โจวเฉิงมาส่งเซี่ยเสี่ยวหลานที่หน้าประตูหน่วยงาน และเลือกบอกสถานการณ์ด้านเซี่ยจื่ออวี้แก่เซี่ยเสี่ยวหลานฟัง
จะให้เสี่ยวหลานไปสืบเสาะด้วยตนเอง มันคงไม่สะดวกขนาดนั้น
และหากไม่รับรู้เื่ราวใดแม้แต่น้อย อาจติดกับแผนการร้ายของเซี่ยจื่ออวี้อีกครั้งเมื่อไรก็ได้!
“พ่อของหวังเจี้ยนหัวกลับเข้าเมืองและได้ตำแหน่งงานแล้ว ตอนนี้ทำงานในฝ่ายอุดมศึกษาประจำกระทรวงศึกษาธิการ? ส่วนเซี่ยจื่ออวี้ ตอนนี้เธอรับพ่อแม่เธอมาอยู่ในปักกิ่ง และได้รวมกลุ่มกับเพื่อนนักศึกษาในวิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่งตั้งชั้นเรียนกวดวิชาอย่างนั้นสินะ?”
เซี่ยเสี่ยวหลานย่อยข้อมูลที่โจวเฉิงมอบให้
เพียงไม่กี่ประโยคสั้นๆ ปริมาณข้อมูลก็มากล้นใช่ไหมเล่า!
ฝ่ายอุดมศึกษา นั่นไม่ใช่ฝ่ายที่ดูแลสถาบันระดับอุดมศึกษาทั้งหมดรึ? ไม่รู้ว่าหัวชิงอยู่ภายใต้ฝ่ายอุดมศึกษาด้วยหรือไม่
ความคิดนี้ของเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ต่างจากโจวเฉิงนัก บิดาหวังเจี้ยนหัวจะไม่มาสร้างความเดือดร้อนให้นักศึกษามหาวิทยาลัยคนหนึ่งอย่างเธอ นอกเสียจากเซี่ยจื่ออวี้วางกู่ [1] ให้คนบ้านหวัง กระทั่งบิดาหวังเจี้ยนหัวยังกลายเป็ลูกสมุนรับใช้ เซี่ยจื่ออวี้พูดอะไรบิดาหวังเจี้ยนหัวก็ทำอย่างนั้นรึ? คิดๆ ดูแล้วก็เป็ไปไม่ได้
มันเป็เพียงชั้นเรียนกวดวิชา ในปี 84 นี้ มีการก่อตั้งชั้นเรียนกวดวิชาขนาดใหญ่แล้วหรือ?
เซี่ยเสี่ยวหลานนึกว่านั่นเป็ธุรกิจที่เกิดขึ้นหลังยุค 90 และเพิ่งพัฒนาอย่างฉุดไม่อยู่หลังยุคมิลเลนเนียมเสียอีก
ตอนเธอสอบเกาเข่าในชาติก่อนนั่น ก็ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับชั้นเรียนกวดวิชาขนาดใหญ่ประเภทนี้
แต่ธุรกิจนี้สร้างเม็ดเงินได้ค่อนข้างมากอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นสถาบันกวดวิชาต่างๆ คงไม่เบ่งบานไปทั่วประเทศ! เซี่ยเสี่ยวหลานจึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย โจวเฉิงบอกว่าชั้นเรียนกวดวิชาของเซี่ยจื่ออวี้ถูกตั้งขึ้นก่อนหวังก่วงผิงกลับเข้าเมืองมารับตำแหน่งคืน และหวังก่วงผิงไม่รู้เช่นกันว่าตนจะถูกวางตำแหน่งให้ทำงานในฝ่ายอุดมศึกษาประจำกระทรวงศึกษาธิการ ดังนั้นเื่นี้เป็ความคิดของเซี่ยจื่ออวี้เองสินะ?
เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าเซี่ยจื่ออวี้ผู้นี้แปลกประหลาดมากทีเดียว
เซี่ยจื่ออวี้สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ และทำให้ครอบครัวเปิดร้านอาหารว่างได้ อีกทั้งคิดตั้งชั้นเรียนกวดวิชาเพื่อหาเงินได้ ผู้หญิงคนนี้มีสมองอยู่แน่นอน
เพียงแต่สมองนี่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ขาดการพิจารณาอย่างรอบด้าน เซี่ยเสี่ยวหลานไม่เข้าใจเลยจริงๆ !
