ผ่านไปสักพักเย่เฟิงเดินมาถึงหอวิชา ก่อนจะปรากฏตำหนักโอ่อ่าในสายตาเย่เฟิง ทั้งยังมีลานกว้างขนาดใหญ่อยู่ด้านหน้าตำหนัก และที่แห่งนี้มีผู้ฝึกยุทธ์มาไม่ขาดสาย เพื่อมายืมใช้ทักษะเคล็ดวิชา
ณ สำนักยุทธ์เทียนเสวียน ทุกครึ่งปีบรรดาศิษย์จะมีโอกาสเข้าหอวิชาและยืมใช้ทักษะเคล็ดวิชาเพียงหนึ่งครั้ง ดังนั้นทุกครั้งจะมีคนเดินทางมาจำนวนมาก จากนั้นเย่เฟิงเดินเข้าไปในหอวิชา
“มาเพื่อยืมใช้ทักษะเคล็ดวิชาหรือ?” ขณะนั้นมีชายชราคนหนึ่งนั่งอยู่ในตำหนักหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามเย่เฟิง
“ใช่ขอรับ” เย่เฟิงพยักหน้า จากนั้นเขามองไปรอบ ๆ ตำหนัก ก่อนจะพบว่าในตำหนักแห่งนี้มีทั้งหมดสี่ชั้นและบรรจุทักษะเคล็ดวิชาไว้จำนวนมาก เห็นชัดว่าสำนักยุทธ์เทียนเสวียนมีรากฐานที่ลึกซึ้งมาก
“ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 8 เลือกคัมภีร์ได้สองเล่มจากชั้นที่หนึ่ง จำไว้อยู่ได้ห้ามเกินหนึ่งชั่วยาม” ชายชรากล่าวโดยไม่แม้แต่จะปรายตามองเย่เฟิง
เย่เฟิงกะพริบตาปริบ ๆ เขาไม่ได้ไปตามที่ชายชราบอก แต่ยืนครุ่นคิดอยู่ที่เดิม พลางเอ่ยถามชายชรา “ผู้เยาว์มีข้อสงสัย ไม่ทราบว่าท่านจะบอกได้หรือไม่?”
“เื่อะไร ว่ามาสิ?” ชายชรากล่าวด้วยท่าทีเกียจคร้านเช่นเดิม
“หอวิชานี้มีทั้งหมดสี่ชั้น ไม่ทราบว่าทุกชั้นมีใครเข้าไปได้บ้าง?” เย่เฟิงเอ่ยถาม
“ชั้นที่หนึ่งของขั้นบ่มเพาะกายา ชั้นที่สองของขั้นรวมชี่ ชั้นที่สามของผู้าุโสำนักยุทธ์ ชั้นที่สี่ของหัวหน้าพรรคทั้งสี่ เ้าสำนัก และตำแหน่งระดับสูง”
ชายชราตอบกลับอย่างไม่ค่อยเต็มใจ ทั้งยังหลับตาั้แ่เริ่มจนจบราวกับว่าเขาเป็เพียงคนเฝ้าประตูธรรมดา ๆ
“อย่างนี้นี่เอง” เย่เฟิงคิดในใจและอดถอนใจไม่ได้ เมื่อมีความแข็งแกร่งก็มักจะได้เสวยสุขกับทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์
ศิษย์ขั้นบ่มเพาะกายาเข้าถึงได้เพียงชั้นที่หนึ่งของหอวิชาแห่งนี้ ในนั้นมีแต่ทักษะระดับต่ำที่สุด ชั้นที่สองยกระดับขึ้นมาเล็กน้อย ชั้นที่สามคงต้องเก็บทักษะที่หาพบได้ยากไว้ ส่วนชั้นที่สี่จะต้องเก็บทักษะที่หายสาบสูญไว้แน่นอน
เย่เฟิงคิดในใจพลางตาเป็ประกาย จากนั้นเขาลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนพูดต่อ “ผู้าุโ ผู้เยาว์อยากขึ้นไปดูที่ชั้นสอง ไม่ทราบว่าจะได้หรือไม่?”
