บทที่ 50 เจอกันอีกครั้ง
ซั่งซูอวี๋หยิบกาน้ำชามาและรินชาให้ตัวเองโดยไม่สนใจฉินชูเช่นกัน
หลังจากดื่มชาเสร็จ ฉินชูก็ขัดเกลาวิชากระบี่ต่อ เพื่อหยั่งััและทำความเข้าใจเจตจำนงแห่งวิถีกระบี่ให้ลึกกว่านี้
พักผ่อนอยู่ที่เดิมสามวันเต็ม วันที่สี่ทุกคนก็เริ่มออกเดินทางต่อ แต่ก่อนจะออกเดินทาง ในที่สุดหลิวเสวี่ยก็ฆ่าซาหานทิ้ง
สามวันที่ผ่านมา ไป๋อวี้กับพวกเจิ้งชิวรุมทรมานซาหานมาตลอด
สุมหัวกับคนอื่นทำลาย ทารุณและฆ่าศิษย์พี่ศิษย์น้องของตัวเองเป็พฤติกรรมที่ชั่วช้าเลวทรามเป็ที่สุด ใครจะทนได้
“ศิษย์น้องฉิน อาการาเ็ของเ้าเป็อย่างไรบ้าง” หลิวเสวี่ยเดินเข้ามาถามฉินชูที่เดินนำหน้า วันนั้นนางเห็นฉินชูโดนฟันเข้ากลางหลังเป็แผลลึก ซ้ำยังถูกแทงที่หน้าท้องค่อนข้างลึกอีก แต่สองสามวันที่ผ่านมา ฉินชูกลับเอาแต่ขัดเกลาวิชากระบี่ราวกับตัวเองไม่าเ็
“ไม่เป็ไรแล้ว พักฟื้นอีกสองสามวันก็หาย” ฉินชูพูด
ขณะเดินหน้าต่อไป สัตว์อสูรก็โผล่มาอยู่เรื่อยๆ ฉินชูชักกระบี่จัดการ โดยพยายามเชื่อมโยงกับััของเจตจำนงกระบี่ที่เพิ่งหยั่งถึงได้ไม่นาน
“ศิษย์น้องฉินเป็คนที่ไหน” เจิ้งชิวรับผลึกพลังสัตว์อสูรมาจากมือฉินชูพลางเอ่ยถาม
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่ข้ารู้คือมาจากหุบเขาลึก” ฉินชูเช็ดกระบี่ แล้วเก็บเข้าฝักที่สะพายอยู่ด้านหลัง
“ทำไมถึงอาศัยอยู่ในหุบเขาลึกละ พ่อแม่ของเ้าเป็พรานล่าสัตว์หรือ” หลิวเสวี่ยถามต่อ
ฉินชูสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนส่ายหน้า “ไม่รู้เหมือนกัน ข้าไม่เคยเห็นหน้าพวกเขา แต่คิดว่าน่าจะไม่ใช่นายพรานล่าสัตว์ ข้ารู้สึกว่าพวกเขาไม่ธรรมดา”
พูดจบ ฉินชูก็เดินหน้าต่อไป ปล่อยให้หลิวเสวี่ยกับคนอื่นๆ มองตากันปริบๆ คำพูดเรียบง่ายของฉินชูแฝงด้วยนัยมหาศาล
สองวันผ่านไป ทุกคนก็มาถึงเขตหอร้อยชัย ขณะที่ฉินชูกำลังอ่านแผนที่อยู่นั้น ซั่งซูอวี๋ก็เดินมาข้างๆ ฉินชู “ในแผนที่ของข้าไม่มีกำกับสถานที่แห่งนี้เอาไว้ ขอบใจพวกเ้าที่อุตส่าห์แบ่งน้ำชาให้ข้าดื่ม”
พูดจบ ซั่งซูอวี๋ก็หันหลังจากไปทันที
“เ้าจะอยู่ต่อก็ได้” อยู่ๆ ฉินชูก็พูดขึ้นหลังจากมองตามแผ่นหลังของซั่งซูอวี๋ที่กำลังคล้อยจากไป
ซั่งซูอวี๋หยุดฝีเท้าลงครู่หนึ่งราวกับกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ไม่นานก็เดินต่อไป
“ขอบใจเ้าที่อุตส่าห์ปลุกััแห่งเจตจำนงกระบี่ให้ข้า โปรดระวังตัวให้ดี” เมื่อเห็นซั่งซูอวี๋ไร้ท่าทีจะอยู่ต่อ ฉินชูก็แอบอุทานอย่างเสียดาย
