แม้หยวนจุนจะพยายามอดทน แต่ความเ็ปภายในที่เพิ่มขึ้นทำให้เขาต้องร้องะโออกมา ซึ่งเป็ความเ็ปที่เขาไม่เคยได้รับมาก่อน
เหมือนเข็มแหลมทิ่มแทงกระดูกของเขาไม่หยุด ชาติที่แล้วเขาพบเจออะไรมานับไม่ถ้วน แต่ก็ไม่เคยรู้สึกทรมานภายในเช่นนี้มาก่อน
เขาคิดไม่ออกเลยว่า เสี่ยวเมิ่งที่บ่มเพาะพลังยุทธ์แค่ขั้นหนึ่งจะใช้วิธีใดในการรวมเพลิงอัคคีกลืน์เข้าสู่ภายในร่างกาย หากตอนนั้นนางก็ได้รับความเ็ปเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นคงต้องยกย่องนางแล้วล่ะ!
“หยวนจุน เพลิงอัคคีกลืน์วงแรกถูกภายในเ้าดูดซับไปแล้ว แสดงว่าข้าเลือกถูกต้อง!”
เสี่ยวเมิ่งเม้มริมฝีปาก สองมือสั่นค่อยๆ คลายเข็มขัดที่เอวอย่างอ่อนโยน ชุดสีชมพูหลุดจากตัวลงสู่หินหนืดร้อนเบื้องล่าง ก่อนจะถูกไฟเผาไหม้จนไม่เหลือ
“เพลิงอัคคีกลืน์เป็พลังหยาง หนึ่งในอัคนีเก้าโชติที่โหดร้ายที่สุด หากเ้าไม่ใช้ร่างกายของข้าต้านทานพลังนั้น เ้าจะถูกไฟแผดเผาจนตาย แม้เ้าจะฝึกฝนอักษรลับเก้าตะวันแล้วก็ไม่ช่วยอะไร!”
หยวนจุนเบิกตาโพลงเมื่อเห็นเสี่ยวเมิ่งเปลือยเปล่าอยู่ตรงหน้า รูปร่างที่สมบูรณ์แบบนั้นทำให้เขารู้สึกตาพร่าหน้ามืด
“ที่เ้าว่าพลังหยางบริสุทธิ์ นั่นคือตัวเ้าอย่างนั้นหรือ? แต่เราทั้งสองเป็สหายกัน ข้าว่าการที่เ้ายอมเสียสละเพื่อข้าคงจะไม่ดีกระมัง?”
หลังจากหยวนจุนกล่าวออกไป ทุกอณูขุมขนในร่างกายเขาก็กลั่นตัวกลายเป็เือาบทั่วตัว ทำให้เขาเป็เหมือนมนุษย์เืทันที
เสี่ยวเมิ่งกัดริมฝีปากล่าง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดหยวนจุนถึงได้หัวรั้นเช่นนี้ นางจึงกล่าวไปว่า “หากข้าไม่ช่วยเ้า เ้าจะต้องตายนะ!”
“เหอะ เหอะ ช่างน่าขัน ข้าหยวนจุนเป็ถึงจักรพรรดิ ผู้ฟ้าดิน เคยพึ่งพาสตรีที่ใดกัน!?”
มือที่หยวนจุนกำลังแสดงปางมือสั่นจนถึงแขน แม้จะพูดเช่นนั้น แต่ในใจเขารู้ดี เพลิงอัคคีกลืน์ทรงพลังเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการ เป็ไปได้ยากที่จะกลั่นพลังรุนแรงนี้สำเร็จโดยใช้กำลังของตน
หากมิใช่เพราะฝึกฝนอักษรลับเก้าตะวัน และภายในเขาไม่มีเส้นปราณ เพียงเข้าใกล้เพลิงอัคคีกลืน์คงทำให้เขาตายไปแล้ว!
การที่เขาเลือกกลั่นเพลิงอัคคีกลืน์ เพราะเขาประเมินตนเองสูงเกินไป ทั้งที่ตอนนี้เขาบ่มเพาะพลังยุทธ์ถึงเพียงขั้นสามเท่านั้น!
