บทที่ 9 เรือนทรุดโทรมและความฝันเล็กๆ ของจิ้งคง
หลังจากอิ่มหนำสำราญกับอาหารมื้อพิเศษที่เ้าอ้วนน้อpแบ่งปันให้คนอื่นไปเกินครึ่ง หลิวรั่วซีก็ชวนเ้าเล็กออกมาเดินย่อยอาหารเสียหน่อย สองพี่น้องเดินวนรอบเรือนเก่าทรุดโทรมที่พวกเขาเรียกว่าบ้าน เสียงไม้ลั่นดังกรอบแกรบทุกย่างก้าว ราวกับจะประท้วงว่า
‘ข้าแก่แล้วนะ! จะพังแหล่มิล้มแหล่อยู่รอมร่อแล้วนะ!’
หลิวรั่วซีทอดสายตามองสำรวจสภาพเรือนอย่างละเอียด ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่... หนักหน่วงกว่าน้ำหนักตัวของนางเสียอีก! กระเบื้องดินเผาบนหลังคาแตกกระจัดกระจายหายไปเป็หย่อมๆ เผยให้เห็นโครงไม้ที่ผุกร่อน ปลวกแมลงเจาะไชจนพรุน กำแพงดินที่เคยแข็งแรงบัดนี้แตกร้าวเป็ทางยาว ราวกับแผนที่โลกที่ถูกขีดเขียนอย่างยุ่งเหยิง ลมหนาวพัดหวีดหวิวลอดช่องโหว่เข้ามา ปลุกเสียงครวญครางของเรือนที่ใกล้จะหมดลมหายใจ
ประตูไม้หน้าบ้านบิดเบี้ยวจนแทบจะปิดไม่ลง บานพับขึ้นสนิมเขรอะส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดน่าขนลุกทุกครั้งที่ถูกลมพัด หน้าต่างก็มีสภาพไม่ต่างกัน กรอบไม้ผุพังถูกแทนที่ด้วยกระดาษว่าวสีซีดเก่าคร่ำคร่า ที่ขาดวิ่นจนแทบไม่ต่างอะไรกับมุ้งลวด ห้องครัวด้านหลังบ้านยิ่งไม่ต้องพูดถึง เตาหินก่ออิฐดินก็แตกร้าว หม้อไหกะละมังเก่าๆ ขึ้นสนิมเขรอะ วางระเกะระกะราวกับกองขยะโบราณคดี
พื้นดินรอบเรือนก็เต็มไปด้วยหลุมบ่อ ยามแล้งก็ฝุ่นตลบ ยามฝนก็เฉอะแฉะ เดินย่ำทีไรเป็ต้องลื่นล้มหัวคะมำ ดีที่เ้าอ้วนน้อยมีน้ำหนักตัวมากพอจะทรงตัวอยู่ได้ (แต่ก็เกือบไปหลายทีเหมือนกันนะ!)
"เฮ้อ..." หลิวรั่วซีถอนหายใจอีกครั้ง มองสภาพเรือนแล้วก็อดสลดใจไม่ได้ ครอบครัวของนางช่างยากลำบากเสียจริง เรือนหลังนี้ไม่ต่างอะไรจากซากปรักหักพัง จะอยู่กันรอดพ้นหน้าหนาวไปได้อย่างไรกัน
ขณะที่หลิวรั่วซีกำลังจมอยู่ในห้วงความคิด เ้าเล็กหลิวจิ้งคงที่เดินตามหลังมาติดๆ ก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
“อีกไม่นานก็จะเข้าหน้าหนาวแล้วนะพี่รอง…”
เสียงเล็กๆ นั้นแฝงไปด้วยความกังวล
“ปีกลายข้าหนาวมากจริงๆ”
หลิวรั่วซีหันมองน้องชายตัวน้อย ภาพที่เห็นทำให้นางถึงกับใจหายวาบ หลิวจิ้งคงในวัย12 ที่ควรจะเป็หนุ่มน้อยน่ารักแต่เขากลับตัวเล็กและเตี้ยราวกับเด็ก 8 ขวบ ผอมแห้งราวกับกิ่งไม้ ศีรษะโตเกินตัว ผมเผ้ารุงรังไม่ได้สาง ดวงตากลมโตเศร้าสร้อย แก้มตอบตอบ ซี่โครงซี่ก้านโผล่พ้นเสื้อผ้าเนื้อบางเก่าซีด
เสื้อผ้าที่เ้าเล็กสวมใส่อยู่นั้นเก่าจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็เศษผ้า รอยปะแล้วปะอีกจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม สีซีดจางจนแยกไม่ออกว่าเคยเป็สีอะไร ตามเนื้อตัวมอมแมมไปด้วยดินโคลน เท้าเล็กๆ สองข้างเปลือยเปล่า ยืนอยู่บนดิน