ซั่งซูอวี๋หันกลับมาพยักหน้าให้ฉินชูเล็กน้อย ก่อนจากไปอย่างรวดเร็ว
“ที่นี่คือเขตพื้นที่หอร้อยชัย ต่อจากนี้จะเป็เวลาออกตามหาของขวัญแห่งวาสนากันแล้ว พวกเ้าอยากจับกลุ่มกันหรือแยกย้ายออกตามหา แล้วค่อยกลับมารวมตัวกันตามเวลาที่นัดหมาย” ทอดสายตาส่งซั่งซูอวี๋เสร็จ ฉินชูก็หันกลับมามองพวกไป๋อวี้
ไป๋อวี้เงียบขรึมลงครู่หนึ่ง “ข้าจะแยกตัวออกไปหาด้วยตัวเอง คงตามติดลูกพี่แบบนี้ตลอดเวลาไม่ได้”
พวกเจิ้งชิวก็คิดแบบเดียวกัน ที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ พวกเขาตระหนักถึงความห่างชั้นระหว่างตัวเองกับฉินชู ตบะของฉินชูอยู่แค่ขั้นที่สอง ยังไม่ถึงขั้นที่สามด้วยซ้ำ แต่กลับต่อสู้กับผู้ฝึกตนขั้นที่สี่ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ นอกจากนี้ พวกเขายังได้เห็นความสามารถของซั่งซูอวี๋อีก เห็นแบบนี้แล้ว ทำเอาพวกเขาฮึกเหิมอยากพัฒนาตัวเองขึ้นมาทันที
“ก็ได้ หลังจากนี้ห้าวัน พวกเราจะกลับมาเจอกันตรงนี้” ฉินชูบอกกับทุกคน
หลังจากประสานมือให้ฉินชู ทุกคนก็เข้าไปในเขตพื้นที่หอร้อยชัย ก่อนจะแยกย้ายไปตามทางของแต่ละคน
นิ่งเงียบอยู่ที่เดิมสักพักใหญ่ๆ ฉินชูก็เดินตามเข้าไปด้านในหอร้อยชัยเช่นกัน
หากมีของขวัญแห่งวาสนาจากยุคก่อนๆ หลงเหลืออยู่ที่นี่จริง ก็คุ้มค่าที่จะออกสำรวจค้นหา ส่วนเื่ป้ายลัญจกรชิงหวาง ฉินชูไม่คาดหวังอะไรมาก วันเวลาผันผ่านมาแล้วช้านาน โบราณสถานชิงหวางผุดๆ โผล่ๆ มาไม่รู้กี่ครั้ง แต่เหล่าลูกศิษย์จากสำนักชิงหยุนรุ่นแล้วรุ่นเล่ากลับยังหาไม่เจอ
เข้ามาด้านในสักพัก แต่ฉินชูกลับไม่พบร่องรอยของสัตว์อสูรเลยสักตัวเดียว
เมื่อเดินหน้าไปเรื่อยๆ ก็มาถึงด้านหน้าหอโบราณคร่ำครึหลังหนึ่ง ฉินชูรู้ดีว่านี่เป็หนึ่งในหอร้อยชัย
มีป้ายศิลาป้ายหนึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าหอแห่งนี้ มันเขียนแนะนำชีวประวัติคร่าวๆ ของผู้ฝึกตนที่ชื่อว่าเตาขวาง โดยชิงหวางได้มาทำการท้าสู้และสังหารเตาขวางลงภายใต้คมกระบี่กระหายเื
มองดูรอบๆ อยู่สักพัก ฉินชูก็เข้าไปด้านใน ภายในหอมีหินแกะสลักผู้ชายคนหนึ่งที่สะพายดาบไว้ข้างหลัง
คนผู้นี้ก็คือเตาขวาง เป็หนึ่งในผู้ฝึกตนร้อยคนที่ชิงหวางเอาชนะได้
เดินสำรวจภายในหอรอบหนึ่ง แต่ก็ไม่พบอะไร
แต่ขณะกำลังจะออกไป ฉินชูรู้สึกว่าดาบหินแกะสลักที่สะพายอยู่ข้างหลังช่างดูน่าเกรงขาม จึงเอื้อมมือขึ้นไปัั
ทันทีที่แตะมัน บนใบดาบพลันปรากฏรอยนิ้วมือ เห็นเช่นนั้น ฉินชูจึงใช้นิ้วมือรูดเช็ดฝุ่นบนใบดาบออกไป จนโลหะแวววาวของใบดาบเผยสู่สายตา
เป็ของจริง!
