คำพูดเขาวนเวียนอยู่ในหัวของผม
ถึงแม้ว่าเื่ราววันนั้นจะจบลงด้วยดี พี่ปรงอยู่ที่ห้องผมได้ไม่นานเท่าที่คิดเพราะฝนหยุดตกค่อนข้างเร็ว หลังจากนั้นเขาก็ต้องรีบกลับไปที่คณะเพื่อไปเรียนต่อตอนบ่าย ส่วนผมก็นั่งอยู่ที่ห้องและคิดทบทวนถึงสิ่งที่เขาพูดกับผม ถึงจะตัดความสงสัยเื่เห็ดออกไปได้ แต่คำพูดของพี่ปรงก็ลอยวนอยู่ในหัวผมและทำให้ผมเกิดความสงสัยมากกว่าเดิม
่นี้ผมรู้สึกได้ถึงคำพูด ท่าทาง และแววตาที่เปลี่ยนไปของพี่ปรง อาจจะเป็เพราะเขาไม่ได้ทำตัวดุ ๆ กับผมเหมือนอย่างตอนแรกแล้ว แต่ผมก็ยังรู้สึกว่ามันแปลกอยู่ดี ผมไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองว่าที่เขาเข้ามาทำดีด้วยเพราะเขาคิดอะไรกับผม จริง ๆ ผมพยายามมองว่ามันคือความหวังดีทั่ว ๆ ไปที่รุ่นพี่คนหนึ่งจะมีให้กับรุ่นน้อง แต่หลังจากเมื่อวานที่เขาพูดแบบนั้นออกมาด้วยสายตาแบบนั้น มันทำให้ผมต้องกลับมาคิดใหม่ว่าที่ผ่านมา พี่ปรงเขาไม่ได้คิดอะไรจริง ๆ หรือเปล่า
ผมยังไม่ได้บอกขนุนเื่ที่พี่ปรงพูดกับผมหรือแม้แต่เื่ที่เขามาที่ห้อง ผมบอกขนุนแค่ว่าเขาซื้อข้าวมาฝากแล้วก็ไป ผมไม่อยากให้ขนุนมันเอาเื่นี้มาล้อผมเหมือนเื่อื่น ๆ ตอนนี้ผมอยากคิดทบทวนอะไรหลาย ๆ อย่างโดยที่ไม่ต้องมีใครมาคอยเป่าหู เพราะยังไงถ้าเล่าให้ขนุนฟัง ประโยคเดิมที่มันจะพูดกับผมก็คือพี่ปรงเขาชอบผมเพราะเขากินเห็ดผมเข้าไป
สุดท้ายก็ไม่พ้นเื่เห็ดจริง ๆ
หลังจากที่เมื่อวานหยุดเรียนไปแล้ว วันนี้ผมก็ต้องรีบกลับมาเรียนทันที เพราะวันนี้เป็วันที่จะต้องรายงานความคืบหน้าอาจารย์เกี่ยวกับงานกลุ่ม และวันนี้ก็จะต้องทำงานกันต่ออีกหลายอย่าง โชคดีที่วันนี้ผมไม่ต้องทำงานคนเดียวแล้ว
“กูก็ขอให้มันจริงเถอะที่บอกว่าไม่ต้องทำงานคนเดียว ยินดีด้วยนะ” ขนุนพูดอย่างกระแหนะกระแหน หลังจากที่ผมบอกมันว่าวันนี้จะต้องไปทำงานกลุ่ม และเพื่อนสามคนนั้นก็จะมาช่วยผมทำงานด้วยเหมือนกัน
“มันคงไม่ต้องไปทำกิจกรรมแล้ว”
“คอยดูเถอะ ถึงเวลาเดี๋ยวก็มีเื่มาอ้างตลอด”
“ไม่หรอกมั้ง เขาเป็คนนัดกูเองว่าวันนี้จะมาทำงาน”
“ที่พวกมันนัดมึงก็เพราะวันพรุ่งนี้อาจารย์จะลงมาตรวจงานหรือเปล่า ถึงเวลามันก็คงอ้างพ่อป่วยแม่ป่วยเหมือนเดิม กูกล้าพนันเลยว่ายังไงวันนี้มึงก็ต้องทำคนเดียวแน่นอน”
“มึงมองโลกในแง่ร้ายเกินไปหรือเปล่า”