หากเซี่ยจื่ออวี้ก้มหน้าก้มตาพัฒนาตนเองต่อไป ไม่ใช่ไม่สามารถประสบความสำเร็จเสียหน่อย ทุกวันนี้เธอก็เดินล้ำหน้าผู้คนมากมายแล้ว ถ้าอย่างนั้นตอนอยู่ที่ชนบท ทำไมเธอต้องแย่งหวังเจี้ยนหัวไปจากข้างกาย ‘เซี่ยเสี่ยวหลาน’ ด้วย?
เป็รักแรกพบโดยแท้จริง รักเข้าไปในกระดูก น้องสาวอะไรทั้งหลาย ล้วนไม่สำคัญเท่าหวังเจี้ยนหัว?
หรือเซี่ยจื่ออวี้รับรู้พื้นเพของครอบครัวหวังเจี้ยนหัว ั้แ่แย่งมาได้ครานั้น ก็เดิมพันว่าครอบครัวหวังเจี้ยนหัวจะสามารถลืมตาอ้าปากได้มาโดยตลอด... ความเป็ไปได้น้อยเกินไปหรือเปล่า!
“รู้ล่วงหน้าหนึ่งปีว่าหวังก่วงผิงจะกลับเมืองได้หรือ?”
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ค่อยแน่ใจ เธอจึงถามโจวเฉิง
โจวเฉิงบอกเธอด้วยความแน่ใจเต็มเปี่ยมว่าเป็ไปไม่ได้
“ตัวหวังก่วงผิงเองยังคาดไม่ถึงว่าเขาจะสามารถกลับเข้าเมืองมาได้ด้วยซ้ำ ไม่มีใครคาดการณ์ล่วงหน้าได้ทั้งนั้น เื่พวกนี้เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาเสมอ ไม่ถึงคราวที่เอกสารจากเบื้องบนลงมา ใครก็ยืนยันไม่ได้”
คนที่ยังไม่ได้กลับเมืองก็มีอยู่ถมเถไป
ก่อนหน้านี้คนตระกูลหวังถูกส่งไปยังคนละสถานที่ หวังเจี้ยนหัวผู้เป็จือชิงจะพึ่งสิ่งใดช่วยวิ่งเต้น เป็เพราะเขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปักกิ่งสำเร็จและสามารถเคลื่อนไหวอย่างอิสระได้นั่นแล ระหว่างหวังเจี้ยนหัวใช้สถานะของนักศึกษากับสถานะของจือชิงขอความช่วยเหลือ จะได้รับผลลัพธ์สองอย่างที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง!
บอกได้เพียงเซี่ยจื่ออวี้อาจมีความหวังลมๆ แล้งๆ นี้อยู่ และชนะเดิมพันเพราะโชคเอื้ออำนวยเธอ
พอได้ยินเซี่ยเสี่ยวหลานพูดว่าอีกฝ่ายโชคดี โจวเฉิงเบ้มุมปาก ยิ้มอย่างมีนัยยะลึกซึ้งยิ่ง
“โชคดีหรือไม่ มันก็ไม่แน่นอนหรอก”
เขาไม่ควรว่าร้ายตระกูลหวังโดยไร้เหตุผลต่อหน้าเสี่ยวหลาน แม้ความจริงเขาจะใจแคบและไม่ปลื้มคนแซ่หวัง แต่ก็ต้องปิดบังไว้หน่อย
สำหรับการประพฤติตนของคนบ้านหวังนั้น ช่างยากจะอธิบายเหลือเกิน มิเช่นนั้นทำไมคนที่ถูกส่งลงชนบทพร้อมบ้านหวังถึงได้กลับเมืองกันหมดแล้วในขณะที่หวังก่วงผิงราวกับถูกลืมเล่า? ผู้ยึดมั่นในคุณธรรมย่อมได้รับการเกื้อหนุน ผู้ขาดคุณธรรมย่อมอ้างว้างไร้ความสงเคราะห์ โจวเฉิงคิดว่าคำกล่าวนี้ช่างสมเหตุสมผลยิ่งนัก!
