ในตอนนี้เอง ทางด้านนั้นพลันเกิดเสียงกึกก้องดังขึ้นมากมายหลายเสียง ซึ่งเป็เสียงที่น่ากลัวยิ่งนักในยามค่ำคืนเช่นนี้
และสิ่งนี้คือพลุที่พุ่งขึ้นฟ้า
อาศัย่ที่ควันขาวลอยโขมง คนชุดดำเ่าั้ก็หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว เมื่อควันจางลงก็ไม่เหลือร่องรอยของคนพวกนั้นอยู่แล้ว
ในตอนนี้เอง มู่หรงอวี้ก็พานางไปที่บริเวณนั้น
เมื่อเห็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนเดินทางมาด้วยตนเอง บ่าวรับใช้ที่อยู่เฝ้าก็ค้อมคำนับอย่างนอบน้อมและเข้ามารายงาน “ท่านอ๋อง พวกเขาแย่งศพทั้งหมดไปแล้วขอรับ”
“ไม่เป็ไร เดิมทีเปิ่นหวางก็วางแผนเอาไว้เช่นนี้เหมือนกัน”
คบเพลิงลุกไหม้ ส่องให้ใบหน้าของเขามีแสงสีแดงส้มงดงาม รูปหน้าเป็สันอย่างมีมิติ ั์ตาดำคู่นั้นเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มเสียทีเดียว ยิ่งทำให้ยากที่จะคาดเดาอารมณ์ของเขายิ่งขึ้นไปอีก
ในใจของมู่หรงฉือกระวนกระวายและใ จนเอ่ยปากถามไป “เพราะเหตุใด?”
เขาหันหน้ามาพูดเสียงเบาข้างหูนาง “เปิ่นหวางจัดฉากนี้ขึ้นมาเพียงเพื่อสตรีผู้นั้น เปิ่นหวางเชื่อว่าสตรีผู้นั้นจะมาแย่งศพสหายของนางกลับไป”
หัวใจของนางกระตุก ทั้งรู้สึกตลกและรู้สึกว่าช่างเป็ความคิดที่ไร้สาระเสียจริง
คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนที่แสนโหดร้ายผู้นี้ จะหลงใหลและคิดถึง ‘สตรีผู้นั้น’ จริงๆ ถึงกับจัดฉากเฝ้ารอกระต่ายตัวนี้ออกมาอีกครั้ง
ทว่าสตรีที่เขาอยากพบและอยากจะจับนางผู้นั้นยืนอยู่ข้างกายของเขาแท้ๆ
ในโลกใบนี้ยังมีเื่ที่น่าขันแสนตลกยิ่งกว่านี้อีกหรือไม่?
“ในกลุ่มของคนชุดดำพวกนั้นเมื่อครู่ ท่านเห็นนางหรือไม่?”
“ไม่เห็น” มู่หรงอวี้พูดด้วยความสัตย์จริง
“ไกลขนาดนั้น มืดขนาดนั้น ทั้งยังสวมชุดดำกันหมด ท่านมั่นใจถึงเพียงนี้เลยหรือ?”
“รูปร่างของนาง เปิ่นหวางจดจำได้ชัดเจน ไม่มีทางจำผิดแน่”
มู่หรงฉืออดยกยิ้มมุมปากไม่ได้ บุรุษเอ๋ยบุรุษ เหตุใดถึงได้เชื่อมั่นในตัวเองถึงเพียงนี้?
หากเขาจำรูปร่างของนางได้ เช่นนั้นก็ควรจะสงสัยนางไปตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ?
