ไทเฮาย่อมไม่เสด็จออกมาปรากฏพระองค์ในงานเลี้ยง
เ้านายคนสำคัญที่ประทับอยู่ฝั่งที่นั่งสตรีได้แก่ฮองเฮา ซูกุ้ยเฟยและเหวินกุ้ยเฟย แม้ซูกุ้ยเฟยกับเหวินกุ้ยเฟยจะเป็พระสนมที่มีตำแหน่งเสมอกัน แต่ซูกุ้ยเฟยเป็พระมารดาของฉู่อ๋อง ดังนั้นฐานะย่อมสูงกว่าเหวินกุ้ยเฟยซึ่งให้กำเนิดองค์หญิงหกเพียงพระองค์เดียว และดูเหมือนว่าสุขภาพของพระสนมจะไม่ค่อยดีนัก องค์หญิงหกที่ประทับอยู่ด้านข้างต้องคอยกระซิบถามอยู่เป็ครั้งคราว
ฮองเฮาทรงเป็ประธานประทับอยู่ตรงกลาง ด้านขวาคือซูกุ้ยเฟยและองค์หญิงห้า ด้านซ้ายคือเหวินกุ้ยเฟยและองค์หญิงหกตามลำดับ
ฮองเฮาทรงเป็สตรีผู้เคร่งครัดและทรงอำนาจ ยามประทับนั่งหลังตรงประดุจพู่กันดูสง่างาม พระพักตร์นิ่งขรึมปราศจากรอยยิ้ม ยามที่สายพระเนตรทอดผ่านศีรษะของสตรีจากสกุลขุนนางแต่ละคน ไม่มีผู้ใดที่ไม่รู้สึกหวาดผวา แต่ชั่วเวลาสั้นๆ ก็แย้มพระสรวลบางๆ ดูเมตตาอ่อนโยนลง ตรัสกับเหวินกุ้ยเฟยสองสามประโยค
เหวินกุ้ยเฟยพลานามัยอ่อนแอ หัวเราะแค่ครั้งสองครั้งก็ต้องหยิบผ้าเช็ดหน้ามาปิดปากไอเบาๆ องค์หญิงหกต้องส่งน้ำชาให้ดื่มจึงค่อยทุเลาลง
ซูกุ้ยเฟยไม่คิดจะสนใจผู้ใด นางมองแค่ฮองเฮาและองค์หญิงห้าที่นั่งขนาบอยู่สองด้านของตนเอง ยามนี้รู้สึกเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง จึงเอนกายราวกับเกียจคร้านบนเก้าอี้ไม้พะยูงตัวใหญ่ หลังจากยกยิ้มเล็กน้อยก็ทอดสายตาไปที่ใบหน้าของธิดาทุกสกุล ั์ตาเปล่งประกายวาววับคล้ายมีความคิดบางอย่าง แม้ไม่ทราบว่าคิดสิ่งใดอยู่ แต่บรรยากาศก็นับว่าดูอบอุ่นสมานฉันท์
ทุกคนต่างถวายบังคมพร้อมกัน ฮองเฮาทรงรับการคารวะ แต่หากยังไม่เห็นพระนางโบกมือให้แขกทุกคนเข้าที่ ก็ไม่มีใครกล้าขยับเช่นกัน
“เสด็จแม่ ทรงรีบเปิดงานให้ทุกคนได้ครึกครื้นกันหน่อยเถิดเพคะ วันนี้เป็วันเฉลิมพระชนมพรรษาของเสด็จย่า ทั้งอยู่ใน่เฉลิมฉลองวันตรุษแล้ว อีกประเดี๋ยวก็ยังมีการละเล่นทายปริศนาอีกด้วย นี่เป็ครั้งแรกที่หม่อมฉันจะได้เห็นเทศกาลโคมไฟในวังหลวงเลยนะเพคะ” องค์หญิงห้านึกถึงทะเลโคมอลังการที่เฟิงเจวี๋ยหร่านเป็คนออกแบบและรังสรรค์ขึ้นมา โคมแต่ดวงล้วนแปลกตาน่าอัศจรรย์ใจ บางชนิดองค์หญิงห้ายังไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต แล้วจะไม่รู้สึกตื่นเต้นได้อย่างไร จึงหันไปออดอ้อนต่อฮองเฮาผู้เป็พระมารดาอย่างอดใจไม่ไหว