หลังจากเสี่ยวเมิ่งได้ยินเขากล่าวปฏิเสธความหวังดีก็ตัวสั่น ความกังวลกลั่นออกมาเป็น้ำคลอแววตาคู่นั้น
“เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ”
เปลวไฟสีดำปรากฏออกมาจากรอยแยกบนแขนของหยวนจุน กล้ามเนื้อต้นแขนทั้งหมดถูกเผาจนควันขึ้น เผยให้เห็นกระดูกสีขาวภายใน
“ต่อให้ตายก็ไม่้าให้ข้าช่วยอย่างนั้นหรือ?”
เมื่อหยวนจุนได้ยินน้ำเสียงสงสัยแกมโมโหของเสี่ยวเมิ่ง เขาจึงฝืนยิ้มแล้วกล่าวออกไปว่า “ข้าเข้าใจความหวังดีของเ้า แต่ข้าหยวนจุนนั้นมีความแค้นไม่สิ้นสุด ไม่อยากมีความรู้สึกใดๆ ให้แก่สตรีอีก”
เมื่อเห็นหยวนจุนตั้งใจแน่วแน่ เสี่ยวเมิ่งจึงมองตนเองแล้วพึมพำอย่างประชดประชันว่า “รู้หรือไม่ว่ามีไม่กี่คนที่สามารถมาถึงที่นี่ได้ แต่เ้ากลับไม่ไยดี”
เสี่ยวเมิ่งเช็ดรอยเปียกชื้นที่หางตาแล้วกล่าวว่า “ในฐานะผู้เฝ้าสุสาน นี่เป็หน้าที่ของข้า! เ้าเพียงแค่ปราบเพลิงอัคคีกลืน์ให้สำเร็จก็พอ ข้ามิได้้าให้เ้ามารับผิดชอบข้า”
“แม่นางเสี่ยวเมิ่งอย่าเพิ่งบุ่มบ่าม หากเราทั้งสองไม่มีความรู้สึกให้แก่กัน ข้าคงไม่สามารถทำเื่เช่นนั้นกับเ้าได้!”
เมื่อเสี่ยวเมิ่งได้ฟังดังนั้นก็ใ ก่อนจะะโออกไปว่า “ใจเสาะ ลังเล เ้ายังเป็บุรุษอยู่หรือไม่!”
เมื่อเห็นหยวนจุนกำลังอ่อนแรงจากเพลิงอัคคีกลืน์ที่ทะลุิัทั่วร่างกาย เสี่ยวเมิ่งที่พยายามอดทนก็โถมเข้าใส่จนทำให้เขานอนลงบนพื้น
จากนั้นไม่นาน เปลวไฟที่ร้อนระอุในอากาศก็เปลี่ยนเป็อบอุ่น ราวกับความร้อนสูงนั้นจางหายไปแล้ว
เมื่อหยวนจุนลืมตาขึ้นอีกครั้ง เสี่ยวเมิ่งก็นำเสื้อคลุมยุทธ์ที่ขาดมาคลุมร่างกายแล้ว นางมองไปที่หินหนืดด้วยสายตาเหม่อลอย
“หึ” เสี่ยวเมิ่งตวัดสายตา ก่อนจะยกปากขึ้นและหันหน้าหนีจากหยวนจุน
เมื่อเห็นฉากที่น่าอายของคนทั้งสอง หยวนจุนจึงนำเสื้อคลุมขาดๆ ของสำนักิเจี้ยนออกมาจากแหวนมิติเพื่อสวม
ความร้อนในนี้มิได้สูงเท่าตอนแรกแล้ว ส่วนอากาศก็ไหลเวียนปลอดโปร่งขึ้นเช่นกัน จากนั้นเขาก็หลับตา ภายในถูกอักษรลับเก้าตะวันสกัดเค้าโครงตะวันทรงกลดวงที่หนึ่งออกมา กลางวงถูกเติมเต็มด้วยเพลิงอัคคีกลืน์
ท่ามกลางเปลวเพลิงสีดำที่กำลังแผดเผาอย่างสงบ ในอากาศปรากฏเงาัดำปั่นป่วนอยู่ภายในนั้นด้วย
เมื่อเห็นเช่นนั้น จิตใจของหยวนจุนก็เบิกบานในทันที เพราะรู้ว่าตนสามารถกลั่นต้นเพลิงอัคคีกลืน์ได้สำเร็จแล้ว
แม้ตะวันวงนี้จะมิได้เปลี่ยนปราณดาราในร่างกายเขาให้มีความร้อนสูงเท่ากับเพลิงอัคคีกลืน์ แต่ก็ถือเป็พลังอันร้ายกาจที่ถูกเขาซ่อนไว้
เมื่อหยวนจุนดูดซับปราณต้นเพลิงแล้ว ทำให้พลังยุทธ์ของเขารุดหน้าตามไปด้วย จากวงแหวนเล็กขั้นสามกลายเป็วงแหวนใหญ่ขั้นสี่โดยสมบูรณ์!
