ติงอ้ายเจินแย่แล้ว
แต่ยังไม่รู้ว่าจูเฉิงชุนสามีของเธอจะติดร่างแหไปด้วยหรือไม่แต่คาดว่าไม่มีความอาจหาญ และไร้ซึ่งเรี่ยวแรงต่อกรกับเซี่ยเสี่ยวหลานอีกต่อไป
เซี่ยเสี่ยวหลานเติมเชื้อไฟให้เื่นี้ ที่สำคัญยิ่งกว่าคือเจิ้งจงฝูคนซื่อผู้ถูกติงอ้ายเจินข่มเหงจนร่วงลงมาสู่จุดต่ำสุดโต้กลับในสถานการณ์อับจนหนทางถือป้ายผ้าหน้าหน่วยงานรัฐด้วยจิตใจแน่วแน่ที่จะต่อสู้เพื่อความยุติธรรมถ้าล้มติงอ้ายเจินและผู้อำนวยการโรงงานไม่ได้ ผลลัพธ์ที่เจิ้งจงฝูจำต้องเผชิญคงไม่ดีแน่
บอกได้เพียงว่าโชคเข้าข้างเซี่ยเสี่ยวหลานไม่เบา เจิ้งจงฝูเองก็เหมือนกันเื่ราวของทั้งสองคนประจวบเหมาะพอดี ประสิทธิภาพของหนึ่งบวกหนึ่งย่อมมากกว่าสอง!
สำหรับเซี่ยเสี่ยวหลาน การตีสุนัขตกน้ำ [1] ไม่ใช่เป้าหมายของเธออีกต่อไป เธอได้รับใบผลสอบปลายภาคของตนเอง เมื่อเปรียบเทียบกับคะแนนเข้าเรียนของสามเดือนก่อนพัฒนาการของเธอเป็ที่น่าจับตามอง
ภาษาจีน 79 คะแนน คณิตศาสตร์ 102 คะแนน อังกฤษ 100 คะแนน รัฐศาสตร์ 53 คะแนน ฟิสิกส์ 66 คะแนน เคมี 80 คะแนน ชีววิทยา 34 คะแนน
คะแนนรวม 514 คะแนน
ทั้งโรงเรียนมีแค่สามคนที่คะแนนรวมมากกว่า 500คะแนน คะแนนของเซี่ยเสี่ยวหลานนั้นเป็อันดับสองอันดับหนึ่ง 526 คะแนน และอันดับสาม 508 คะแนน
ในห้องสาม เธอคือคนที่ได้คะแนนสูงสุดนั่นเอง!
ตอนสอบเข้าเรียนได้ 446 คะแนน ปลายภาคได้ 514 คะแนน
คะแนนรวมเพิ่มขึ้นเกือบ 70 คะแนน ความเร็วในการเพิ่มพูนคะแนนที่น่ากลัวแบบนี้ทำให้อาจารย์ห้องสามปลื้มปีติยิ่งนัก
ยังเหลือเวลาอีก 6 เดือนกว่าจะสอบเกาเข่าเวลาครึ่งปี เซี่ยเสี่ยวหลานจะสามารถสอบได้มากกว่า 550 คะแนนหรือเปล่า? ถ้าเป็ไปตามนั้นก็ไม่ใช่แค่ปริญญาตรีมหาวิทยาลัยชั้นนำแต่สามารถจู่โจมมหาวิทยาลัยโด่งดังทั่วประเทศได้เลย!
ตอนนี้อันดับหนึ่งของชั้นปีย่อมรู้สึกว่าตำแหน่งของตนไม่มั่นคงนัก ใครก็สามารถััความรู้สึกของเขาได้ถ้าไม่อยากให้เซี่ยเสี่ยวหลานนำหน้า ก็ต้องเรียนอย่างสู้ชีวิตขยันหมั่นเพียรไม่รู้เหน็ดเหนื่อยเท่านั้น
อาจารย์ฉีประจำวิชาภาษาจีนยังไม่พึงพอใจนัก
“คะแนนวิชาภาษาจีนของเธอยังมีพื้นที่ว่างให้พัฒนา ท่องให้มากทำโจทย์การอ่านเพิ่มเติม ต้องได้เพิ่มอีกสัก 10 คะแนนแน่!”