รออยู่ราวครึ่งชั่วยาม ทั้งสี่กลุ่มย่อยกลับมารายงาน หนึ่งในกลุ่มนั้นตามไปถึงแม่น้ำ คนชุดดำพวกนั้นนำศพขึ้นเรือจากไป
บ่าวรับใช้คนหนึ่งนำของชิ้นหนึ่งมาให้ “ท่านอ๋อง นี่คือของที่ข้าน้อยเก็บได้ที่ริมแม่น้ำพ่ะย่ะค่ะ”
มู่หรงอวี้รับไป เป็แผ่นหยกเลี่ยมทองแผ่นบางๆ ชิ้นหนึ่ง ้าแกะสลักรูปหมาป่าเอาไว้
มู่หรงฉือกล่าว “รูปแกะสลักหมาป่า... หมาป่า... ตอนที่ซีฉินสร้างแคว้นขึ้นมาในคราแรก ก็ใช้หมาป่ามาเป็เทพคุ้มครอง”
เขาพยักหน้า “หมาป่าเป็เทพคุ้มครองของแคว้นซีฉินมาตลอด สำหรับแคว้นนั้น หมาป่าอยู่ในตำแหน่งที่สูงส่งจนไม่อาจเปรียบได้ กษัตริย์ที่ขึ้นครองราชย์จนถึงประชาชนคนธรรมดาล้วนมีหมาป่าเป็เทพคุ้มครอง”
“ท่านบอกว่านักฆ่าหญิงที่จับเป็ได้คนนั้นบอกว่าตัวเองเป็คนของแคว้นตงฉู่ไม่ใช่หรือ?”
“ดูเหมือนว่าเปิ่นหวางคงถูกนางหลอกเสียแล้ว”
ดวงตาของมู่หรงอวี้หรี่ลง ถึงว่าสายลับที่แคว้นตงฉู่หาพวกนางมาหลายวันก็หาไม่พบ
ที่แท้นักฆ่าหญิงพวกนั้น รวมถึงแม่นางผู้งดงามแต่เ็าผู้นั้นเป็คนของแคว้นซีฉินนี่เอง
มุมปากของมู่หรงฉือยกยิ้มเย็น หาจนทั่วแคว้นตงฉู่ แล้วยังต้องไปพลิกแผ่นดินหาคนที่แคว้นซีฉินอีก ลูกน้องของเ้าคงงานยุ่งพอแล้ว
วันต่อมา นางหลับไปจนกระทั่งเที่ยงถึงได้ตื่นขึ้นมา
ตอนที่นางทานอาหาร ฉินรั่วก็เข้ามารายงาน “การลงมือเมื่อคืนถือว่าราบรื่น คนส่วนมากไม่ได้รับาเ็กันเพคะ”
มู่หรงฉือพยักหน้า “เ้าจงสั่งการลงไป หลายวันนี้ให้ทุกคนพักฟื้นร่างกายกันดีๆ”
“เพคะ เตี้ยนเซี่ย” ฉินรั่วยิ้มอ่อน “หนูฉายทำตามคำสั่งของเตี้ยนเซี่ย จงใจทิ้งแผ่นหยกเลี่ยมทองเอาไว้แล้วเพคะ”
“ความจริงแล้วเมื่อคืนเปิ่นกงก็อยู่ด้วย เพียงแต่พวกนางมองไม่เห็นเปิ่นกง เปิ่นกงอยู่กับมู่หรงอวี้”
“เตี้ยนเซี่ยว่าอย่างไรนะเพคะ?” ฉินรั่วกับหรูอี้ตกตะลึงมาก บนใบหน้าของพวกนางเต็มไปด้วยความสับสน
เมื่อคืนองค์รัชทายาทเข้าไปพักผ่อนั้แ่หัวค่ำแล้วไม่ใช่หรือ? แล้วเตี้ยนเซี่ยออกไปั้แ่เมื่อไหร่? ทำไมถึงไปอยู่ในที่ชิงศพกับท่านอ๋องได้?
มู่หรงฉือทานอาหารต่ออย่างไม่แสดงอะไรออกมา ทั้งนางก็ไม่คิดที่จะอธิบายสิ่งใดเพิ่มเติม
...
