เจิ้งหยวนรู้สึกกระดากอายจริงๆ คุณแม่ของเธอมีลูกทั้งหมดห้าคน ในบรรดาลูกๆ ทุกคนเธอมักแอบอู้งานเป็ประจำ นอกจากทำงานข้างนอก ก็แทบไม่เคยช่วยคุณแม่ทำงานบ้านอย่างอื่น เมื่อก่อนเธอเคยไม่พอใจที่พี่ชายไม่ต้องทำงานบ้าน รู้สึกเสียเปรียบที่ตนทำเยอะกว่า มานึกดูตอนนี้ ในอดีตทำไมเธอถึงได้ทิฐิสูงขนาดนั้นนะ? อย่างกับคนทั่วโลกต่างกระทำผิดต่อเธอ พี่ชายเขาทำงานหนักกว่าเธอหลายเท่าตัว คุณแม่ย่อมไม่อยากให้เขาเหน็ดเหนื่อยในบ้านอยู่แล้ว แม้คุณพ่อคุณแม่สกุลเจิ้งจะไม่ถือปิตาธิปไตยสักเท่าไร แต่สุดท้ายคนชนบทยุคนี้ก็ยังคงให้ความสำคัญกับผู้ชายมากกว่า!
เจิ้งหยวนกลอกตามองเจิ้งเจวียนแล้วบอก “ฉันทำกับข้าวแล้ว เพราะฉะนั้นแกต้องล้างจาน!”
เจิ้งเจวียนเอ่ยพลางยิ้มจนตายิบหยี “ได้ๆๆ ฉันล้างเอง!” พูดจนก็ยื่นจมูกดมกลิ่นฟุดฟิด “พี่ พี่ทำอะไรน่ะ ทำไมหอมจัง? ฉันเหมือนได้กลิ่นเนื้อเลย?”
เจิ้งหยวนบอก “เนื้อนั่นแหละ กำลังอุ่นร้อนอยู่ในหม้อ เดี๋ยวรอพี่สะใภ้กลับบ้านแล้วค่อยตั้งโต๊ะ”
เจิ้งเจวียนฉีกยิ้มตื่นเต้นจนแทบจะะโ “ว้าว วันนี้มันวันอะไร มีเนื้อกินด้วย!” เธอวิ่งฉิวไปเปิดฝาหม้อ ชะโงกใบหน้าสอดส่ายสายตา แล้วร้องอุทานลั่น “พระเ้า พี่ เนื้อนี่ทำยังไงน่ะ มันหอมมากเลย!”
ต้องหอมสิ เธอไม่หวงเครื่องปรุงรส ย่อมหอมกว่าเนื้อที่บ้านทำเมื่อก่อนอยู่แล้ว
เจิ้งหยวนเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “มันคือหมูสามชั้นอบน้ำแดง แกหยิบตะเกียบมาลองชิมสักชิ้นดูสิ”
เจิ้งเจวียนไม่ไป เธอกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง สะกดความอยากก่อนส่ายหัว “ไม่เป็ไร พี่สะใภ้กลับค่อยกินด้วยกันดีกว่า”
เธอรู้ความเสียจนน่าปวดใจ
เจิ้งเจวียนเงียบไปพักหนึ่ง และพูดขึ้นมาอีกว่า “นี่พี่ เนื้อมาจากไหนเหรอ ในกองเหมือนจะไม่มีใครฆ่าหมูมาแบ่งเนื้อสัตว์นะ”
เจิ้งหยวนยังไม่ทันตอบ ก็ได้ยินเสียงเฉินชุ่ยอวิ๋นที่เพิ่งเข้าครัวมาเอ่ยขึ้น “พ่อให้พี่สาวแกซื้อกลับมาจากในตัวอำเภอน่ะ”
เจิ้งหยวนสบตาคุณแม่ เข้าใจทันทีว่าเป็ความ้าของคุณพ่อ คุณพ่อไม่อยากให้คนในบ้านรู้ที่มาแท้จริงของเนื้อ เจิ้งหยวนไม่ขัดศรัทธา ยิ้มยอมรับวิธีการนี้โดยดุษณีแถมยังกล่าวส่งเสริม “ใกล้่เร่งเก็บเกี่ยวและเพาะปลูกแล้วนี่ พ่อเลยอยากหาเนื้อมาบำรุงร่างกายคนในบ้านสักหน่อยน่ะ”
“อ้อๆๆ” เจิ้งเจวียนพยักหน้าระรัว “งั้นต้องให้พ่อกับพี่ชายกินเยอะๆ …พี่ พี่ก็เหมือนกันนะ ปีนี้ต้องลงนาด้วยใช่ไหม?”
เจิ้งหยวนพยักหน้า เธอเริ่มลงนาช่วย่เร่งเก็บเกี่ยวและเพาะปลูกั้แ่ปีก่อนแล้ว สอง่เร่งด่วนของการทำนาต้องแข่งขันกับเวลา มีคนเพิ่มขึ้นย่อมได้แรงงานอีกแรง ความจริงชาติที่แล้วเธอไม่อยากไปสักนิด มันเหนื่อยเกินไป แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจพ่อไม่ได้ มาคิดดู ่แรกเธอดิ้นรนเป็คนในเมืองขนาดนั้น บางทีอาจจะเพราะกลัวเหนื่อยก็ได้!
ครั้นถึงเวลากินข้าว คนในบ้านล้อมวงกันพูดคุยเื่หมูสามชั้นอบน้ำแดงรอบหนึ่งเสร็จ ทุกคนก็เริ่มทานอย่างตะกละตะกลาม เหมือนกลัวกินช้าแล้วจะไม่หมด เจิ้งหยวนมองครอบครัวกินกันด้วยความเอร็ดอร่อย พลันเกิดความรู้สึกพึงพอใจ ถึงกระนั้น มันก็แฝงร่องรอยแห่งความขมขื่นติดมาด้วย แค่หมูสามชั้นอบน้ำแดงจานเดียว พวกเขาถึงกับหวงแหนเพียงนี้ เธอสาบานในใจอีกครั้งว่าจะทำให้สมาชิกครอบครัวทุกคนมีชีวิตที่ดียิ่งกว่าเดิมให้จงได้
ทานเกือบหมดแล้ว เฉินชุ่ยอวิ๋นก็บอกเื่จดหมายของเฝิงเจี้ยนเหวินกับเจิ้งเฉวียนกัง เจิ้งหยวนส่งจดหมายให้พ่ออย่างรู้ทัน เจิ้งเฉวียนกังมองซองจดหมายแล้วดันคืนเธอ ไม่เปิดอ่าน และถามแทน “เขาเขียนว่าอะไร แกบอกฉันมาก็พอแล้ว”
“…” เจิ้งหยวนนิ่งไปเล็กน้อย เธอเพิ่งตระหนักครั้งแรกว่าคุณพ่อเธอก็รู้จักเคารพความเป็ส่วนตัวของลูกด้วย? ถ้าอย่างนั้นชาติก่อนพ่ออ่านจดหมายหรือเปล่านะ? ความคิดนี้ผุดขึ้นมาเพียงแวบเดียว จากนั้นเธอจึงค่อยตอบ “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่ถามฉันว่ายินดีแต่งงานกับเขาไหม หากไม่เขาก็ไม่บังคับ” ประโยคหลังเขาไม่ได้เขียน แต่ความหมายไม่หนีห่างกันเท่าไร
เจิ้งเฉวียนกังขมวดคิ้วมองเธอ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้