ภาษาจีนเพิ่มขึ้น 10 คะแนนรัฐศาสตร์เพิ่มขึ้น 10 คะแนน นี่เป็ 20 คะแนนแล้ว
ความคาดหวังอันแรงกล้าของอาจารย์ฉีก็เพราะ้าให้เซี่ยเสี่ยวหลานได้ดี เซี่ยเสี่ยวหลานนึกถึงข้อสอบเกาเข่าวิชาคณิตศาสตร์ของปี 84 ที่ตนเคยทำฉบับนั้น หากเป็ไปตามความจริงไม่แน่ว่าคะแนนคณิตศาสตร์ของเธออาจเพิ่มขึ้นอีก 10 คะแนน
คะแนนเต็มวิชาคณิตศาสตร์คือ 120 เธอสอบได้ 102 คะแนน ถือเป็คะแนนสูงสุดในรายวิชาเดี่ยวของทั้งโรงเรียน
อาจารย์วิชาคณิตศาสตร์อายุยังไม่มาก มองเซี่ยเสี่ยวหลานด้วยแววตาแสดงความเอ็นดูมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว
เขาเคยอธิบายโจทย์แก่เซี่ยเสี่ยวหลานสองสามหนตอนนี้ทุกลมหายใจล้วนคือเซี่ยเสี่ยวหลาน น่าหมั่นไส้เหลือเกิน
อาจารย์ใหญ่ซุนเห็นคะแนนสอบปลายภาคแล้วเช่นกัน เขาได้แต่รำพันกับภรรยาของตัวเอง “ลูกสาวบ้านเซี่ยเรียนหนังสือเก่งกันจริงๆฉันว่าคะแนนสอบเกาเข่าของเซี่ยเสี่ยวหลานอาจดีกว่าลูกพี่ลูกน้องของเธออย่างเซี่ยจื่ออวี้เสียอีกครอบครัวชนบทมีคนสอบเป็นักศึกษามหาวิทยาลัยทีเดียวถึงสอง ยอดเยี่ยมไปเลย!”
มีนักศึกษาสองคนคอยแนะนำ ทัศนคติต่อการเรียนของน้องชายน้องสาวที่บ้านอาจจริงจังมากขึ้น
หากมีนักศึกษาอีกสักสองคน ไม่ว่าจะเรียนปริญญาตรี ต้าจวนหรือจงจวน ย่อมสามารถลงหลักปักฐานในเมืองได้จากทะเบียนบ้านชนบทกลายเป็ผู้รับประทานอาหารหลวง พาครอบครัวใช้ชีวิตที่ต่างจากเดิมความรู้สามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตา การศึกษาคือหนึ่งในวิธีการสำคัญในการเปลี่ยนแปลงสถานะทางครอบครัวเสมอมา!
ภรรยาของอาจารย์ใหญ่ซุนยิ้มแย้มทว่าไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด
ถ้าเซี่ยเสี่ยวหลานสอบติดแล้ว น่าจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลเซี่ยอยู่ดีไม่ใช่ว่าบิดามารดาหย่าร้างกันแล้ว และเซี่ยเสี่ยวหลานได้ย้ายติดตามมารดาไปหรือ?
ภรรยาอาจารย์ใหญ่ค่อยๆ วิเคราะห์เื่ราวคราวก่อนจนกระจ่างแจ้งขึ้นมาในบัดดลคนตระกูลเซี่ยกำลังกังวลว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเป็อย่างไรในโรงเรียนที่ไหนกันเห็นได้ชัดว่ามาเพื่อสร้างความรำคาญแก่เซี่ยเสี่ยวหลานคนในครอบครัวเดียวกันจะสู้รบปรบมืออย่างไรก็ช่าง แต่ภรรยาอาจารย์ใหญ่ไม่มีทางยุ่งเื่ชาวบ้านโดยการออกตัวช่วยเหลือเซี่ยเสี่ยวหลานอย่างไรเสียคนตระกูลเซี่ยก็ไม่กล้าใช้เธอกับเหล่าซุนเป็เครื่องมือหลังรู้ความเป็มาเธอจึงรู้สึกสะอิดสะเอียนเหลือเกิน
อาจารย์ใหญ่ซุนโปรดปรายเซี่ยจื่ออวี้มากทีเดียว ความรู้สึกของภรรยาเขาไม่ถึงขั้นตำหนิผู้ปกครองเซี่ยจื่ออวี้ต่อหน้าแต่ก็ไม่ไปรับประทานอาหารที่ร้านจางจี้อาหารว่างอีกต่อไป
“วันนี้ซุนเถียนจะมา คุณต้องไปประชุมที่สำนักงานการศึกษา อย่างไรฉันจะพาซุนเถียนออกไปกินข้าวข้างนอกดีกว่า”
แรกเริ่มเดิมทีความสัมพันธ์ระหว่างซุนเถียนและอาจารย์ใหญ่ก็ปิดบังไว้มิดชิดพอสมควรทว่าเป็ไปไม่ได้ที่ซุนเถียนจะไม่เยี่ยมเยียนบ้านอาเลย ครอบครัวอาจารย์ใหญ่ซุนอาศัยอยู่ในหอพักอาจารย์ซุนเถียนเคยมาเยี่ยมเยียนสองครั้ง บุคลากรของเซี่ยนอีจงก็เดาความสัมพันธ์ระหว่างเธอและอาจารย์ใหญ่ซุนได้อย่างชัดเจนที่แท้อาจารย์เสี่ยวซุนผู้มาใหม่คือหลานสาวของอาจารย์ใหญ่ซุนเพื่อนร่วมงานที่จับคู่ให้ซุนเถียนจึงเพิ่มขึ้นอย่างคาดไม่ถคง ร้อนไปถึงอาจารย์จ้าวซึ่งเคยจีบเธอเมื่อก่อนหน้านี้ยิ่งติดตามเอาอกเอาใจซุนเถียนทั้งวัน
“หลานว่าเสี่ยวจ้าวเป็อย่างไรบ้าง? ขนาดอายังรู้เลยว่าเขาตามจีบหลานอย่างจริงจังมาก”
ดวงหน้ากลมของซุนเถียนขึ้นสีเล็กน้อย “อาสะใภ้ทำไมเป็เช่นนี้ไปอีกคนกัน?”