ชายชราผู้นั้นได้ยินคำพูดของเย่เฟิงก็ขมวดคิ้วแล้วลืมตาขึ้นเล็กน้อย “ข้าพูดไปแล้ว ชั้นที่สองเป็ของขั้นรวมชี่ แต่เ้าอยู่ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 8 จะเข้าไปได้อย่างไร?”
ชายชราดูเหมือนไม่พอใจ น้ำเสียงที่กล่าวออกมาก็เย็นเยือกเล็กน้อย
“ผู้เยาว์ทราบเื่นี้ เพียงแต่ทักษะของชั้นที่หนึ่งไม่อาจตอบสนองความ้าของข้าได้ ท่านผ่อนปรนให้ข้าจะได้หรือไม่?” เย่เฟิงกล่าวด้วยความเคารพนอบน้อม เขาดูออกว่าแม้ชายชราผู้นี้จะี้เีสันหลังยาว แต่จริง ๆ แล้วเป็ยอดฝีมือ ดังนั้นเขาจึงเรียกตนว่าผู้เยาว์เพื่อแสดงความเคารพนับถือ
“ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาอยากเข้าถึงชั้นที่สอง ทางสำนักยุทธ์ไม่มีทางผ่อนปรนให้ ไปได้แล้ว!” ชายชราสะบัดมือไปมาด้วยท่าทีรำคาญ
“ผู้เยาว์ขอตัว!” เย่เฟิงเห็นท่าทีของชายชราก็หมดความหวัง ก่อนจะโค้งคำนับชายชราแล้วออกไป
บัดนี้เย่เฟิงมีเคล็ดวิชาหอกเงินประกาย ฝ่ามือภูผาพิฆาต และทักษะหล่อิญญา อาจกล่าวได้ว่าทักษะทั่ว ๆ ไปที่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาฝึกกันไม่อาจตอบสนองความ้าของเย่เฟิงได้ ดังนั้นเย่เฟิงจึงอ้อนวอนชายชราผู้นั้น
“ไม่เจียมตัวเสียจริง อยู่แค่ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 8 แต่อยากเข้าถึงชั้นที่สองเนี่ยนะ? ช่างน่าขันสิ้นดี” ขณะนั้นมีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากบางแห่ง เย่เฟิงจึงหันไปมอง ก่อนจะเห็นสองเงาร่างที่ประตูหอ สองคนนี้เป็คนรุ่นเยาว์ สวมอาภรณ์หรูหรา มีกลิ่นอายไม่ธรรมดา ผู้คนที่เดินเข้าออกหอวิชาเห็นพวกเขาต่างก็เผยสีหน้าเลื่อมใสศรัทธาและหลีกทางให้ โดยเฉพาะชายหนุ่มขั้นบ่มเพาะกายาทางขวามือ เขาดูไม่ธรรมดา ทั้งยังมีลักษณะพิเศษ เห็นชัดว่าระดับการบ่มเพาะของเขาต่ำกว่าสหายขั้นรวมชี่ที่อยู่ข้างกายเขา แต่ทั้งสองยืนอยู่ด้วยกัน ชายรูปงามผู้นี้กลับโดดเด่นกว่าใคร
ไม่นานนักทั้งสองเดินมาที่ด้านหน้าเย่เฟิง มองเย่เฟิงด้วยสายตาดูถูก ชายรูปงามผู้นั้นระบายยิ้ม กล่าวกับเย่เฟิงว่า “เ้าไม่รู้หรือว่าที่นี่เป็สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ จะให้คนต่ำต้อยอย่างเ้าต่อรองได้เยี่ยงไร?”