“มึงอะมองโลกในแง่ดีเกินไป อีสามคนนั้นน่ะมันเลื่องลือขนาดไหนเื่ที่ไม่ชอบทำงาน ขนาดกูไม่ได้อยู่ภาคเดียวกันกับมึงก็ยังรู้เลย มึงก็ยังไปจับกลุ่มทำงานกับพวกมันอีก” ขนุนพูดด้วยความหงุดหงิดโดยที่ผมไม่รู้ว่ามันหงุดหงิดใครกันแน่
จริง ๆ ผมก็พอได้ยินเื่เพื่อนสามคนนี้มาบ้างแล้วแหละ ผมก็ไม่ใช่คนหลังเขาขนาดจะไม่สนใจเื่ราวที่เกิดขึ้นภายในคณะเลย เพียงแต่ว่าผมไม่อยากตัดสินใครจากคำพูดที่ได้ยินมาจากคนอื่น ผมก็เลยไม่ได้สนใจเื่ที่คนอื่นพูดกันเท่าไร ซึ่งถ้าเพื่อนสามคนนั้นเป็แบบที่คนอื่นเขาพูด ๆ มาจริง ผมก็คงร่วมงานกับพวกเขาครั้งนี้เป็ครั้งสุดท้ายแล้วล่ะ
“เอาน่า ยังไงวันนี้กูก็จะไม่ยอมทำงานคนเดียวแล้ว กูคงปล่อยให้พวกเขาได้ทำงานตัวเองกันบ้าง” ผมพูดแล้วยื่นมือไปตบไหล่ขนุนเพื่อบอกให้มันเชื่อใจผมได้เลย และแน่นอนว่าสายตามันที่มองมาก็บ่งบอกเลยว่ามันไม่เชื่อ
“กูจะรอดู”
“แล้วนี่มึงต้องไปไหนต่อ” ผมเอ่ยถามขนุนในระหว่างที่เรากำลังเดินออกจากห้องเรียนไปพร้อม ๆ กัน วันนี้เรามีเรียนด้วยกันตอนเช้า แต่ตอนบ่ายอาจจะต้องแยกย้ายกันไป เพราะผมก็มีงานที่ต้องไปทำต่อเหมือนกัน
“ไปเตรียมของ เออ แล้วเย็นนี้กูคงไม่ได้กลับด้วยนะ”
“ทำไมอะ”
“ก็งาน Plant fair ที่จะเริ่มจัดวันเสาร์นี้ไง ภาคกูเขาให้แบ่งงานกันทำ กูได้รับหน้าที่ให้ไปตกแต่งบูธแล้วต้องไปเย็นนี้เลย” ขนุนพูดพร้อมกับหยุดเดินในตอนที่เราทั้งสองคนเดินมาถึงทางแยกที่เราจะต้องไปกันคนละทาง
“อ๋อ งานนั้นน่ะเหรอ”
งาน Plant Fair เป็งานที่คณะเกษตรฯจากหลาย ๆ มหาวิทยาลัยมาออกบูธเพื่อขายของเกี่ยวกับการเกษตร หรือมาโชว์ผลงานของมหา’ลัยตัวเอง ซึ่งจะจัดขึ้นแค่ปีละหนึ่งครั้งเท่านั้น ผมเคยไปงานนี้แค่ไม่กี่ครั้งเอง คนมันเยอะมากและอากาศก็ร้อนมากด้วย แล้วยิ่งเป็คนที่ไม่ค่อยอดทนต่อสภาพอากาศแบบผมก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่
“ภาคมึงไม่ไปออกบูธเหรอ”
“เห็นเขาเตรียม ๆ ของกันอยู่”
“ไว้วันงานมึงก็มาด้วยล่ะกัน มาหากูที่บูธก็ได้ เดี๋ยวกูพาไปเดินเที่ยว”
“เออ ได้”
“เดี๋ยวกูไปแล้ว ถ้ามีอะไรก็โทรมานะ แล้วกลับห้องคนเดียวก็ระวังด้วย อย่ากลับค่ำมืดมากนะ” ขนุนหันมากำชับผมราวกับว่ามันคือแม่ที่กำลังจะต้องทิ้งลูกเพื่อไปทำงาน ผมได้แต่หัวเราะและโบกมือไล่ให้มันไปทำงานของมันสักที
หลังจากที่โบกมือลากับขนุนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินไปที่ห้องภาคเพื่อที่จะไปนั่งรอเพื่อนในกลุ่มอยู่ที่นั่น เราต้องมาเตรียมอุปกรณ์จากห้องภาคก่อนลงไปทำงานในฟาร์ม เราก็เลยนัดเจอกันที่ห้องตอน่บ่าย ๆ ถึงแม้ว่าวันนี้จะอากาศเป็ปกติ แต่ยังไงผมก็ต้องทำงานกลุ่มให้เสร็จวันนี้ อย่างที่ขนุนบอกเลยว่าอาจารย์จะลงมาตรวจงาน เราเลยต้องทำกันวันนี้