“บัดนี้ยังไม่ถึงเวลาที่เสด็จพ่อของเ้ากำหนดไว้ พวกเราต้องรอก่อน ได้ยินมาว่าหากถึงเวลานั้นแสงสีของโคมไฟนับหมื่นจะยิ่งงดงามมาก แต่ยามนี้ยังเร็วเกินไป เ้าเป็ถึงองค์หญิงเชื้อสายแห่งราชวงศ์ ดูคุณหนูด้านล่างเ่าั้สิ ไม่ว่าคนไหนก็ล้วนเยือกเย็นสงบนิ่งกว่าเ้าทั้งสิ้น” ฮองเฮาแย้มพระสรวลเล็กน้อย ตีมือขององค์หญิงห้าที่เอื้อมข้ามหน้าพระสนมซูกุ้ยเฟยมาจับชายฉลองพระองค์ของพระนาง
“ฮองเฮาตรัสกับองค์หญิงห้าเช่นนี้มิได้นะเพคะ องค์หญิงห้าทรงสูงศักดิ์เหนือผู้ใด จะยกคุณหนูที่อยู่ข้างล่างมาเทียบชั้นได้อย่างไร องค์หญิงห้าทรงโดดเด่นที่สุดในวังหลวง ฝ่าาก็โปรดปรานนางเป็ที่สุด แม้แต่หม่อมฉันยังอิจฉาพระองค์ที่มีพระธิดาที่น่ารักเช่นนี้” พระสนมซูกุ้ยเฟยที่อยู่ด้านข้างยิ้มกล่าวชื่นชมด้วยคำหวานชุดใหญ่ พลางเอื้อมมือหยิบถ้วยชาบนโต๊ะมาดื่ม
ฮูหยินและคุณหนูสองสามคนที่นั่งอยู่ใกล้พระที่นั่งที่สุดต่างก้มหน้านิ่ง แสร้งทำเป็หูทวนลมไปเสีย ฮองเฮากับซูกุ้ยเฟยต่างประชันฝีปากกันซึ่งๆ หน้า ผู้หนึ่งคือพระอัครมเหสีของวังหลัง เป็พระมารดาแห่งแผ่นดิน อีกผู้หนึ่งกลับเป็ผู้ให้กำเนิดองค์ชายใหญ่ที่สง่างามประดุจหยก ใครจะกล้าสอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย แม้แต่องค์หญิงห้าผู้หยิ่งผยองฟังคำพูดของนางแล้วก็เพียงแค่นเสียงเย็นแล้วสะบัดหน้าหนี ไม่นำพากับวาจาของอีกฝ่าย
หากสามารถเลือกได้ สตรีที่อยู่ในวังหลังทุกคนต่างก็ปรารถนาจะให้กำเนิดพระโอรสทั้งสิ้น เพราะไม่เพียงแต่จะเป็ที่พึ่งพิงในภายภาคหน้า ยังมีโอกาสได้เข้าใกล้บังลังก์ัซึ่งมีเพียงหนึ่งเดียวอีกด้วย หากพระโอรสของผู้ใดได้สืบทอดราชสมบัติ ผู้เป็พระมารดาย่อมได้พึ่งบุญญาธิการ แต่หากมีแค่พระธิดาเท่านั้น ต่อให้เฉลียวฉลาดหรือเป็ที่รักปานใด สุดท้ายก็ต้องแต่งงานออกไป การที่ฮองเฮาไม่มีพระโอรสคือความเ็ปที่ฝังลึกในพระทัย หากทรงมีพระโอรส ไฉนเลยจะต้องมาเผชิญกับคลื่นลมมรสุมมากมายเช่นนี้
พระโอรสที่ประสูติในพระอัครมเหสีย่อมมีฐานะมั่นคงสูงสุดในวังหลวง ใครเล่าจะไม่อยากมี
ต่อหน้าฮูหยินและธิดาของขุนนางมากมาย ซูกุ้ยเฟยยังกล้าเอ่ยวาจาเหิมเกริมแทงใจพระนางถึงเพียงนี้...