ตำหนักชิงหยวน
หลังจากได้รับการรักษาจากหมอเทวดาเสวี่ยไปสามวัน มู่หรงเฉิงก็รอดพ้นจากระยะอันตราย ถึงแม้ร่างกายจะยังอ่อนแอ แต่ว่าการค่อยๆ พักฟื้นก็ยังพอที่จะยื้อเวลาชีวิตต่อได้อีกหลายปี
หมอเทวดาเสวี่ยกำชับเป็พิเศษว่าตอนนี้ร่างกายของฮ่องเต้ไม่อาจแตะต้องสตรีได้อีก มิเช่นนั้นจะเป็การรนหาที่ตายเสียเปล่า
ดังนั้น มู่หรงเฉิงจึงต้องยอมรับความจริงที่ทำให้เขาแทบกระอักเืนี้ให้ได้
มู่หรงอวี้เห็นเขาทานโจ๊กรังนกไปได้ครึ่งถ้วยก็กล่าวว่า “สีหน้าของฝ่าาไม่เลวเลย หากรักษาตัวดีๆ ก็จะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นมา”
ใบหน้าของมู่หรงเฉิงฉายแววเสียใจ “ก่อนหน้านี้เจิ้นเชื่อคำหลอกลวงของนักพรตเทียนเฟิง คิดว่าจะอายุยืนยาวไม่แก่ไม่เฒ่า ถึงได้ทำให้ตนเองต้องกลายมาเป็เช่นนี้ จนเกือบจะสังเวยชีวิตตัวเองไป ช่างน่าเย้ยหยันจริงๆ อวี้หวาง ร่างกายของเจิ้นไม่สามารถดูแลราชสำนักต่อไปได้อีกแล้ว ประชาชนยัง้าเ้า เจิ้นเชื่อใจเ้า เ้าจะไม่มีทางทำให้เจิ้นผิดหวัง”
“กระหม่อมจะไม่มีทางทำให้ฝ่าาผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ”
“ดีๆ เจิ้นจะพักผ่อนแล้ว เ้าไปทำงานของเ้าเถิด”
มู่หรงอวี้โค้งคำนับแล้วเดินออกไปจากตำหนักบรรทมของโอรส์
เขาเพิ่งจะออกจากตำหนักชิงหยวนได้ไม่นาน ก็มีนางกำนัลฝ่ายในคนหนึ่งเข้ามารายงานเสียงเบา “ท่านอ๋อง กุ้ยเฟยมีเื่จะปรึกษากับท่านอ๋องเพคะ เชิญตามหนูฉายมาเพคะ”
ตอนนี้ฟ้ามืดสลัว แสงจันทร์กระจ่าง มู่หรงอวี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินตามนางกำนัลไป
เมื่อมาถึงศาลาริมน้ำ นางกำนัลก็ถอยออกไป
โคมไฟผ้าไหมบริเวณใกล้เคียงส่องแสงเข้ามา ด้านในศาลาริมน้ำมืดสลัว
เซียวกุ้ยเฟยในตอนนี้ยืนอยู่ตรงหน้าที่นั่งในศาลาริมน้ำ บนร่างสวมชุดชาววังงดงาม ปักด้วยดิ้นทองเดินลายสตรีนอนพิงต้นไม้อยู่ริมทะเล เส้นผมสีดำสนิทปักปิ่นสองอัน มีพู่สีทองสะบัดไปมา ส่องแสงแวววาวระยิบระยับ ใบหน้ารูปไข่ห่านของนางถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องประทินโฉม งดงามหยาดเยิ้ม ไม่ต้องสงสัยว่าเหตุใดฮ่องเต้ถึงได้ลุ่มหลงนางจนเลอะเลือนถึงเพียงนี้
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า เซียวกุ้ยเฟยก็รู้ว่าบุรุษที่นางคะนึงหามาตลอดได้มาถึงแล้ว จึงรีบยืนขึ้นด้วยความดีใจ แย้มยิ้มพลางเดินชดช้อยเข้าไปต้อนรับ
“ท่านอ๋อง...”
เสียงออดอ้อนเอ่ยเรียกเขาเสียงเบา เป็เสียงที่ทำให้บุรุษทุกคนถึงกับตัวอ่อนได้
แต่มู่หรงอวี้กลับมีใบหน้าเ็าราวกับน้ำในฤดูใบไม้ร่วง เอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “กุ้ยเฟยมีธุระใดหรือ?”