ผมเปิดประตูเข้ามาในห้องภาคอย่างเงียบเชียบที่สุด แต่ด้วยความที่ประตูเก่ามากจนมีเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดก็ทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องภาคหันมามองผมกันเป็ตาเดียว วันนี้คนในภาคเยอะเป็พิเศษเพราะเขากำลังเตรียมของที่จะนำไปใช้ออกบูธทกันอยู่ พอผมเดินเข้ามาในห้องโดยที่ไม่มีหน้าที่อะไร ก็เลยรู้สึกเหมือนตัวเองแปลกประหลาดขึ้นมาทันที
คนในห้องเหมือนกำลังสงสัยว่าผมมาทำอะไรที่นี่ แต่สุดท้ายเขาก็เก็บความสงสัยนั้นไว้แล้วก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ ผมสังเกตเห็นลูกพีชที่นั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องกับกลุ่มของรุ่นพี่ ผมหันไปโบกมือให้เขานิดหน่อย แต่เหมือนว่าเขาจะไม่เห็น
“มาช่วยงานเหรอ” เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับที่ใครบางคนสะกิดไหล่ของผมเบา ๆ ก่อนที่เขาจะเดินอ้อมจากด้านหลังมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า เขาส่งยิ้มที่คุ้นเคยมาให้ผม ไม่ว่าผมจะหลบหน้าเขามากแค่ไหน ผมก็จะได้เจอกับพี่อูนแทบจะทุกครั้งที่ไม่อยากเจอ พี่อูนยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน การแต่งตัวที่ดูสบาย ๆ และใบหน้าที่มีรอยยิ้มประดับอยู่เสมอ
“อ้อ พอดีผมมา…”
“มาแล้วเหรอ” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบ ก็มีเสียงของพี่ปรงพูดแทรกขึ้นมา โดยที่จู่ ๆ เขาก็ปรากฏตัวขึ้นมาจากตรงไหนก็ไม่รู้ เขาเดินตรงเข้ามาหาหยุดยืนข้าง ๆ พี่อูนโดยที่ไม่หันไปมองหน้าเพื่อนของตัวเองเลยแม้แต่น้อย
“อ๋อ นี่มึงนัดกับน้องทานตะวันเหรอ” พี่อูนหันไปถามเพื่อนรักของตัวเองด้วยความสงสัย แต่พี่ปรงก็แกล้งทำเป็ไม่ได้ยิน เขาเอาแต่จ้องมาทางผมจนผมต้องแกล้งขยับตัวเล็กน้อยเพื่อให้เขาเลิกมองผมด้วยสายตาแบบนั้น
บรรยากาศระหว่างเราทั้งสามคนเข้าสู่เดดแอร์อยู่ชั่วครู่ พี่อูนที่ยังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ก็มองผมและพี่ปรงสลับกันไปมา ในขณะที่ผมก็พยายามจะหลบสายตาของพี่ปรงที่เอาแต่จ้องผมจนผมทำตัวไม่ถูก