สายพระเนตรเย็นเยียบกวาดผ่านพระสนมผู้ขวัญกล้า ในพระทัยย่อมขุ่นเคืองจนแทบอยากจะควักหัวใจของอีกฝ่ายมากลืนกิน ทว่ากลับทรงพระสรวลน้อยๆ ก่อนแย้มพระโอษฐ์
“สูงศักดิ์หรือไม่ย่อมขึ้นอยู่กับพระราชดำรัสของฝ่าามิใช่หรือ แม้องค์หญิงห้าจะมีสถานะที่แตกต่าง แต่ก็ต้องขัดเกลาให้งดงามสมกับเป็ขัตติยนารีผู้สูงศักดิ์อย่างแท้จริง ไม่อาจให้นางเลียนแบบผู้อื่นที่เก่งแต่สร้างชื่อเสียงจอมปลอมอุปโลกน์ขึ้นมา จะดีจริงหรือไม่ จะได้ดังหมายหรือแค่ฝันเฟื่อง ฝ่าาเท่านั้นที่เป็ผู้ชี้ขาด” ฮองเฮาตรัสเสียงเรียบราวกับเอ่ยถึงเื่องค์หญิงห้าเท่านั้น
สร้างชื่อเสียงจอมปลอมอุปโลกน์ขึ้นมา? จะได้ดังหมายหรือแค่ฝันเฟื่อง?
วาจาเยี่ยงนี้พระนางตรัสพาดพิงถึงผู้ใด ซูกุ้ยเฟยฟังรู้ เหวินกุ้ยเฟยฟังออก ทั้งองค์หญิงห้าและองค์หญิงหกต่างเข้าใจความหมาย
เหวินกุ้ยเฟยสุขภาพอ่อนแอ เอนซบไปบนไหล่พระธิดา ส่วนองค์หญิงหกก็ง่วนอยู่กับการปรนนิบัติหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดหน้าผากให้พระมารดา เหวินกุ้ยเฟยอาศัยเื่สุขภาพมาเป็ข้ออ้างในการปลีกตัวจากการปะทะกันของผู้มีอำนาจทั้งสองฝ่าย พาพระธิดาของตนเองหลบเลี่ยงเภทภัยที่อาจมาถึงตัว
ซูกุ้ยเฟยเชิดหน้าขึ้น ริมฝีปากยกยิ้มเผยแววเยาะหยัน “ฮองเฮาตรัสถูกต้องยิ่งแล้ว สูงศักดิ์หรือไม่ล้วนต้องให้ฝ่าาเป็ผู้ตัดสิน หม่อมฉันเบาปัญญา คิดว่าองค์หญิงห้าเป็พระธิดาที่ฝ่าาทรงรักปานแก้วตาดวงใจ ย่อมเป็สูงศักดิ์ที่สุด แต่กลับกลายเป็การล่วงเกินต่อองค์หญิงหกไปได้ จะว่าไปแล้วองค์หญิงหกก็เฉลียวฉลาดน่ารัก ฝ่าาก็ทรงชื่นชมอยู่บ่อยครั้ง”
สองแม่ลูกเหวินกุ้ยเฟยนอนอยู่ดีๆ เคราะห์ร้ายก็ยังมาเยือนถึงที่ องค์หญิงหกเงยหน้าขึ้นยิ้มให้ซูกุ้ยเฟยอย่างอ่อนโยน สงวนวาจาแล้วก้มหน้าก้มตาดูแลพระสนมเหวินกุ้ยเฟยด้วยความห่วงใยต่อไป
เมื่อมีการเทียบว่าองค์หญิงหกทรงสูงส่งเทียบเท่ากับองค์หญิงห้า ฮองเฮาย่อมไม่พอพระทัยยิ่ง องค์หญิงห้าเป็พระธิดาของอัครมเหสีจะเหมือนกับองค์หญิงพระองค์อื่นๆ ได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นความหมายของซูกุ้ยเฟยยังย้อนนำพระวาจาของพระนางมาทิ่มแทง ว่าขอเพียงเป็คนที่อยู่ในสายพระเนตรของฝ่าาย่อมสูงส่ง องค์ชายใหญ่ทรงเป็พระโอรสองค์แรกย่อมได้รับความสำคัญอย่างยิ่ง เช่นนั้นก็ถือว่าเป็ผู้สูงศักดิ์ที่สุดแล้วมิใช่หรือ หาไม่แล้วต้องเป็บุคคลเช่นไรจึงจะนับว่าสูงส่งที่สุดเล่า นี่ถือเป็การตบพระพักตร์ฮองเฮาฉาดใหญ่ทีเดียว