“ปีกลายข้าหนาวมาก…” เ้าเล็กย้ำอีกครั้ง น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย “ข้าหนาวจนต้องวิ่งไปนอนกอดพี่ใหญ่…”
หลิวรั่วซีมองตามสายตาของน้องชายไปยังพี่ใหญ่หลิวจิ้งอวิ่นที่ยืนอยู่หน้าครัว ร่างสูงโปร่งของพี่ใหญ่ก็ไม่ได้ดูดีไปกว่ากันนัก เสื้อผ้าเก่าซอมซ่อเช่นกัน ใบหน้าซีดเซียว ดวงตาลึกโบ๋คล้ำดำ บ่งบอกถึงความเหนื่อยล้าและอดนอน แต่ถึงกระนั้นพี่ใหญ่ก็ยังคงยืนหยัดอย่างเข้มแข็ง คอยดูแลทุกคนในครอบครัว
“แต่พี่ใหญ่เตะก้นข้าออกมา…” เ้าเล็กพูดต่อด้วยเสียงอ่อย แก้มเล็กๆ ป่องลมอย่างน่าสงสาร “พี่ใหญ่บอกว่าข้าข้าเป็หนุ่มแล้วควรจะอยู่ห้องตัวเอง แต่ว่าข้าหนาวมากจริงๆ ”
คำพูดของน้องชายทำให้หลิวรั่วซีใจกระตุกวูบ นางจำได้ถึงความหนาวเหน็บจับกระดูกในฤดูหนาวที่ผ่านมา ความทรมานของการนอนหนาวสั่นอยู่ในเรือนผุพัง ลมหนาวพัดโชยเข้ามาทุกทิศทาง ผ้าห่มผืนบางๆ แทบไม่ได้ช่วยอะไร ความหนาวเหน็บกัดกินเข้าไปในกระดูก จนแทบจะแข็งตาย ตัวนางนั้นมีเสื้อผ้ามากกว่าทุกคนนางยังรู้สึกหนาวมาก แล้วเ้าเล็กและคนอื่นๆ ที่เสื้อผ้านั้นบางแทบจะกันหนาวไม่ได้จะไม่หนาวได้อย่างไร
“ข้าหากพวกเรามีบ้านใหม่คงจะดีนะพี่รอง…” เ้าเล็กเอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงแ่เบา ดวงตากลมโตมองไปยังเรือนผุพังด้วยความหวังอันริบหรี่
“บ้านที่ไม่ผุพัง… บ้านที่ลมไม่โกรก… บ้านที่อบอุ่น…”
คำพูดของเ้าเล็กราวกับเข็มเล่มเล็กๆ ที่ทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจของหลิวรั่วซี นางก้มลงมองน้องชายตัวน้อย ลูบศีรษะที่ยุ่งเหยิงของเขาเบาๆ หัวใจบีบรัดแน่นด้วยความสงสารและเวทนา
“มีสิเ้าเล็ก… ต้องมีแน่นอน” หลิวรั่วซีเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น นาง้าที่จะมอบความหวังให้กับน้องชาย ้าที่จะบอกให้เขารู้ว่าทุกอย่างจะต้องดีขึ้น
“พี่รองสัญญา… พี่รองจะทำให้พวกเรามีชีวิตที่ดีขึ้นให้ได้” หลิวรั่วซีพูดต่อ ดวงตาเปล่งประกายมุ่งมั่น3
“พี่รองจะสร้างบ้านใหม่ให้พวกเรา… บ้านที่ใหญ่กว่าเดิม… แข็งแรงกว่าเดิม… และอบอุ่นกว่าเดิม!”
เ้าเล็กเงยหน้ามองพี่สาวด้วยแววตาฉงน ภาพพี่สาวอ้วนท้วนกินเก่งในความทรงจำยังคงติดตรึงอยู่ในใจ พี่รองของเขาจะทำได้อย่างไรกัน? แต่เมื่อมองลึกลงไปในดวงตาของพี่สาว เ้าเล็กก็ััได้ถึงความมุ่งมั่นและพลังงานบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป ความรู้สึกบางอย่างที่บอกว่า... สิ่งที่พี่รองพูดนั้นจะเป็ความจริงในไม่ช้า…
“จริงเหรอขอรับพี่รอง?” เ้าเล็กถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ดวงตากลมโตเป็ประกายระยิบระยับด้วยความหวัง
“จริงแท้แน่นอนจ๊ะ” หลิวรั่วซีตอบกลับด้วยรอยยิ้มกว้าง รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความมั่นใจและพลัง
“พี่รองสัญญา… พี่รองคนใหม่คนนี้… จะไม่ยอมให้ใครต้องทนหนาวอีกต่อไป!”