ผมพยายามจะไม่คิดถึงเื่ที่เกิดขึ้นระหว่างเราเมื่อวานนี้ แต่พอเห็นสายตาแบบนั้นของพี่ปรง มันก็ทำให้ผมอดนึกถึงไม่ได้ ผมแกล้งหันหน้าไปทางอื่นเพราะผมไม่อยากคุยกับทั้งพี่ปรงแล้วก็พี่อูน มันคือการหนีเสือปะจระเข้ชัด ๆ
“วันนี้ว่างหรือเปล่า” พี่ปรงเอ่ยถามผมขึ้นอีกครั้ง เขายื่นมือมาจับข้อมือผมและออกแรงดึงให้ตัวผมหันไปหาเขาเล็กน้อย ซึ่งตัวผมก็หันไปตามแรงดึงของเขา
“มีทำงานกับเพื่อนครับ”
“ไหนเพื่อน”
“กำลังมา”
“ให้เพื่อนทำเองบ้าง ครั้งที่แล้วน้องก็ทำคนเดียวไม่ใช่เหรอ” พี่ปรงขยับเข้ามาหาผมเล็กน้อย ในตอนนั้นเองที่พี่อูนหันหลังและเดินออกไปจากวงสนทนาตรงนี้ ผมแอบลอบมองเขานิดหน่อยก่อนจะหันกลับมาโฟกัสคนที่กำลังคุยด้วย
“วันนี้ก็คงไปช่วยนิด ๆ หน่อย ๆ น่ะครับ”
“ไม่ต้องไปหรอก อยู่ช่วยงานที่นี่หน่อยสิ ทำกันไม่ทันแล้ว” พี่ปรงพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย หลังจากนั้นผมก็หันไปมองรอบ ๆ ห้องที่มีคนนั่งกันอยู่เป็สิบ ๆ คน แล้วก็นึกสงสัยว่าทำไมคนถึงยังไม่พออีก
“ถ้าผมช่วยเพื่อนทำงานเสร็จ…”
“ไม่ต้องไป”
“แต่มันเป็งานกลุ่มนะพี่ปรง ผมจะกินแรงเพื่อนได้ยังไงล่ะ” ผมเริ่มเถียงกลับไปเมื่อเห็นว่าพี่ปรงเองก็ยังคงดื้อด้านอยู่ เขาใช้สายตาดุ ๆ ของตัวเองมากดดันผมแบบที่เขาชอบทำ แต่ตอนนี้ผมไม่ได้กลัวสายตาแบบนั้นของเขาอีกแล้ว
“ที่ผ่านมาก็เห็นว่าน้องทำคนเดียวตลอด แค่ไม่ไปทำครั้งเดียวก็คงไม่เป็ไรหรอกมั้ง เพื่อนน้องจะมาหรือเปล่าก็ไม่รู้” พี่ปรงพูดออกมาอย่างยืดยาวพร้อมกับยกมือขึ้นกอดอก ซึ่งตอนนี้เพื่อนในกลุ่มผมก็ยังไม่มากันจริง ๆ ผมเลยเถียงเขากลับไปไม่ได้ แล้วผมก็ไม่รู้ด้วยว่าสามคนนั้นจะมาตอนไหน เขาบอกผมแค่ว่าให้ผมมาตอนบ่าย
ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปหลังจากนั้น แต่อยู่ ๆ ประตูห้องภาคก็ถูกเปิดออกอีกครั้งพร้อมกับใครบางคนที่ผมกำลังรออยู่ น้อยหน่าเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับผมสีชมพูที่เด่นเป็สง่า พอเห็นดังนั้น ผมจึงรีบตรงเข้าไปหาน้อยหน่าทันที
“น้อยหน่า ไปทำงานกันเลยเปล่า” ผมพูดกับคนที่เพิ่งมาใหม่และพยายามที่จะชวนน้อยหน่าให้ไปทำงาน ในขณะที่พี่ปรงก็เดินตามมายืนข้างหลังผมด้วย เขาตามติดผมจนเหมือนเป็เงาของผมเลยแหะ
“พี่ปรง สวัสดีค่ะ” น้อยหน่ายกมือขึ้นไหว้คนที่ยืนอยู่ข้างหลังผม ส่วนพี่ปรงก็ทำเพียงแค่พยักหน้ารับ ถ้าผมจำไม่ผิด เมื่อวานนี้พี่ปรงเคยบอกว่าน้อยหน่าเป็สายรหัสของเขา สองคนนี้น่าจะสนิทกันอยู่พอสมควร
ผมคิดถึงเื่เมื่อวานอีกแล้ว!