ถ้า้าหาประโยชน์จากคนบ้านหวัง รอดูว่าเซี่ยจื่ออวี้จะมีความสามารถในการเป็ลูกสะใภ้บ้านหวังหรือไม่แล้วกัน
—---------------------------------------------------
ณ บ้านหวัง
บ้านที่ได้รับจัดสรรหลังใหม่ถูกทำความสะอาดอย่างเป็ระเบียบเรียบร้อย
หวังก่วงผิงอยู่ในไร่ถึง 8 ปีเต็ม หลังกลับเมืองมารัฐไม่เพียงแต่บรรจุเขาเข้าทำงานอีกครั้งโดยให้ทำงานในฝ่ายอุดมศึกษา ทว่ายังต้องจ่ายเงินเดือน 8 ปีของเขาชดเชยให้ในครั้งเดียวด้วย เงินก้อนนี้ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ สองสามีภรรยากลับเมืองอย่างไม่มีแม้สักเฟินติดตัว จู่ๆ ตอนนี้ก็มีเงินที่สามารถใช้จ่ายได้เพิ่มขึ้นมา 3 หมื่นกว่าหยวนแล้ว
เมื่อก่อนหร่านซูอวี้สนใจเื่เงินทองเสียที่ไหนเล่า ในเวลานั้นบ้านหวังไม่ขัดสนเลยแม้แต่น้อย
ทว่าหลังจากอยู่ในไร่มา 8 ปี หร่านซูอวี้รู้ว่าการไม่มีเงินคือทุกสิ่งเป็ไปไม่ได้ดั่งที่ใจ้า หร่านซูอวี้ซื้อเสื้อผ้าใหม่จำนวนหนึ่งให้ครอบครัวด้วยเงินก้อนนี้ ส่วนที่เหลือจะใช้อย่างไรก็ต้องหารือกันอย่างรอบคอบ หวังก่วงผิงกลับมามีตำแหน่งข้าราชการได้ ทั้งหมดเป็เพราะหวังเจี้ยนหัวเชื่อมความสัมพันธ์ต่างๆ ติดต่อคนรู้จักไปทุกหนแห่ง และพบกับสหายเก่าที่สามารถเจรจาแทนหวังก่วงผิงได้
มีค่าใช้จ่ายตรงกลางนี้มากมาย นอกจากเงินที่เซี่ยจื่ออวี้อุดหนุนให้บ้านหวังแล้ว หวังเจี้ยนหัวยังยืมเงินของรุ่นพี่คนหนึ่งในวิทยาลัยด้วย
หลิ่วซาน บิดาเป็ศาสตรจารย์ในวิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่ง
หร่านซูอวี้ใช้นิ้วเท้าทายยังรู้เลย หญิงสาวคนนี้ชอบเจี้ยนหัวลูกชายเธออย่างแน่นอน
นักศึกษาหญิงมิอาจควักเงินเก็บหลายพันหยวนออกมาได้ หากจะให้หวังเจี้ยนหัวยืมเงินก้อนนี้ ย่อมต้องได้รับการเห็นพ้องจากครอบครัวแล้ว นอกจากนี้หลิ่วซานยังช่วยหวังเจี้ยนหัวหางานพิเศษสอนเสริมแก่ผู้อื่น หร่านซูอวี้จึงคุยกับหวังก่วงผิง
“เงินเดือนชดเชยของคุณน่ะ พวกเราต้องเอาออกมาใช้หนี้ส่วนหนึ่ง อันดับแรกก็คือรุ่นพี่ผู้หญิงของเจี้ยนหัว พ่อเธอเป็อาจารย์ในวิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่ง ให้หวังเจี้ยนหัวยืมตั้งหลายพันหยวน ไม่ใช่เงินก้อนเล็ก ตอนนี้งานการคุณแน่นอนแล้ว ถ้าไม่รีบคืนเงินก้อนนี้ พูดออกไปคนเขาจะหัวเราะเยาะเอาได้”
หวังก่วงผิงคิดเหมือนกันว่าต้องทำเช่นนี้
อย่าดูแคลนศาสตราจารย์คนหนึ่งเชียว ศาสตราจารย์ย่อมต้องรู้จักกับศาสตราจารย์คนอื่น สำหรับศาสตราจารย์ของวิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่ง แวดวงสังคมของเขาอาจแผ่ขยายไปถึงหัวชิงหรือจิงต้าก็ได้
หวังก่วงผิงทำงานในฝ่ายอุดมศึกษาพอดี ในสายงานใหม่นี้ เมื่อก่อนหวังก่วงผิงก็ไม่มีประสบการณ์ ตอนเพิ่งเริ่มนั้นยังสับสนมากทีเดียว เขาจึงครุ่นคิดอะไรบางอย่างกับตัวเอง รับประทานอาหารสักมื้อกับศาสตราจารย์หลิ่วก็ดีเหมือนกัน ตอนนี้มีข้ออ้างอยู่พอดีด้วย
พวกเขาเรียกหวังเจี้ยนหัวกลับบ้านมาปรึกษาร่วมกัน หวังเจี้ยนหัวเห็นด้วยที่จะรีบคืนเงินให้หลิ่วซาน ทว่ายังมีจิตสำนึกอยู่บ้างและกล่าวถึงเซี่ยจื่ออวี้
“ดูสิครับ จื่ออวี้เขาก็ให้บ้านเรายืมเงินเหมือนกัน พ่อแม่จื่ออวี้มาปักกิ่งแล้ว ในเมื่อต้องกินข้าวกับศาสตราจารย์หลิ่ว ก็ควรพบพ่อแม่จื่ออวี้ด้วยใช่หรือเปล่า”
ก่อนหน้านี้หวังก่วงผิงไม่พูดถึง เพราะตอนเพิ่งกลับเมืองครอบครัวก็ยังไม่มีบ้านอาศัยเป็หลักแหล่ง
หร่านซูอวี้ถามอย่างสงสัย “ครอบครัวเธอเปิดร้านที่บ้านเกิดไม่ใช่หรือ ทำไมอยู่ดีๆ พ่อแม่พากันเข้าปักกิ่งมาเล่า?”