นางที่อดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว มองไปทางเขาอย่างยั่วยวน “กว่าท่านอ๋องจะมาหาหม่อมฉันสักครั้ง เชิญนั่งลงก่อนเถิดเพคะ”
พูดไป นางก็จับแขนเขาลากไปยังที่นั่งริมน้ำ
“หากกุ้ยเฟยไม่มีธุระอะไร เปิ่นหวางจะออกจากวังแล้ว” เขาดึงแขนออก บนใบหน้าไม่มีความอ่อนโยนให้นางเลยสักนิด
“ท่านอ๋อง ตอนแรก เป็ท่านที่้าให้เปิ่นกงเข้ามาดูแลฝ่าา ตอนนี้ท่านอ๋องจะทอดทิ้งเปิ่นกงแล้วหรือ?” เซียวกุ้ยเฟยทำหน้าเ็ป หวังให้มู่หรงอวี้สงสาร
“เ้าอยู่ที่วังหลังอยากเรียกลมก็ได้ลม เรียกฝนก็ได้ฝน ขาดก็แค่ตำแหน่งฮองเฮา แค่นี้เ้ายังไม่พอใจอีกหรือ?”
“เปิ่นกงจะอยากได้ตำแหน่งฮองเฮาไปเพื่ออะไร? ท่านอ๋องไม่รู้หรือ? ที่เปิ่นกง้ามาตลอดก็คือท่านอ๋องต่างหากเพคะ”
นางถอดหัวใจของตัวเองมาวางตรงหน้าเขา ดวงตาสวยคลอหน่วยไปด้วยน้ำตา ท่าทางอ่อนแอราวกับจะล้มลง ใครเห็นก็พากันเอ็นดูรักใคร่
นางเข้าใจจิตใจของบุรุษดี บุรุษทุกคนบนโลกใบนี้ต่างมีความ้าที่จะปกป้องสตรีที่อ่อนแอ เมื่อเห็นสตรีบอบบางทำท่าจะร้องไห้ ก็จะเกิดความรู้สึกอยากปกป้อง
ฮ่องเต้ชราเองก็เป็เช่นนี้ อวี้หวางเองก็คงไม่ต่างกัน
แต่แววตาของมู่หรงอวี้เ็ามาก “จงจำฐานะของเ้าเอาไว้ หากไม่ควรคิดก็อย่าคะนึงหา หากไม่ควรทำก็อย่าได้ทำเป็อันขาด ครั้งนี้เปิ่นหวางจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเ้า แต่หากยังมีครั้งหน้า เปิ่นหวางจะไม่ปรานี!”
เซียวกุ้ยเฟยราวได้รับการกระทบกระเทือนใจอย่างหนัก ถอยหลังไปอย่างน่าสงสาร “เปิ่นกงทำเช่นนี้ก็เพราะว่าอยากจะช่วยท่านอ๋อง ขอแค่ฝ่าาสิ้นพระชนม์ไป แคว้นเยี่ยนก็จะตกเป็ของท่านแล้วมิใช่หรือ?”
“หากเปิ่นหวางมีความคิดเช่นนั้นจริงๆ ก็ไม่มีทางให้สตรีมาปูทางให้!”
ั์ตาของเขามืดมิดราวรัตติกาลอันดำมืด ไม่ได้สนใจต่อปฏิกิริยาของนางแม้แต่นิด
ครั้นนางสบมองดวงตาที่เย็นเยียบราวท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ไร้ดาวของเขา ก็ได้แต่กัดปากตัวเองเบาๆ หัวใจราวถูกบีบรัดขึ้นอีก
นางไม่ได้มองคนผิดแน่ บุรุษที่นางต้องใจนั้นมีความสามารถอันล้นเหลือ ภาพลักษณ์ที่ดูแคลนทุกคน มีปณิธานอันกว้างไกล แม้จะคิดว่าตนเก่งกาจแต่กลับมีจิตใจสูงส่ง ไม่้าใช้งานสตรีเพื่อเหยียบให้ตนเองขึ้นไปยังตำแหน่งที่สูงกว่า ช่างทำให้คนนับหน้าถือตา
“หม่อมฉันทราบแล้ว เช่นนั้นที่ท่านอ๋องให้หม่อมฉันเข้าวังมา ท่านอ๋องอยากจะให้หม่อมฉันทำสิ่งใดกันแน่?”