“แล้วเพื่อนอีกสองคนล่ะ” ผมหันไปถามน้อยหน่าเมื่อเห็นว่าเขาเดินมาคนเดียว น้อยหน่ามองหน้าผมด้วยสายตาที่ผมแอบกลัวอยู่ มันคือสายตาที่รู้สึกผิดที่ผมมักจะได้รับจากน้อยหน่าเสมอมา
“คือสองคนนั้นมันบอกว่ามีธุระอะ”
“อีกแล้วเหรอ”
“แล้วมันก็กลับไปแล้วด้วย เราเลยคิดว่าวันนี้อาจจะเลื่อนไปก่อน เราไม่อยากให้แกทำงานคนเดียวอะทานตะวัน” น้อยหน่าพูดและยื่นมือมาจับมือผม ซึ่งตอนนี้ผมก็เริ่มรู้สึกโกรธขึ้นมานิด ๆ ไม่ใช่เพราะที่อีกสองคนบอกว่าธุระหรอกนะ แต่พวกเขาเป็คนนัดผมเอง แล้วสุดท้ายก็เป็คนที่เบี้ยวนัดไปซะเอง
“จริง ๆ ถ้าแกไม่ว่างกันอะ แกก็ไม่ควรนัดั้แ่แรกหรือเปล่า” ผมเอ่ยออกไปหลังจากที่ยืนเงียบมาสักพัก น้อยหน่าทำหน้าเหมือนจะร้องไห้จนผมรู้สึกสงสาร แต่ตอนนี้ผมก็เริ่มรู้สึกสงสารตัวเองเหมือนกัน
“ขอโทษนะแก”
“แล้วพรุ่งนี้อาจารย์จะลงตรวจด้วย”
“ถ้างั้นวันนี้เรากับแกช่วยกันทำแทนสองคนนั้นไปก่อนได้เปล่าอะ” น้อยหน่าพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลง ตอนนี้ผมคิดว่าครั้งนี้ผมก็คงทำอะไรไม่ได้อีกเหมือนเดิม อย่างน้อยวันนี้ก็มีน้อยหน่ามาช่วยด้วย อาจจะดีกว่าครั้งที่ผ่าน ๆ มา
“น้อยหน่า โทรตามเพื่อนสองคนนั้นกลับมาเดี๋ยวนี้” คนที่ดูจะทนไม่ได้ที่สุดก็คงไม่พ้นคนที่ยืนอยู่ข้างหลังผม พี่ปรงดึงผมให้ไปยืนหลบอยู่ด้านหลังเขา ส่วนเขาก็ออกไปยืนหน้าผมและคุยกับน้อยหน่าแทน
“หน่าโทรตามพวกมันแล้วพี่ปรง มันบอกว่าธุระสำคัญจริง ๆ”
“ถ้างั้นหน่าก็ต้องทำคนเดียว เพราะทานตะวันต้องช่วยงานภาค” พี่ปรงพูดด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นจนผมที่ยืนอยู่ด้านหลังเขายังแอบใ พอผมขยับไปมองหน้าน้อยหน่า ก็เห็นว่าเขาหน้าเสียมาก ๆ แล้วตอนนี้
“แล้วพี่จะให้หน่าทำคนเดียวเหรอ”
“ทานตะวันทำคนเดียวมาสามครั้งแล้ว ถ้าหน่าบังคับเพื่อนอีกสองคนให้มาทำงานของตัวเองไม่ได้ วันนี้หน่าก็ต้องทำคนเดียวเหมือนกัน อย่าลืมนะว่าตอนที่หน่าไปทำกิจกรรมอะไร ทานตะวันเขาก็ไม่เคยว่าเลย”
“แล้วถ้าหน่าตามพวกมันกลับมาไม่ได้ล่ะ”
“นั่นมันก็เป็ปัญหาของหน่า”
“…”
“อย่าทำนิสัยแย่ ๆ แบบนี้ มันไม่โอเคเลยหน่า” พี่ปรงพูดทิ้งท้ายไว้เท่านั้น เขาคว้าข้อมือผมและเดินออกจากตรงนั้นทันที ปล่อยให้น้อยหน่ายืนสำนึกผิดอยู่ตรงนั้นคนเดียว แต่หลังจากนั้นไม่นาน น้อยหน่าก็เดินหายออกไปจากห้องภาค