หากรวมพลังต้นเพลิงอัคคีกลืน์ เขาเชื่อว่าแม้แต่นักยุทธ์วงแหวนใหญ่ขั้นห้า ก็มิใช่คู่ต่อสู้ของเขาอีกต่อไป!
การเลื่อนขั้นเช่นนี้ แน่นอนว่าหาได้ยากยิ่ง! แม้ในระหว่างการปราบเพลิงอัคคีกลืน์ พลังโอสถที่ใช้สร้างความแข็งแรงที่สะสมอยู่ภายในมานานนับสิบปีจะหายไป ซึ่งถือเป็เื่ที่น่าเสียดายเล็กน้อย
หลังจากหยวนจุนกลับมาได้สติ เขาไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับเสี่ยวเมิ่งอย่างไร บรรยากาศระหว่างพวกเขาทั้งสองรู้สึกแปลกอีกครั้ง
“ในเมื่อมิได้เป็อะไรมาก เช่นนั้นก็ออกไปกันเถอะ” เสี่ยวเมิ่งยืนขึ้นแล้วกล่าวเสียงเรียบ นางคลุมร่างกายด้วยเสื้อคลุมยุทธ์สีดำพลางชำเลืองมองเขา
น้ำเสียงของนางสงบนิ่ง ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งสองคน
หยวนจุนเพียงพยักหน้าเบาๆ ในขณะที่เสี่ยวเมิ่งใช้พลังจิตสร้างสัญลักษณ์หกแบบ เมื่อสัญลักษณ์หมุนเวียน ทั้งสองก็ถูกส่งออกไปนอกหินจารึกทรงหกเหลี่ยม
แสงจ้าทั้งหมดบนหินจารึกค่อยๆ หายไป จากนั้นครู่หนึ่งก็สลายเป็หมอกควัน
“แม่นางเสี่ยวเมิ่ง หากผู้ที่อยู่ข้างในไม่ใช่ข้า เ้าจะทำหน้าที่ของผู้เฝ้ารักษาสุสานต่อไปหรือไม่?”
เสี่ยวเมิ่งนิ่งไปครู่หนึ่ง นางมิได้ตอบไปโดยตรง แต่พึมพำว่า "ใครจะไปรู้ล่ะ..."
ทั้งสองก้าวออกจากูเาเฟิงเหยียน
หยวนจุนสูดอากาศบริสุทธิ์จากูเาและลำธารอย่างเต็มปอด เหมือนดั่งได้เกิดใหม่อีกครั้ง เขากางแขนออกและััปราณดาราที่อยู่ในอากาศ ความรู้สึกที่ตอบสนองต่อปราณดารานั้นชัดเจนกว่าแต่ก่อน
“เราใช้เวลาอยู่ที่นี่มาอย่างน้อยหนึ่งเดือน ท่านปู่คงเป็ห่วงแย่แล้ว อีกทั้งข้ายังรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่างที่ไม่ดีด้วย”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้