สวี่จือรู้สึกว่าชีวิตของตนเองนั้นไม่มีโชค
ั้แ่วัยเยาว์บิดามารดาก็เสียชีวิตไปแล้วทั้งคู่ พี่ชายเพียงคนเดียวซ้ำก็ยังขาพิการ ในครอบครัวอย่างจวนโหว หากมีร่างกายที่ไม่สมประกอบก็หมายความว่าต้องถูกสกุลทอดทิ้ง
นางที่ถูกส่งไปอยู่เรือนท้ายจวนจนถึงอายุสิบสี่หนาว ก็ถูกคนในครอบครัวจัดการให้แต่งออกไปที่จวนติ้งกั๋วกง ซึ่งเป็การแต่งงานแทนพี่สาวผู้เป็ญาติของตนเองกับคุณชายสองของจวนติ้งกั๋วกง ผลปรากฏว่ายังไม่ทันได้เข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดิน อีกฝ่ายก็ดันด่วนจากไปเสียก่อน ต่อมาจวนติ้งกั๋วกงก็ถูกยึดทรัพย์ ทั้งครอบครัวถูกส่งไปที่หลิงหนาน สวี่จือเองก็ทำได้เพียงติดตามคนของจวนติ้งกั๋วกงเดินทางหลายพันลี้ไปที่หลิงหนานด้วยเช่นกัน
ชีวิตหลังจากนั้นก็ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ สวี่จือถูกแม่สามีที่เกลียดนางเข้ากระดูกขายออกให้ไปเป็ชาวประมง ด้วยใจที่เฉยชา ไร้ซึ่งความอาลัยอาวรณ์ สวี่จือจึงตัดสินใจโดดลงทะเลฆ่าตัวตายไปเสีย
วินาทีก่อนที่จะตายนั้น สวี่จือกำลังครุ่นคิดกับตนเองว่า หากบิดามารดาไม่ได้ตกตายไปเพราะอุบัติเหตุในครานั้น ตัวนางเองมีคนคอยดูแล อีกทั้งยังมีคนหนุนหลัง จะประสบพบเจอเหตุการณ์ยากลำบากเช่นนี้อยู่อีกหรือไม่?
ตอนที่ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง สวี่จือพบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนเตียงเตียงหนึ่ง พอหันศีรษะมองไปรอบๆ พบว่าภายในห้องล้วนตกแต่งด้วยสิ่งของกลางเก่ากลางใหม่ บริเวณใกล้หน้าต่างมีตั่งหลัวฮั่นวางอยู่ตัวหนึ่ง ตรงกลางตั่งมีโต๊ะเตี้ยตัวเล็กๆ วางอยู่ และมีที่เหยียบสองตัวอยู่ที่พื้นด้านหน้าตั่ง
ใกล้ๆ ตั่งหลัวฮั่นเป็โต๊ะบูชา และมีภาพไห่ถางชุนซุยแขวนเอาไว้บนผนังห้อง
บนโต๊ะบูชามีจานผลไม้วางไว้สามจาน ้าจานผลไม้มีธูปดอกเล็กๆ ปักเอาไว้อยู่หนึ่งดอก กลิ่นควันธูปหอมๆ โชยออกมาจากก้านธูป
สวี่จือยันตัวจะลุกขึ้นนั่ง ปรากฏว่าพอเห็นมือของตนเองก็พบว่ามันกลับกลายเป็มือของเด็กตัวเล็กๆ ไปเสียแล้ว
นางยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาระดับใบหน้าหน้าตนเองแล้วเพ่งพินิจ มือทั้งสองข้างขาวนวลและนุ่ม เล็บมือกลมสวยสะอาดสะอ้าน แค่มองก็รู้ว่าต้องผ่านการตัดแต่งดูแลเอาใจใส่เป็อย่างดี ไม่ใช่มือสากๆ ที่แสนจะหยาบกร้านเพราะล้มลุกคลุกคลานตรากตรำเป็ประจำอย่างเก่า
นางตกตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนจะลุกขึ้นมาจากเตียง มองไปรอบๆ พบว่าภาพตรงหน้านั้นช่างคุ้นตาแต่ก็ไม่คุ้นเคยในความรู้สึกราวกับฝันไป
สวี่จือหันหน้าไปเห็นโต๊ะเครื่องแป้งที่อยู่ติดกับเตียง ้าวางกล่องใส่เครื่องประทินผิวเอาไว้ ซึ่งตอนนี้กล่องยังคงเปิดอยู่ นางอยากจะไปดูคันฉ่องเป็อย่างมาก ว่าตนเองในตอนนี้มีหน้าตาเป็อย่างไร
ขณะที่กำลังคิดเป็ตุเป็ตะกับตนเองในใจอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงสนทนาดังมาจากด้านนอกหน้าต่าง สวี่จือผู้แสนขี้ขลาดก็รีบกลับลงไปนอนบนเตียงดังเดิม
ด้านนอกหน้าต่างมีคนพูดกระซิบกระซาบกันเสียงเบา “เมื่อครู่ข้าได้ยินคนเฝ้าประตูพูดกันว่านายท่านนำคนไปนอกเมืองเพื่อหาคนแล้ว พี่อู๋ เ้าว่าคุณชายสามกับฮูหยินสามจะเป็อันใดไปหรือไม่?”