นี่เป็ดาบปลายโค้งของจริง ไม่ใช่หินแกะสลัก
ฉินชูหยิบดาบปลายโค้งบนหลังหินแกะสลักลงมาเช็ดปัดฝุ่นอีกครั้ง เขาพบว่ามันเป็ดาบชั้นดี ทำเอาเขารู้สึกเสียดายเป็ที่สุด เพราะเขาเลือกฝึกวิชากระบี่ไปแล้ว ต่อให้ดาบจะดีแค่ไหนก็ไร้ความหมายกับเขาอยู่ดี
แต่ถึงกระนั้น เขาก็เก็บดาบปลายโค้งนี้ใส่แหวนมิติเก็บของ ก่อนจากหอแห่งนี้ไป จากนั้นก็มุ่งหน้าไปที่หออีกหลังหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป
ยังไม่ทันถึงที่หมาย ฉินชูก็สังเกตเห็นประกายแสงกระบี่ มีคนคนหนึ่งกำลังต่อสู้กับสัตว์อสูรตัวหนึ่งอยู่ เขามองเงาร่างในชุดสีขาวคนนั้นออกทันทีว่าเป็ใคร คนผู้นั้นก็คือซั่งซูอวี๋ ส่วนสัตว์อสูรคู่ต่อสู้ของนางก็คือพญาวานรที่ฉินชูมองระดับตบะไม่ออก แต่คลื่นพลังที่ะเิออกมาทรงพลังกว่าซั่งซูอวี๋หลายเท่า แลดูแข็งแกร่งยิ่งกว่าอสูรพยัคฆ์ก่อนหน้านี้ยิ่งนัก
เคล้ง!
พญาวานรตะปบใส่กระบี่ของซั่งซูอวี๋ พลังอัดกระแทกซั่งซูอวี๋จนปลิวกระเด็นไปกระแทกกับผนังหิน เืแดงฉานพลันไหลออกจากปากทันที
ฉินชูเริ่มเคลื่อนไหว กระบี่ถูกชักออกจากฝักและพุ่งเข้าใส่พญาวานร ก่อนหน้านี้ซั่งซูอวี๋เคยช่วยเหลือเขาให้ััถึงเจตจำนงของกระบี่ ดังนั้นเขาไม่อาจทนดูเฉยๆ ได้
พญาวานรสะบัดแขนอันทรงพลังด้วยความเร็วดุจแสง กระแทกใส่ฉินชู แม้จะยกกระบี่ขึ้นตั้งรับ แต่แรงกระแทกกลับทำเอาเขาไถลถอยหลังอย่างต่อเนื่อง
ครั้นเสียง “พึบ!” บังเกิดขึ้น กระบี่เปล่งแสงโลหิตของซั่งซูอวี๋พลันสว่างวาบและพุ่งผ่านข้างตัวฉินชูไปเสียบกะโหลกของพญาวานร ทว่าในห้วงสุดท้ายของชีวิต พญาวานรได้เค้นพลังทั้งหมดไปที่กรงเล็บและตะปบใส่ซั่งซูอวี๋จนลอยกระเด็นออกไป
ฉินชูะโออกไปรับร่างซั่งซูอวี๋อย่างรวดเร็ว แต่พลังอัดของพญาวานรทรงพลังเกินไป แม้กอดร่างซั่งซูอวี๋เอาไว้ได้ แต่ก็ถูกอัดจนกระเด็นไปกระแทกผนังหอแห่งหนึ่งพร้อมกัน
ฉินชูกระอักเื ทั่วทั้งร่างไร้เรี่ยวแรง
ซั่งซูอวี๋คว้ากระบี่ ก่อนพยายามพยุงตัวเองขึ้นมาจากกลางหว่างขาของฉินชู จากนั้นก็รีบดื่มโอสถและนั่งสมาธิฟื้นฟูตัวเองทันที
ฉินชูรีบกินโอสถสมานาแที่เหลยอินให้มาก่อนหน้านี้เช่นกัน แรงกระแทกเมื่อครู่ส่งผลให้อวัยวะภายในของเขาาเ็ าแที่หลังก็ปริแตกอีกครั้ง
พักฟื้นประมาณครึ่งวัน ฉินชูลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็เห็นซั่งซูอวี๋ยืนอยู่ด้านหน้า
“เ้าคิดจะทำอะไร อย่าบอกนะว่าจะสั่งสอนข้าอีก” ฉินชูลุกขึ้นก่อนพูด
“ทำการใด ต้องใจนิ่ง เ้าควรหัดใช้สมองให้มากกว่านี้” ซั่งซูอวี๋กวาดมองฉินชูพลางเอ่ย
“เ้าเคยช่วยข้า ดังนั้นข้าทนเห็นเ้าได้รับาเ็ไม่ได้” ฉินชูพูดสวนกลับ
ซั่งซูอวี๋ไม่ได้พูดอะไรอีก หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก็ชี้นิ้วไปทางทิศตะวันออก “ข้าจะเข้าไปที่หอหลังนั้น แต่เ้าพญาวานรตัวนี้กลับเข้ามาขวางข้า แสดงว่าข้างในต้องมีความลับอะไรสักอย่างซ่อนอยู่”