“โอกาสยังมาไม่ถึง หากไม่ได้รับคำสั่งจากเปิ่นหวาง ทางที่ดีที่สุดเ้าอย่าลงมือทำอะไร มิเช่นนั้น เปิ่นหวางก็ปกป้องเ้าไม่ได้!”
มู่หรงอวี้ทิ้งคำพูดแสนเ็าเอาไว้ ก่อนจะจากไปโดยที่ไม่ปรายตามองนางแม้แต่น้อย
เซียวกุ้ยเฟยมองเขาที่เดินจากไปเรื่อยๆ ด้วยความหลงใหล จนกระทั่งถูกความมืดกลืนกินไป นางก็พูดอยู่ในใจ
ท่านอ๋อง แคว้นต้าเยี่ยนที่แสนสุขสงบ สุดท้ายก็จะถูกท่านเหยียบอยู่ใต้อาณัติ ส่วนข้าก็จะเป็สตรีเพียงผู้เดียวที่จะยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ของท่าน
…..
ค่ำคืนของต้นฤดูร้อนดำมืดราวกับน้ำหมึก สายลมเย็นที่พัดมาทำให้แสงเทียนที่ถูกจุดอยู่ในห้องตำราสั่นไหวไม่อยู่นิ่ง
มู่หรงอวี้นั่งอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ บนโต๊ะมีภาพเหมือนภาพหนึ่ง สตรีในภาพมีคิ้วเรียวยาว ดวงตาเรียวเล็กราวกับน้ำค้างบนกลีบดอกบัวในยามเช้าตรู่ ใสบริสุทธิ์ ทั้งยังแฝงกลิ่นหอมอ่อนๆ เอาไว้
เมื่อมองไปเรื่อยๆ เขาก็รู้สึกว่าดวงตาคู่นี้ราวกับจะมีชีวิต ทั้งยังปรากฏความดื้อรั้นน้อยๆ ออกมา ถลึงตาใส่เขาอย่างมีโทสะ
คิดถึงตอนเจอนางที่ตรอกเถาฮวาในวันนั้น ริมฝีปากบางก็อดยกยิ้มอย่างอารมณ์ดีน้อยๆ ไม่ได้
ด้านนอกมีการเคลื่อนไหวบางอย่างเล็กน้อย!
ต่อมาก็มีเสียงเคาะประตูเป็จังหวะ
“เข้ามา”
เขาเปล่งเสียงออกไป คนชุดดำก็ผลักประตูเข้ามา โค้งตัวคำนับ “ท่านอ๋อง สายสืบจากแคว้นซีฉินรายงานมาพ่ะย่ะค่ะ”
ความยินดีแผ่ซ่านบนใบหน้าหล่อเหลาของมู่หรงอวี้ “หานางพบหรือไม่?”