คนที่ถูกเรียกว่าพี่อู๋ผู้นั้นกล่าวว่า “เื่เช่นนี้ผู้ใดจะไปรู้กันเล่า แม่นางจาง เ้าไปได้ยินผู้ใดพูดเช่นนี้กัน?”
แม่นางจางกล่าวว่า “่บ่ายตอนที่ข้าไปเอาอาหารที่โรงครัว ได้ยินหนิวเอ้อน์คนขับรถม้ากลับมาส่งข่าว บอกว่าเป็เพราะถนนลื่นเกินไป เป็เขาคนเดียวที่ะโลงมาจากรถม้าได้ทัน ส่วนคุณชายสาม ฮูหยินสามแล้วก็คุณชายใหญ่ตกลงไปในเหวด้วยกัน เ้าว่าเหตุใดคนดีๆ ถึงไม่มีข่าวดีๆ กัน?”
แม่นางอู๋พูดขึ้นว่า “คุณหนูเก้าผู้น่าสงสารของพวกเรา อายุยังน้อยแท้ๆ หากสิ้นบิดามารดาไวปานนี้ แล้วต่อไปผู้ใดจะดูแลเล่า?”
แม่นางจางเอ่ย “ได้ยินมาว่าโหวเย่ [1] ไปตามหาแล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถพากลับมาได้หรือไม่ หากพากลับมาได้แล้ว แขนหักขาหัก เส้นทางยิ่งใหญ่นี้ก็ถือว่าจบแล้ว ได้ยินมาว่าหากร่างกายพิกลพิการจะไม่สามารถสอบเป็ขุนนางได้นี่”
สวี่จือได้ยินถึงตรงนี้ก็รู้แล้วว่านี่เป็เื่ราวที่เกิดขึ้นตอนนางยังเยาว์
นางเคยได้ยินแม่นมของตนพูดถึงเกี่ยวกับบิดามาก่อนว่า หลังจากคุณชายสามของจวนโหวนามว่าสวี่เหราสอบเข้าราชการได้ จู้อี๋เหนียงหรือก็คือมารดาของสวี่เหราบอกว่านางเคยบนบานที่วัดเฉิงกวง หลังจากที่สวี่เหราสอบเข้าเป็ขุนนางได้แล้วก็ให้รีบไปแก้บนเสีย อีกทั้งยังต้องพาบุตรทั้งสองในเรือนไปด้วย
ในวันนั้นเอง สวี่จือหลังจากตื่นนอนตอนเช้าก็มีอาการไข้ บิดามารดาสงสารนางที่มีร่างกายค่อนข้างอ่อนแอ จึงมิได้พานางไปด้วย พาไปเพียงสวี่ตี้เท่านั้น ผลปรากฏว่ารถม้าที่สวี่เหรานั่งไปวัดพลัดตกลงไปในหุบเหวด้านล่างูเาเหตุเพราะว่าถนนลื่น สวี่เหรากับภรรยาของเขาจึงตกตายไปด้วยเหตุฉะนี้
สวี่ตี้ตกลงไปขาหัก หลังจากถูกคนช่วยขึ้นมาได้แล้ว สวี่จือกับสวี้ตี้ผู้เป็พี่ชายก็กลายเป็เด็กกำพร้า
เื่นี้ล้วนเป็สิ่งที่สวี่จือฟังแม่นมของตนเองเล่ามาอีกทอดหนึ่ง ตอนที่เกิดเื่นี้ขึ้น สวี่จืออายุเพียงสี่หนาว ส่วนสวี่ตี้อายุสิบหนาวเท่านั้น
สวี่จือปีนลงมาจากเตียง แล้วคลานไปตรงตั่งหลัวฮั่นที่อยู่ตรงหน้าต่าง ดอกไม้สีแดงสดงดงาม ใบไม้สีเขียวชอุ่มละลานตาอยู่ด้านนอกหน้าต่าง ต้นสือหลิว [2] ในเรือนออกดอกสีแดงเต็มต้น ตรงมุมข้างประตูเรือนปลูกต้นพุทธรักษากินหัวที่ดอกกำลังผลิบานอยู่พอดี ภายใต้แสงแดดอันอบอุ่นของดวงอาทิตย์ที่อาบไล้ไปทั่วทั้งเรือนหลังเล็กนี้ ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความมีชีวิตชีวา เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง
ทางเดินทอดยาวที่ถูกใบไม้ที่ร่วงหล่นจากต้นกองทับถมจนกลายเป็สีแดง มีคนสองคนยืนอยู่ ต่างก็สวมใส่ชุดของบ่าวรับใช้ของจวนโหว ถึงแม้เวลาจะผ่านมานานหลายปีแล้ว แต่สวี่จือก็ยังคงจำได้เพียงแค่มองปราดเดียวเท่านั้น
แม่นางจางยังคงอยากจะพูดต่อไป ส่วนแม่นางอู๋ก็ได้ห้ามเอาไว้
แม่นางจางหลังจากทำความเคารพแม่นางอู๋เสร็จก็รีบเดินจากไป คนถูกทำความเคารพถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนจะแหวกม่านแล้วเดินเข้าไปในเรือน
เมื่อเข้ามาในห้องก็เห็นร่างเล็กๆ นั่งอยู่บนตั่งข้างหน้าต่างด้วยน้ำตานองหน้า นางใรีบเข้าไปอุ้มสวี่จือขึ้นมาพร้อมพูดว่า “ไอ๊หยา คุณหนูเก้าของข้าน้อย เป็อันใดไปเ้าคะ? เหตุใดถึงมานั่งอยู่ตรงนี้ แถมยังร้องไห้อีกด้วย?”