คงไม่ใช่เพราะเห็นว่าหวังก่วงผิงกลับเมืองมาเป็ข้าราชการดั่งเดิม จึงรีบร้อนเรียกพ่อแม่จากบ้านเกิดมาปักกิ่งหรอกนะ นี่้าทำอะไรกันแน่ อยากบังคับบ้านหวังให้คำสัญญาแก่เธอรึ?
หร่านซูอวี้ไม่สบอารมณ์นัก
คบหากันไม่ได้หมายความว่าคือการแต่งงาน ปัจจุบันบ้านหวังมีสถานะอะไร เจี้ยนหัวผู้เป็ลูกชายมีตัวเลือกมากมายหลายหลากเหลือเกิน จะไปดองกับพวกทำธุรกิจอิสระที่พื้นเพเป็เกษตรกรหรือ หร่านซูอวี้กลัวว่าคนอื่นจะหัวเราะจนฟันหลุด อาจครหาว่าบ้านหวังอยู่ในไร่นานเกินไป เปรอะเปื้อนกลิ่นดินโคลนที่ล้างไม่หมด ทั้งที่กลับเข้าเมืองแล้ว ยังคงอาลัยอาวรณ์ชีวิตชนบท ถึงได้เลือกลูกสะใภ้จากครอบครัวในชนบทด้วย!
ทำไมบิดามารดาของเซี่ยจื่ออวี้ถึงเข้าปักกิ่งมา หวังเจี้ยนหัวก็ไม่ทราบรายละเอียดแน่ชัดเช่นกัน
เขารู้เพียงแต่ว่าเซี่ยฉางเจิงประสบอุบัติเหตุ มือได้รับาเ็ เซี่ยจื่ออวี้เกรงว่าพวกเขาอยู่ที่บ้านเก่าจะไม่มีใครดูแล จึงรับมาอยู่ในปักกิ่งเสียเลย หวังเจี้ยนหัวเองก็รู้สึกละอายใจเล็กน้อย หวังก่วงผิงหวนคืนสู่การทำงาน หวังเจี้ยนหัวกลายเป็ลูกหลานข้าราชการอีกครั้ง มิตรสหายที่ขาดการติดต่อไปในอดีตเ่าั้กลับมาเยี่ยมเยียน หวังเจี้ยนหัววุ่นอยู่กับการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และไม่มีเวลาไปเยี่ยมเซี่ยฉางเจิงกับจางชุ่ย
แม้แต่ตัวเขาเองยังไม่ใส่ใจ มิน่าเล่าท่าทีของครอบครัวเขาก็ผิดจากเดิมไปเล็กน้อยเช่นกัน
เชิงอรรถ
[1]下蛊 วางกู่ คือ การทำพิธีทางไสยศาสตร์เพื่อทำให้เป้าหมายเชื่อฟังคำสั่งหรือเสียชีวิตกะทันหัน กู่เป็สัตว์มีพิษตัวสุดท้ายที่เหลือรอดจากการถูกจับใส่ลงในไหและปล่อยให้กินกันเอง มีความเชื่อว่ามันจะกลายเป็สัตว์ที่มีพิษร้ายที่สุด และถูกนำมาประกอบพิธีกรรมทางไสยศาสตร์