น้ำเสียงของชายผู้นั้นเย่อหยิ่ง ใบหน้าอันหล่อเหลายังแฝงไว้ซึ่งความสูงศักดิ์ ราวกับว่าเขาคือาาในที่แห่งนี้ ไร้ซึ่งผู้ใดต่อต้านเขา และทุกคนต้องยอมศิโรราบ
เย่เฟิงได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไปชั่วขณะพลางคิดในใจ “สำนักยุทธ์เทียนเสวียนมีแต่คนอวดดี ไม่ว่าไปทางไหนก็เจอ”
“เฒ่าจิง ข้า้าคัมภีร์ทักษะสักเล่ม เช่นนั้นขอตัวก่อน” ชายรูปงามผู้นั้นพูดกับเย่เฟิงจบก็ไม่เหลียวแลอีก แต่มองชายชราที่อยู่ไม่ไกล ก่อนจะกล่าวเช่นนั้นพร้อมโค้งคำนับ จากนั้นเขาเดินไปยังชั้นที่สองด้วยท่าทีสง่าผ่าเผย
“สวะ คนบางคนเกิดมาก็เพียบพร้อมทุกอย่าง เ้ามิอาจเทียบชั้นได้หรอก” ทั้งสองเดินผ่านเย่เฟิงไป แต่ชายหนุ่มขั้นรวมชี่หยุดชะงักเล็กน้อย ก่อนจะพูดจาเย้ยหยันเย่เฟิง ทันใดนั้นดวงตาของเย่เฟิงส่องประกายคมกริบ เขาไม่สนใจชายหนุ่มผู้นั้น แต่เป็เพราะความไม่ยุติธรรมของผู้าุโหอวิชา
เมื่อครู่นี้เขาเย่เฟิงอยากขึ้นไปชั้นที่สองจึงขอร้องผู้าุโหอวิชา แต่อีกฝ่ายปฏิเสธอย่างไม่ลังเล เวลานั้นเย่เฟิงก็คิดว่าเป็กฎจึงไม่ได้คิดอะไรและเข้าใจการตัดสินของชายชรา ทว่าชายรูปงามผู้นั้นอยู่จุดสูงสุดของขั้นบ่มเพาะกายา แต่กลับบอกจะขึ้นไปยังชั้นที่สองกับชายชราอย่างเปิดเผย
“ทำไมเ้ายังไม่ไปอีก?” ในขณะที่เย่เฟิงขบคิด เสียงของชายชราผู้นั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ทำไมข้ายังไม่ไปน่ะหรือ? ผู้าุโต้องให้คำอธิบายกับข้า” เย่เฟิงตอบตามตรงด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“คำอธิบาย? ไหนลองว่ามาซิ?” ชายชราชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามเย่เฟิงแทน
“เมื่อครู่ท่านบอกว่า ชั้นที่สองไม่อนุญาตให้ผู้อยู่ขั้นบ่มเพาะกายาขึ้นไปได้ แล้วชายผู้นั้นล่ะ? ท่านอย่าบอกว่าเขาอยู่ขั้นรวมชี่” เย่เฟิงกล่าวเสียงเย็น
“เ้า้าความยุติธรรมหรือ?” ชายชราถามกลับโดยไม่มีท่าทีโมโห แต่ดูเหมือนจะเอ่ยถามสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับเื่นี้
“ใช่” เย่เฟิงพยักหน้า หากผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาคนอื่น ๆ เข้าถึงชั้นที่สองไม่ได้เหมือนกัน เขาก็ย่อมไม่พูดอะไร
“มีพลังไม่มากพอ เ้ามีสิทธิ์อะไรทวงความยุติธรรม? โลกแห่งการบ่มเพาะก็เป็เช่นนี้แล เมื่อแข็งแกร่งก็ย่อมเปลี่ยนกฎได้ เ้าควรรู้ว่ากฎมีไว้เพื่อผู้อ่อนแอ ส่วนผู้แข็งแกร่งคือผู้สร้างกฎไว้ควบคุมผู้อื่น สำนักยุทธ์เทียนเสวียนก็เช่นกัน ผู้อ่อนแอไม่สมควรได้รับความยุติธรรม หากเ้า้ามันก็จงแข็งแกร่งขึ้นซะ!” ชายชรากล่าวอย่างไม่เกรงใจ ทำให้เย่เฟิงตัวสั่นสะท้าน รู้สึกว่าทั้งร่างกายและจิติญญาได้รับผลกระทบอย่างแรง