ผมถูกพี่ปรงลากมายังจุดที่พี่อูนกับลูกพีชนั่งทำงานกัน ทั้งสองคนนั้นกำลังวาดอะไรสักอย่างลงบนแผ่นไม้ขนาดใหญ่อยู่ที่พื้น ส่วนผมกับพี่ปรงก็นั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้ ๆ บริเวณนั้น พี่ปรงมองหน้าผมก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ ราวกับว่าเขาเหนื่อยใจที่จะต้องเห็นผมโดนเพื่อนหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งผมก็เถียงอะไรกลับไปไม่ได้อีกเช่นเดิม เพราะมันคือเื่จริง
“พี่ปรงไม่น่าไปพูดกับน้อยหน่าแบบนั้นเลย” ผมเอ่ยออกไปหลังจากที่เราทั้งสองคนไม่ได้คุยอะไรกันมาหลายนาที
“ต้องให้พี่พูดอีกกี่รอบอะทานตะวัน” เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงเดียวกับที่เขาใช้พูดกับน้อยหน่าเมื่อสักครู่ เขาลากเก้าอี้ตัวเองให้ขยับมาใกล้ผมจนกลายเป็ว่าตอนนี้เรานั่งหัวเข่าชนกัน
“น้อยหน่ามันก็คงพยายามแล้ว”
“พี่จะบอกให้นะ น้อยหน่ามันไม่กล้าบังคับเพื่อนมันหรอก พี่เห็นมันมาั้แ่ปีหนึ่งจนตอนนี้ ทำไมพี่จะไม่รู้ว่ามันเป็คนยังไง ถ้ามันโทรตามเพื่อนกลับมาทำงานไม่ได้ก็ปล่อยให้มันทำคนเดียวไป จะได้รู้ซะบ้างว่ามันเหนื่อยแค่ไหน”
“ใจเย็นๆ”
พี่ปรงเขาดูโกรธแทนผมมาก ๆ ทั้งสายตา ท่าทาง และน้ำเสียง ซึ่งพอเขาเห็นอารมณ์ร้อนแบบนี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปลูบแขนเขาเบา ๆ เหมือนที่เคยทำในห้องพยาบาล ไม่รู้ว่ามันจะช่วยให้เขาใจเย็นลงได้หรือเปล่า แต่ผมก็ไม่อยากให้เขาต้องมาทะเลาะกับน้อยหน่าแทนผมแบบนี้ ความสัมพันธ์ดี ๆ ของเขามันจะพังเพราะผมไปซะเปล่า
“พี่รู้นะว่าน้องเป็คนใจดี แต่บางทีอะไรที่มันไม่โอเคจริง ๆ น้องก็ต้องหัดพูดไปบ้าง พอเห็นว่าน้องไม่พูดไม่ว่า มันก็มีคนพร้อมจะเอาเปรียบอยู่ตลอดเวลา เข้าใจหรือเปล่า”
“ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้หรอกนะพี่ปรง แต่งานนี้มันก็คะแนนผมเหมือนกัน”
“มันคืองานของทั้งสี่คนนั่นแหละ แต่ทำไมน้องต้องมาทำงานหนักกว่าคนอื่น”
“…”