สวี่จือเมื่อเห็นแม่นางอู๋ ถึงได้รู้ว่าที่แท้ก็คือแม่นมอู๋นี่เอง แต่ว่าเป็แม่นมอู๋ที่ยังสาวกว่าแต่ก่อนมากทีเดียว
แม่นางอู๋ในตอนนี้ เป็คนในจวนโหวที่รับผิดชอบซื้อของเข้าโรงครัว นางเป็แม่นมของซื่อจื่อ [3] ต่อมาเมื่ออายุมากขึ้น ก็ไปดูแลเรือนของโหวฮูหยิน เป็สาวใช้คนโปรดของฮูหยินท่าน
ตอนที่สวี่จือถูกบีบบังคับให้แต่งงานแทนพี่สาว นางยังเคยแอบส่งของมาให้สวี่จืออยู่หลายครั้ง ทั้งยังแอบบอกเื่ราวต่างๆ แก่สวี่จือ เื่ราวความเป็ไปต่างๆ ในจวนติ้งกั๋วกงนั้นก็ล้วนเป็สิ่งที่แม่นมอู๋บอกแก่สวี่จือทั้งนั้น เพราะคำบอกเล่าของแม่นมอู๋ สวี่จือจึงไม่ได้เข้าไปในจวนติ้งกั๋วกงด้วยดวงตามืดบอดไม่รู้อะไรเลย
สวี่จือร้องไห้สะอึกสะอื้น กอดคอแม่นางอู๋แน่น แล้วพูดว่า “ข้าอยากได้ท่านแม่ ข้าอยากได้ท่านพ่อ”
แม่นางอู๋ถอนหายใจ ตบหลังสวี่จือเบาๆ พลางปลอบ “คุณหนูเก้าเ้าคะ อย่าร้องไห้ไปเลยเ้าค่ะ ท่านพ่อท่านแม่ของท่านอีกเดี๋ยวก็จะพาพี่ชายของท่านกลับมาแล้วเ้าค่ะ”
สวี่จือทนไม่ไหวอีกต่อไป โถมตัวเข้าไปในอ้อมกอดของแม่นางอู๋แล้วร้องไห้จ้าเสียงดังลั่น
แม่นางอู๋ถูกสวี่จือร้องไห้ใส่เช่นนี้ก็รู้สึกปวดใจยิ่งนัก ก่อนจะไปนั่งบนตั่งหลัวฮั่น พลางกอดสวี่จือเอาไว้ในอ้อมแขน แล้วเอ่ยว่า “คุณหนูเก้าเ้าคะ ต่อไปพวกเราก็จะกลายเป็สตรีที่เติบใหญ่ ถึงตอนนั้นจะต้องดูแลตัวเองนะเ้าคะ”
สวี่จือฟังแล้วในใจก็ยิ่งเ็ป ภายในใจของนางย่อมรู้ดี การที่แม่นางอู๋พูดเช่นนี้ บิดามารดาของนางแล้วก็พี่ชายนั้นคงโชคร้ายมากกว่าโชคดี
นางก็มิรู้ว่าตนเองร้องไห้ถึงตอนไหนถึงเผลอหลับไป แม่นางอู๋มองเด็กน้อยดวงตาบวมปูดในอ้อมกอดของตนเอง แล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะวางสวี่จือลงบนเตียงนั้น นางไม่วางใจที่จะทิ้งสวี่จือเอาไว้ในห้องนี้เพียงลำพัง จึงไปหาเก้าอี้มานั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง
เชิงอรรถ
[1] โหวเย่ เป็คำเรียกนายท่านของจวนโหว
[2] ต้นทับทิม (石榴树: Shíliú shù)
[3] ซื่อจื่อ (世子: Shìzi) ซึ่งหมายถึงผู้สืบทอด บุตรชายผู้ที่จะสืบทอดบรรดาศักดิ์ต่อจากบิดา เช่น บุตรชายของชินหวาง โหวเย่ ฯลฯ จะถูกเรียกว่า ซื่อจื่อ ต่างจาก รัชทายาทหรือไท่จื่อ (太子: Tàizǐ) ซึ่งเป็คำเรียกคนที่จะขึ้นเป็หวงตี้พระองค์ต่อไปเท่านั้น