มแฉ่งอย่างได้ใจ
หลิงเซียวได้ยินเสียงหัวเราะเขา มองตามลงไปเห็นรองเท้าสกปรกของตัวเอง มองเขาแล้วยิ้มมุมปาก “ศิษย์น้องเล็ก ตอนนี้พอใจรึยัง?”
โหยวเสี่ยวโม่ยิ้มกริ่มพลางพยักหน้า
หลิงเซียวยื่นมือมาเคาะกะโหลกเขาทีหนึ่ง ขณะที่โหยวเสี่ยวโม่กำลังจะโมโหอีก ก็รีบชี้ไปยังทังฝานและลั่วเฉิงหยวนที่กำลังเดินกลับมาทางพวกเขา “ดูนั่น เขตอาคมเปิดออกแล้ว”
โหยวเสี่ยวโม่ไม่เชื่อ นึกว่าหลิงเซียวหลอกเขา แต่วินาทีถัดมาก็ได้ยินเสียงเกรียวกราวของผู้คนดังขึ้น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้