“ถ้าครั้งหน้ามันยังเกิดเหตุการณ์แบบนี้อยู่อีก มาบอกพี่ คราวนี้พี่คงต้องเอาเื่ไปบอกอาจารย์แล้วล่ะ” พี่ปรงพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง ซึ่งผมก็รู้ดีว่าเขาไม่ได้แค่พูดขู่แน่นอน เขากล้าทำจริง ๆ
“ครั้งหน้าผมจะไม่ยอมเพื่อนแล้ว”
“ให้มันจริง”
“จริง ๆ ถ้าเพื่อนมาอ้างเพื่อที่จะหาเื่ไม่ทำงานอีก ผมก็จะไม่ทำเหมือนกัน” ผมพูดพร้อมกับยืดตัวขึ้นให้แสดงถึงความมุ่งมั่น พี่ปรงหลุดหัวเราะออกมานิดหน่อย เขาโน้มตัวเข้ามาหาผมก่อนจะยื่นมือมาขยี้ผมเบา ๆ สองสามที
“เก่งมาก”
ผมชะงักไปเล็กน้อยในตอนที่พี่ปรงโน้มตัวลงมาขยี้หัวผม ใบหน้าเราใกล้กันมากกว่าทุกครั้ง และนี่เป็ครั้งแรกที่ผมเห็นเขายิ้มจนตาเป็สระอิ ผมไม่เคยเห็นเขายิ้มแบบนี้มาก่อน การที่เขาพูดประโยคนั้นออกมาพร้อมกับใบหน้าแบบนั้น มันทำให้ผมเผลอจ้องหน้าเขานานเกินไป จนกระทั่งเขาขยับตัวกลับไปนั่งท่าเดิม แต่ผมก็ยังคงนั่งนิ่งข้างเขาอยู่แบบนั้นอยู่เป็นาที
หัวใจของผมเต้นแรงเหมือนกับตอนที่เคยเกิดขึ้นกับพี่อูน ทุกอย่างรอบตัวกลายเป็ภาพเบลอ ๆ ในขณะที่พี่ปรงคือภาพที่ชัดที่สุดในตอนนั้น ผมส่ายหน้าไล่ความคิดต่าง ๆ ออกจากหัวก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับร่างสูง
“ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะ” ผมตอบกลับไปก่อนจะยกมือขึ้นจัดผมตัวเองที่ถูกพี่ปรงขยี้ไปเมื่อสักครู่ พอเห็นว่าผมพยายามจะจัดผมให้กลับมาเป็ทรง เขาก็ยื่นมือมาขยี้หัวผมอีกรอบเหมือน้าจะแกล้ง
“แล้ววันเสาร์นี้มีนัดไปกับใครที่งาน Plant fair หรือเปล่า” พี่ปรงเอ่ยถามในขณะที่เขาก้มลงมองแผ่นป้ายไม้ของพี่อูนที่ใกล้จะเป็รูปเป็ร่างแล้ว ผมหันไปมองตามสายตาของเขาก็พบว่ามันคือป้ายชื่อของภาค
“ยังเลยครับ ขนุนมันอยากให้ผมไป แต่ตัวมันก็ต้องไปเฝ้าบูธ”
“พืชสวนเหรอ เขามีทุเรียนมาขายหรือเปล่า”
“น่าจะมีนะครับ เห็นว่า่นี้เป็หน้าทุเรียนของภาคใต้ ผมก็ยังไม่เคยลองกินเลย เคยกินแต่ทุเรียนภาคตะวันออก”
“อยากไปไหมล่ะ”
“ทำไม พี่จะชวนผมไปด้วยเหรอ” ผมเอ่ยถามไปโดยไม่ทันคิด พอหันหน้าไปมองพี่ปรงก็พบว่าเขากำลังมองผมอยู่เหมือนกัน พี่ปรงเอียงคอของตัวเองเล็กน้อยเหมือนกำลังคิดคำตอบของตัวเองอยู่ และผมก็พอจะเดาคำตอบนั้นได้
“ใช่ พี่อยากไปกับน้อง”
“…”
“ไปด้วยกันไหม?”