กุ่ยหยิงส่ายหน้า “สายลับรายงานกลับมาว่า ได้สอบถามผู้คนทั่วทั้งแคว้นซีฉินมาสามวันก็ไม่ได้อะไรกลับมาเลยพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าดีใจบนใบหน้าของมู่หรงอวี้ค่อยๆ เลือนหายไปกับความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุด
“ท่านอ๋อง ยัง้าตามหานางอีกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” กุ่ยหยิงถาม
“ตามหาต่อไป จนกว่าจะหานางพบ” ใบหน้าของมู่หรงอวี้เ็าราวกับน้ำในฤดูใบไม้ร่วง
กุ่ยหยิงไม่กล้าถามว่าเหตุใดท่านอ๋องถึงอยากจะตามหาสตรีนางนี้นัก แต่ตนเป็เพียงผู้ใต้บังคับบัญชา สิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้ก็คือปฏิบัติตามคำสั่งให้ถึงที่สุด
แต่ว่าครั้งนี้ เขากลับพบว่าบนใบหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ของท่านอ๋องเต็มไปด้วยความผิดหวัง
เขาค่อยๆ เดินจากไปแล้วหายไปกับความมืดมิดในยามราตรี
แววตาเ็าและแหลมคมดั่งใบมีดของมู่หรงอวี้มองไปยังดวงหน้าเล็กอันงดงามแต่เ็าของสตรีในภาพ
ถึงเ้า้าซ่อนตัวจากเปิ่นหวาง ต่อให้เปิ่นหวางต้องขุดดินลึกสามหมี่ก็จะขุดเ้าออกมาให้ได้!
ไม่นานนัก อู๋หยิงก็เข้ามารายงาน “ท่านอ๋อง หอเฟิ่งหวงจะเปิดให้บริการในวันที่สาม หก เก้า ซึ่งเป็วันมงคล คืนนี้หอเฟิ่งหวงจะจุดไฟให้สว่างพ่ะย่ะค่ะ”
คิ้วเรียวของมู่หรงอวี้เลิกขึ้น แสดงออกถึงความสนอกสนใจเป็อย่างมาก “เช่นนั้นไปหอเฟิ่งหวงกัน”
หอเฟิ่งหวงไม่เหมือนกับหอโคมเขียวทั่วไป ตำแหน่งที่ตั้งของหอเฟิ่งหวงอยู่ในถนนที่ค่อนข้างเปลี่ยว ภายนอกเป็ตึกสองชั้น ภายในประดับประดาด้วยเครื่องหยกมีราคา
ในขณะเดียวกันภายในหอเฟิ่งหวงมีแสงไฟส่องสว่างนวลตา มีเสียงพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
ห้องโถงขนาดใหญ่มีแท่นวงกลมหนึ่งแท่น นางรำแปดคนร่ายรำไปตามเสียงไม้ไผ่ที่เคาะเป็จังหวะเพลง เรือนร่างพลิ้วไหวราวสายน้ำ เอวของพวกนางอ่อนช้อยราวกับต้นหลิว
ภายในห้องโถงมีแขกสวมชุดผ้าไหมดูดีอยู่จำนวนไม่น้อย โดยคนที่คอยรินสุราให้มิใช่สตรีที่มีหน้าตางดงามแต่อย่างใด หากแต่เป็เด็กหนุ่มหน้าหยกริมฝีปากชมพู ท่าทางเอียงอายยืนอยู่ด้านข้าง
ที่ริมหน้าต่างมุมหนึ่งมีคุณชายสวมชุดสีขาวคนหนึ่ง นั่งจิบชาด้วยท่าทางสบายๆ พลางสอดส่ายสายตามองไปรอบๆ
แต่คุณชายผู้นี้สวมหน้ากากสีทองปกปิดใบหน้าั้แ่จมูกขึ้นไป
ตอนนี้เองที่มีสตรีสวมชุดแดงที่กำลังเป็ที่นิยมเดินนวยนาดเข้ามา ปิ่นของนางมีดอกไม้สีแดงอยู่ดอกหนึ่ง ยิ่งเสริมความงดงามขึ้นไปอีกหลายส่วน ทันใดนั้น นางก็ยกขาขึ้นพาดบนโต๊ะ ชวนให้รู้สึกราวกับนางเป็ผีเสื้อบินฉวัดเฉวียน รวดเร็วฉับไวราวสายลม
“คุณชายนั่งดื่มชาอยู่ผู้เดียว มีเื่ให้รำคาญใจหรือไม่?”
เสียงอันไพเราะของนางเต็มไปด้วยเสน่ห์ ฟังแล้วให้ความรู้สึกงดงามไปถึงในกระดูก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้