ฮองเฮาทรงพระพักตร์บึ้งตึงทันที ขณะที่กำลังคิดจะต่อวาจากลับไป แม่นมหานที่ยืนอยู่ข้างพระวรกายฉวยโอกาสที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นเอื้อมมือไปกระตุกชายฉลองพระองค์ ใช้สายตากวาดมองไปโดยรอบเพื่อบอกเป็นัยว่าที่นี่มีเหล่าฮูหยินและคุณหนูมากมาย ล้วนเป็ครอบครัวของขุนนางในราชสำนัก โดยเฉพาะบุคคลที่นั่งอยู่หน้าเบื้องพระพักตร์ล้วนเป็ผู้าุโ
การลับเหลี่ยมเล็กๆ น้อยๆ ของสตรีในวังหลัง และการต่อสู้ระหว่างฮองเฮาและซูกุ้ยเฟยเป็เื่ที่ทุกคนต่างรู้อยู่แก่ใจ แต่ไม่อาจแสดงออกอย่างเปิดเผย ความสัมพันธ์ในวังหลังย่อมกระทบมาถึงเบื้องหน้าท้องพระโรง หากมีการเคลื่อนไหวก็มักจะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงในราชสำนักด้วยเช่นกัน
ฮองเฮาทรงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แสร้งทำเป็ไม่เข้าใจ หลังจากนั้นก็หันมาดูเวลาและมีพระราชเสาวนีย์ให้เริ่มงานเลี้ยงได้ ทันใดนั้นก็มีขันทีวิ่งมาจากท่าเทียบเรืออีกด้านหนึ่ง คุกเข่ากราบทูลเบื้องหน้าพระพักตร์ “กราบทูลฮองเฮา ท่านอ๋องทั้งหลายตรัสถามมาว่าจะทรงอนุญาตให้เหล่าคุณหนูทางฝั่งนี้แสดงความสามารถพิเศษได้หรือไม่ พวกพระองค์อยากชมการแสดงของเหล่าคุณหนูพ่ะย่ะค่ะ”
“ประเสริฐ” ฮองเฮายังไม่ทันออกโอษฐ์ ซูกุ้ยเฟยก็โบกผ้าเช็ดหน้า กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ความคิดไม่เลว เหล่าคุณหนูทางฝั่งนี้ของพวกเราล้วนมีพร์ความสามารถ ปีหนึ่งทุกท่านจะได้มีโอกาสร่วมสนุกสนานด้วยกันแบบนี้สักครั้ง ฮองเฮาย่อมไม่ทรงขัดข้องกระมัง”
การแสดงความเห็นตัดหน้าพระอัครมเหสีนับเป็เื่เสียมารยาทอย่างยิ่ง ฮูหยินและคุณหนูที่รู้ความต่างก้มหน้าเงียบ มีเพียงบางคนที่ไม่กระจ่างใจในสถานการณ์ พอได้ยินว่าจะมีการแสดงความสามารถเบื้องหน้าพระพักตร์ ต่างก็ตื่นเต้นรู้สึกว่าโอกาสของตนเองมาถึงแล้ว