สิ้นเสียงปฏิญาณ กำปั้นอวบอ้วนก็ยกขึ้นฟ้าสูงอีกครั้ง ราวกับตอกย้ำปณิธานอันแรงกล้า ที่เ้าอ้วนน้อย (ในร่างใหม่) หมายมั่นปั้นมือว่าจะทำให้จงได้!
หลังจากให้คำมั่นสัญญากับน้องชายตัวเล็ก หลิวรั่วซีก็เริ่มลงมือคิดแผนการปรับปรุงเรือนผุพังอย่างจริงจัง นางสั่งให้เ้าเล็กไปดูแลเ้าหล่อที่ยังสลบเหมือดอยู่ พร้อมกำชับให้เอาโจ๊กอุ่นๆ ไปป้อน หากอีกฝ่ายฟื้นขึ้นมา... (แต่ในใจเ้าอ้วนน้อยภาวนาว่าอย่าเพิ่งฟื้นเลย! ขอเวลาทำใจอีกหน่อยเถอะ!)
เ้าเล็กนั้นเมื่อรับคำสั่งจากพี่รองเขาก็รีบวิ่งปรูดปราดไปทันที ไม่นานก็มีเสียงะโบอกนางว่า เ้าหล่อยังไม่ฟื้น หลิวรั่วซีจึงเดินสำรวจบ้านอย่างจริงจังอีกครั้ง คราวนี้ไม่ได้มองด้วยสายตาของเ้าอ้วนที่ไม่เคยใส่ใจสิ่งใด แต่เป็สายตาเฉียบคมของ "หมอหลิวรั่วซี" จากโลกอนาคต ผู้เจนจัดเทคโนโลยี และโหยหาความสะดวกสบายขั้นสุด!
‘ซ่อมแซม? อย่าว่าแต่ซ่อม... แค่แตะเบาๆ ก็คงพังครืนลงมาทั้งหลัง!’ หลิวรั่วซีรำพึงในใจ ขณะสำรวจเสาไม้ผุๆ ที่ปลวกแมลงรุมทึ้ง ‘ต้องสร้างใหม่สถานเดียว! แต่... เงินล่ะ? วัสดุก่อสร้างล่ะ? แรงงานล่ะ? โอ๊ย! ปัญหาเยอะแยะไปหมด!’
เ้าอ้วนเดินวนไปวนมาในห้องแคบๆ อย่างหัวเสีย สมองเริ่มปั่นป่วน ความคิดตีกันยุ่งเหยิงราวกับรังไหม ทันใดนั้นเอง...ที่ข้อมือด้านขวาที่อวบอ้วนของนางก็ปรากฎแสงเรืองรองสีทองอร่ามขึ้น ราวกับจะเป็การบอกว่า...ท่านลืมข้าไปแล้วหรือไร อะไรประมาณนั้น
"แสงอะไรน่ะ?" หลิวรั่วซีชะงักกึก ขมวดคิ้วมุ่น ยกมือขึ้นมาจ้องเขม็ง ภาพที่เห็นทำเอาเ้าอ้วนถึงกับเบิกตากว้าง! ที่ข้อมือขาวอวบอ้วนของนาง ปรากฏรอยสักรูปผลท้อสีทองอร่าม เปล่งประกายเรืองรองราวกับมีชีวิต!
‘รอยสัก? ผลท้อสีทอง?’ หลิวรั่วซีเอียงคอ ขมวดคิ้วมุ่นยิ่งกว่าเดิม นางไม่เคยเห็นรอยสักนี้มาก่อน ร่างของนางไม่เคยมีรอยสักอะไรสักอย่างนะ และรอยนี่มาจากไหนกัน ..
แต่เดี๋ยวก่อนนะ... ผลท้อสีทอง? รอยสักเรืองแสง? พลันภาพความทรงจำจาก นิยายทะลุมิติที่เคยอ่านเล่นๆ ในโลกเดิมก็แวบเข้ามาในสมอง! นางเอกนิยายเ่าั้มักจะมี ปานหรือรอยสักหรือของวิเศษที่นำพาพลังอำนาจ หรือ "มิติส่วนตัว" มาให้!
‘มิติส่วนตัว!? อย่างนั้นรึ!!! อย่าบอกนะว่า.!!!!.’
ดวงตากลมโตของเ้าอ้วนเริ่มเบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆ หัวใจเต้นระรัวราวกับกลองศึก ริมฝีปากอวบอิ่มค่อยๆ ยกขึ้นเป็รอยยิ้มกว้าง... กว้างจนแก้มปริ!
"อย่าบอกนะว่า... นี่คือ….!?"
****มันคืออะไรกันนะ!!! ***