อาจารย์จ้าวมีไมตรีต่อเธอยิ่งนักแต่ซุนเถียนมักรู้สึกว่ามีบางอย่างที่แปลกประหลาด
คุณนายซุนไม่ทำอาหารที่บ้าน และพาซุนเถียนออกไปเลี้ยงอาหารข้างนอกแทน แต่ซุนเถียนไม่ยอมให้อาสะใภ้จ่ายเงินคุณนายซุนจึงชี้ไปยังน้าหวงจานด่วนพลางเชิญชวน
“ไปเถอะ พวกเราลองชิมของใหม่ที่ร้านนี้กัน”
แย่งลูกค้ากับร้านจางจี้อาหารว่างแล้วจะทำไมเธอมิได้ติดค้างจางจี้เสียหน่อย ไม่สามารถไปรับประทานอาหารที่ร้านอื่นได้หรือ?
“ข้าวราดร้านเธออร่อยไม่เบา ฉันชอบกินเนื้อแพะเคี่ยวไชเท้า”
กลุ่มนักเรียนรับประทานอาหารในร้านน้าหวงจานด่วนคณะอาจารย์จากโรงเรียนย่อมได้รับอิทธิพลด้วยเหมือนกันเงินเดือนของซุนเถียนมีแค่เธอที่ใช้จ่ายเอง บางครั้งก็จะรับประทานอาหารเลิศรสในร้านข้างนอกข้าวราดราคาจานละไม่กี่เหมา ซุนเถียนมารับประทานทุกวันก็ยังไหว
ร้านของน้าหวงคึกคักเป็อย่างยิ่ง เนื่องจากวันนี้เป็วันรับผลสอบพอรับผลสอบแล้ว อาจารย์แต่ละวิชายังต้องให้การบ้านปิดภาคเรียนฤดูหนาวจากนั้นค่อยจัดกลุ่มนักเรียนเพื่อทำความสะอาดครั้งใหญ่ ไปๆ มาๆก็ถึงมื้ออาหารกลางวัน ร้านอาหารจานด่วน ณ เวลานี้ผู้คนจึงแน่นขนัด ร้านเล็กๆถูกนักเรียนห้องสามเหมาไว้เกือบทั้งหมด
“ครูซุน?”
เซี่ยเสี่ยวหลานก็อยู่ด้วยเหมือนกัน พอเห็นว่าอาจารย์ซุนมารับประทานอาหารก็รีบสละที่นั่งให้
“นักเรียนเซี่ยเสี่ยวหลาน ไม่ต้องไม่ต้อง!”