องค์ชายที่รับบรรดาศักดิ์อ๋องแห่งต้าฉินบัดนี้มีพระโอรสของจักรพรรดิจงเหวินตี้สามพระองค์ และยังมีหนิงอ๋องพระนัดดาโดยสายพระโลหิตของไทเฮาอีกหนึ่งพระองค์ เพียงแต่บัดนี้ไปเป็องค์ประกันอยู่แคว้นเยี่ยน หากกล่าวถึงองค์ชายในลำดับชั้นที่สูงขึ้นไปก็มีเพียงจิ้นอ๋องพระองค์เดียว น่าเสียดายที่จิ้นอ๋องก่อการฏ จึงถูกปะาล้างจวน แต่เื่ก็ผ่านมาสามสิบปีแล้ว ดังนั้นท่านอ๋องผู้เป็ที่กล่าวขวัญในต้าฉินจึงมีเพียงฉู่อ๋อง เยี่ยนอ๋องและเซวียนอ๋อง แต่ไม่ว่าจะเป็พระองค์ใดก็ล้วนเป็พระโอรสที่มีอำนาจสูงส่ง หล่อเหลาสง่างาม ทำให้เหล่าคุณหนูทุกคนหัวใจเต้นระรัวราวกับย่ำกลองได้ทั้งสิ้น
แม้ว่าต่างก้มหน้าบีบชายเสื้อด้วยท่าทางเหนียมอาย แต่หางตาของพวกนางทุกคนกลับลอบมองฮองเฮา รอคอยพระนางออกโอษฐ์อย่างกระตือรือร้น
ฮองเฮาไม่อยากตอบตกลงแม้แต่น้อย ยิ่งผู้กล่าวสนับสนุนคือซูกุ้ยเฟยในพระทัยก็ยิ่งรู้สึกต่อต้าน แต่เมื่อมองคุณหนูทุกคน กอปรกับสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของเหล่าฮูหยินก็รู้ได้ว่าภายใต้สถานการณ์เช่นวันนี้จำเป็ต้องเห็นแก่ความสุขของส่วนรวม หากพระนางยืนกรานไม่อนุญาต หลังกลับวังหลังไปแล้วก็อาจถูกฝ่าาตำหนิ นึกถึงเมื่อสองวันก่อน เพราะตนเองขัดพระประสงค์ จึงถูกตำหนิต่อหน้าเหล่าพระสนม ทำให้เพลิงในพระอุระพลันระอุขึ้นอีกครั้ง
สีพระพักตร์พลันเปลี่ยนเป็เคร่งขรึม
“ฮองเฮา เหล่าองค์ชายยังคอยคำตอบอยู่นะเพคะ” แม่นมหานหัวไวกระซิบเตือนข้างพระกรรณ แม้ว่าองค์ชายสามพระองค์นี้จะมิได้เป็พระโอรสโดยสายโลหิตของพระนาง แต่ต่อไปไม่ว่าพระองค์ใดจะขึ้นครองราชย์ ล้วนต้องยกพระนางขึ้นเป็ไทเฮา แต่ใครจะได้เป็หรือไม่ก็ต้องดูกันต่อไปมิอาจตัดสินได้จากเวลานี้
“บอกพวกเขาไปว่าตกลงตามนั้น แต่คืนนี้ยังมีงานชมโคมไฟอีก ให้ทางโน้นเพลาๆ สุราลงหน่อย อย่าดื่มเพลินจนทำลายสุขภาพ ตอนงานโคมไฟฝ่าายังมีบททดสอบสำหรับพวกเขาอีก” ฮองเฮาทรงได้พระสติคืนมาก็กวาดพระเนตรเย็นเยียบไปยังซูกุ้ยเฟยปราดหนึ่ง
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีขานรับ แล้ววิ่งไปทางเกาะด้านซ้าย
แท้จริงแล้วเกาะกลางน้ำซึ่งเป็สถานที่จัดงานเลี้ยงทั้งสองเกาะไม่ไกลกันมาก ห่างกันเพียงชั่วก้าวเดินเท่านั้น จึงสามารถมองเห็นผู้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามได้ชัดเจน คนที่หูดียังได้ยินผู้ที่อยู่อีกฝั่งคุยกันได้ ดังนั้นเมื่อฮองเฮาทรงตอบตกลง คุณชายที่ฝึกยุทธ์หลายคนก็ถ่ายทอดให้ผู้ที่อยู่ด้านข้างของตนเองรับรู้ ชั่วพริบตาเกาะด้านซ้ายก็มีเสียงฮือฮาโห่ร้องด้วยความยินดี เหล่าคุณหนูทางฝั่งนี้ต่างก้มหน้างุด บิดผ้าเช็ดหน้าอายม้วน ใบหน้าแดงระเรื่อไปตามๆ กัน