“ผู้อ่อนแอทำได้เพียงยอมรับกฎ ไม่สมควรได้รับความยุติธรรม” แม้ประโยคนี้จะโหดร้าย แต่มันเป็ความจริง ผู้แข็งแกร่งคือผู้สร้างกฎ ส่วนคนอื่น ๆ ต้องถูกจำกัดอยู่ในกฎที่เขาสร้างขึ้น
ปีนั้นตระกูลเย่ของเขามีความดีความชอบในการสู้รบ เสียหยาดเหงื่อไปมากเพื่ออาณาจักรจ้าว แต่เพราะตระกูลเย่เขาล่วงเกินคนในราชวงศ์ของอาณาจักรจ้าว ล่วงเกินเซิ่งอ๋อง ดังนั้นตระกูลเย่จึงล่มสลายในชั่วข้ามคืน เื่นี้เป็เพราะตระกูลเย่เขาอยู่ภายใต้กฎที่ทรงพลังของอาณาจักรจ้าว ภายนอกตระกูลเย่เป็ตระกูลผู้สร้างคุณงามความดี แต่ความจริงเป็เพียงเครื่องมือของราชวงศ์จ้าว เมื่อตระกูลเย่ฝ่าฝืนกฎของราชวงศ์จ้าว ทางราชวงศ์จึงใช้กฎที่พวกเขาสร้างขึ้นกำจัดตระกูลเย่
เย่เฟิงเข้าใจความหมายของชายชราดี ชายรูปงามผู้อยู่จุดสูงสุดของขั้นบ่มเพาะกายาไม่ใช่คนธรรมดา พอเข้ามาในหอวิชาก็เปลี่ยนกฎของชายชราทันที ส่วนเขาเย่เฟิงเป็เพียงศิษย์ธรรมดา จะไปมีสิทธิ์เช่นนั้นได้อย่างไร
“ข้าเข้าใจแล้ว” เย่เฟิงตอบชายชรา จากนั้นก้าวเท้าจะเดินออกไป แต่กลับได้ยินเสียงของชายชราดังขึ้นอีกครั้ง
“อย่าเพิ่งรีบไปสิ” เย่เฟิงหยุดชะงักและเผยสีหน้าสงสัย
“เห็นแก่ความจริงใจของเ้า ข้าจะให้โอกาสเ้า หากเ้าฝ่าค่ายกลของข้าไปได้ ข้าจะให้เ้าเข้าถึงชั้นที่สอง”
ชายชรากล่าวช้า ๆ จากนั้นเขาโน้มตัวลงไป พลันมีแสงจ้าที่ปลายนิ้วของเขา พร้อมมีพลังประหลาดเข้าปกคลุมร่างเขา
เย่เฟิงกะพริบตาปริบ ๆ ขณะมองการกระทำของชายชราอย่างเงียบ ๆ เขาเห็นชายชราตวัดนิ้วไปมาบนพื้นด้วยจังหวะช้าปนเร็ว ก่อนจะถักทอเป็ลวดลายอย่างช้า ๆ
เย่เฟิงใเล็กน้อย ดูเหมือนมีท่วงทำนองพิเศษในลวดลายของชายชรา คล้ายเชื่อมโยงกับฟ้าดิน ทำให้ทุกลายเส้นที่เขาวาดทั้งแม่นยำและถูกต้อง
เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป ชายชราก็วาดลวดลายเสร็จ ทั้งยังมีพลังประหลาดแผ่ออกมาจากลวดลายบนพื้น
“ขึ้นไปอยู่บนลวดลาย หากฝ่าค่ายกลภายในเวลาหนึ่งก้านธูปได้ ข้าจะให้เ้าเข้าถึงชั้นที่สอง” ชายชรากล่าวเสียงเรียบ จากนั้นกลับไปประจำตำแหน่งเดิม
ดวงตาของเย่เฟิงเผยประกายคมกริบ จู่ ๆ เขาก้าวขึ้นไปบนลวดลายอย่างไม่ลังเล
“วูบ!” ทันทีที่เย่เฟิงเข้าไปอยู่ในลวดลาย ภาพตรงหน้าเขาก็จางหายไป แต่แทนที่ด้วยความมืด ราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิต
ห้วงมิตินี้มีความคล้ายคลึงกับมิติที่สัตว์อสูรวานรั์ตนนั้นบนยอดเขาเทียนเสวียนอยู่หลายส่วน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้