ซุนเถียนเพิ่งอายุยี่สิบต้นๆ ใบหน้ากลมน่ารัก ดูแล้วอ่อนเยาว์รุ่นราวคราวเดียวกับนักเรียนเหล่านี้แม้เธอไม่ได้สอนมัธยมปลายปีสาม แต่เคยเข้าสอนแทนอาจารย์ฉีสองสามหนนักเรียนห้องสามล้วนชื่นชอบอาจารย์เสี่ยวซุนมาก
ซุนเถียนมากับภรรยาอาจารย์ใหญ่เซี่ยเสี่ยวหลานไม่สละที่นั่งก็ย่อมมีคนอื่นสละอยู่ดีร้านอาหารจานด่วนครึกครื้นมีชีวิตชีวาขึ้นในชั่วขณะหนึ่ง
น้าหวงย้ายเก้าอี้สองตัวออกมาให้ จัดที่นั่งแก่ซุนเถียนและคุณนายซุนเรียบร้อยก็ไปเตรียมต้มบะหมี่ด้วยความกระฉับกระเฉง ธุรกิจของร้านไปได้ด้วยดีน้าหวงจึงให้คนที่บ้านมาช่วยงาน แต่ยังไม่รู้ว่าหากเซี่ยนอีจงปิดภาคเรียนฤดูหนาวแล้วจะได้รับผลกระทบมากขนาดไหน
น้าหวงไม่ได้กังวลนัก ไม่ต้องพูดถึงปีหนึ่งกับปีสองแม้ปีสามจะปิดภาคเรียน่ฤดูหนาว ทว่าวันที่สามของตรุษจีนก็ต้องกลับโรงเรียนพวกเขาจะกล้าเที่ยวเล่นอย่างไร้ขีดจำกัดทั้งเดือนเสียที่ไหน
คุณนายซุนนั่งลง เธอได้เห็นเซี่ยเสี่ยวหลานตัวจริงเป็ครั้งแรก
ช่างเป็เด็กสาวที่สะสวยเสียจริง หากสอบติดมหาวิทยาลัยดีๆ นั่นก็เรียกว่าอนาคตโชติ่ชัชวาลเลยล่ะ
คนตระกูลเซี่ยสมองมีปัญหาแน่ ลูกสาวดีเด่นขนาดนี้กลับไม่ตั้งใจดูแลแถมยังเอาแต่ผลักไสออกไปอย่างเอาเป็เอาตายคุณนายซุนไม่เข้าใจทัศนคติของคนตระกูลเซี่ย เธอพบว่าเซี่ยเสี่ยวหลานวาจามีมารยาทแม้หน้าตาสะสวย ทว่าไม่เหลาะแหละเลยแม้แต่นิดเดียว ท่าทางเต็มไปด้วยความมั่นใจและสุขุมทั้งยังเป็ที่โปรดปรานของผู้คน
และโชคดีที่ไม่เชื่อคำพล่ามของพวกจางชุ่ยจนไล่นักเรียนดีเด่นออกนั่นมิใช่การทำลายอนาคตของเซี่ยเสี่ยวหลานหรือ?
ข้าวราดยังไม่มา ซุนเถียนเองก็กำลังทักทายเหล่านักเรียนห้องสาม
วันนี้ไม่ได้มีเพียงนักเรียนหญิงอยู่ในร้านนักเรียนชายหลายคนก็อยู่ด้วยเช่นกัน รวมถึงเฉินชิ่งการสอบปลายภาคของเฉินชิ่งนั้นไม่เลวเลย ภาษาอังกฤษได้ 51 คะแนน ทำให้คะแนนรวมการสอบปลายภาคของเขาแตะที่ 460 คะแนน เหล่าวังสนับสนุนให้เขาเพียรพยายามขึ้นอีกความหวังที่จะถูกรับเข้าเรียนปริญญาตรีในปีนี้ชัดเจนมาก
สอบติดปริญญาตรีได้เฉินชิ่งก็สมปรารถนาแล้ว
แต่เดิมทีคะแนนของเขาไม่ถือว่าย่ำแย่นักเรียนซ้ำชั้นย่อมต้องสอบได้ดีกว่าเดิมอยู่แล้ว
ถ้าสามารถเรียนปริญญาตรี ใครจะยินดีเรียนสถาบันวิชาชีพกัน?
ซุนเถียนเคยสอนแทนให้ห้องสาม เลยค่อนข้างใส่ใจกับผลสอบของห้องสามเธอจำคะแนนสอบของนักเรียนหลายคนได้ทั้งหมด เมื่อพูดขึ้นมาในเวลานี้ก็เรียกเสียงหัวเราะครื้นเครงจากเหล่านักเรียน
“ครูซุน คนเก่งที่สุดประจำห้องเราก็นั่งอยู่ข้างครูนะ ครูควรชมเชยเสี่ยวหลานด้วยนะคะ!”
ซุนเถียนเห็นด้วย “แน่นอนอยู่แล้ว! เซี่ยเสี่ยวหลาน เธอต้องตั้งใจศึกษาเล่าเรียนนะก้าวหน้าไปพร้อมกับเพื่อนนักเรียนทุกคนครูขออวยพรให้พวกเธอสอบติดมหาวิทยาลัยในปีหน้า!”
เชิงอรรถ
[1]痛打落水狗 ตีสุนัขตกน้ำ หมายถึง ปราบศัตรูที่พ่ายแพ้แล้วจนสิ้นท่าไม่ฟื้นกำลังกลับมาทำเื่เลวร้ายอีก