ผู้ที่นั่งตำแหน่งสูงสุดของฝั่งบุรุษบนเกาะด้านซ้ายคือฉู่อ๋องเฟิงเจวี๋ยเสวียน ด้านข้างขนาบด้วยเยี่ยนอ๋องเฟิงเจวี๋ยเหล่ยผู้งามสง่า และเซวียนอ๋องเฟิงเจวี๋ยหร่านที่นั่งเอกเขนกบนเก้าอี้ในท่วงท่าเกียจคร้าน เมื่อได้ยินเสียงร้องอุทานแสดงความรู้สึกยินดี ทั้งสามก็ชูจอกสุราในมือเชิญให้ทุกคนร่วมดื่มฉลอง บุรุษที่อยู่บนเกาะส่วนใหญ่ยังอายุน้อย องค์ชายทั้งสามก็เป็หนุ่มรุ่นกระทง บรรยากาศทางฝั่งนี้จึงดูผ่อนคลายกว่างานเลี้ยงที่ริมทะเลสาบของเหล่าขุนนางซึ่งนำโดยจักรพรรดิ หรืองานเลี้ยงของเหล่าฮูหยินและคุณหนูที่นำโดยพระอัครมเหสี
เฟิงเจวี๋ยหร่านยกจอกสุรา เบนศีรษะเข้าหาโหยวเยวี่ยเฉิงซึ่งนั่งอยู่ด้านข้าง พลางชี้ไปยังหญิงงามที่อยู่ในอาภรณ์สีชมพูซึ่งนั่งอยู่ตำแหน่งแรกติดกับองค์หญิงห้าแล้วกระซิบถาม “ซื่อจื่อ หญิงงามฝั่งตรงข้ามผู้นั้นเป็น้องสาวของท่านหรือ”
โหยวเยวี่ยเฉิงนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ แล้วมองตามสายตาของเขาไป สตรีที่อยู่ตำแหน่งแรกถัดจากองค์หญิงห้าก็คือโหยวเยวี่ยเอ๋อน้องสาวของเขาเอง จึงพยักหน้าตอบรับ “เป็น้องสาวของกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ”
“น้องสาวเ้าหน้าตาไม่เลว ผิวพรรณก็ผุดผ่องเกลี้ยงเกลา งามประหนึ่งดอกท้อบานสะพรั่ง ไม่ทราบว่าอายุเท่าไร และหมั้นหมายกับผู้ใดไปหรือยัง” เฟิงเจวี๋ยหร่านหรี่ตาชำเลืองไปยังโหยวเยวี่ยเอ๋อที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยถาม
หือ... โหยวเยวี่ยเฉิงตะลึงพรึงเพริด หันมามองเฟิงเจวี๋ยหร่าน ใบหน้าพลันขาวซีด
“จุ๊ๆๆ โฉมสคราญปานเทพธิดา ทิ้งใต้หล้าโรยร่วงไว้เื้ั” เฟิงเจวี๋ยหร่านทำเหมือนไม่เห็นสีหน้าของโหยวเยวี่ยเฉิง ปากยังคงพึมพำขณะยกจอกสุราขึ้นดื่ม ทว่ายังคงหรี่ตาจับจ้องโหยวเยวี่ยเอ๋อที่อยู่ตรงข้าม แม้จะดูเหมือนรำพึงกับตัวเองเบาๆ แต่เสียงกลับหาเบาไม่ จนกระทั่งคุณชายสองสามคนที่นั่งอยู่แถวหน้าได้ยินถ้อยคำของเฟิงเจวี๋ยหร่าน จึงพากันทอดสายตาไปยังเรือนร่างของโหยวเยวี่ยเอ๋อเป็ทิวแถว
แม้ว่าเสียงหัวเราะพูดคุยชี้ชวนกันชมสาวงามจะไม่ดังมาก แต่ก็ล้วนเป็ถ้อยคำคะนองปากทั้งสิ้น