ณ ลานหลังเขาตระกูลเสิ่น เสิ่นเสวียนนั่งอยู่ภายในลาน
ฝนกำลังตกปรอยๆ เขากึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ที่ม้าหิน ให้สายฝนไหลผ่านร่างตนเองไป
ตอนนี้อยู่ใน่กลางฤดูหนาว น้ำฝนหนาวเย็นมาก หากอ้างอิงตาม่เวลา อีกไม่นานหิมะแรกของปีก็จะตก
สายฝนเย็นเฉียบตกกระทบใบหน้า เขากำลังปล่อยความคิดให้ว่างเปล่า พยายามซึมซับ่เวลาเงียบสงบนี้เอาไว้ ทำให้ตนเองหลอมรวมเข้ากับธรรมชาติ กลายเป็หนึ่งเดียวกับโลกใบนี้
วิถีธรรมชาติ
นี่คือสิ่งที่อาจารย์ถ่ายทอดให้แก่เขาโดยตรงเมื่อนานมาแล้ว อาจารย์ของเขาหลี่ฉุนเฟิงคือปรมาจารย์ผู้หนึ่ง ใช้เต๋าศึกษาฟ้าดินอย่างถ่องแท้ในโลกมนุษย์ ร่างเนื้อกลายเป็เซียน ร่วมมือกับปรมาจารย์หยวนเทียนกัง[1] สร้าง ‘ภาพดันหลัง’[2] ขึ้นมา เพื่อแสดงให้เห็นถึงอนาคตไปจนถึงสองพันปีข้างหน้า
ทว่ากระทั่งถึงทุกวันนี้ เขายังศึกษาวิถีธรรมชาติได้เพียงผิวเผินเท่านั้น มิอาจเข้าใจส่วนที่ลึกลงไปได้เลย
การปล่อยวางจิตใจเช่นนี้ คิดแล้วเหมือนจิติญญาหลุดออกจากร่างล่องลอยไปในอากาศ มองดูตนเองที่นอนอย่างสงบอยู่ภายในลาน ทำให้เสิ่นเสวียนรู้สึกเหลือเชื่อ
“ถอดิญญาได้รวดเร็วขนาดนี้เลยหรือ”
เขากล่าวพึมพำ ‘การถอดิญญา’ คือความสามารถของขั้นหยวนก่อกำเนิด คิดไม่ถึงว่าเขาจะทำได้รวดเร็วถึงขนาดนี้ ทว่าเขาในตอนนี้แม้จะถอดิญญาออกมาได้แต่ก็ไม่มีพลังโจมตี ยังต่างจากขั้นหยวนก่อกำเนิดอยู่
ฝนกำลังตก ผู้คนในตระกูลกำลังวุ่นวายอยู่กับการเก็บเสื้อผ้า เป็บรรยากาศของการร่วมแรงร่วมใจ เมื่อเห็นว่าร่างกายยังคงสบายดี จิติญญาของเขาจึงล่องลอยออกไป จิติญญาล่องลอยออกไปได้รวดเร็วยิ่งกว่าร่างเนื้อมาก ที่ปากปล่องูเาไฟก่อนหน้านี้ต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งวันจึงจะเดินทางไปถึง หากเป็ร่างจิติญญาเพียงสองชั่วยามก็ไปถึงแล้ว
แต่เขาล่องลอยออกไปด้านนอกเพียงห้าสิบลี้ก็รีบกลับแล้ว
หนึ่ง ร่างจิติญญาของเขาประกอบด้วยจิติญญาเพียงอย่างเดียว ไม่มีพลังโจมตีและป้องกันตัว หากโดนจอมยุทธ์ชั่วร้ายจับไปหลอมรวมจะเป็เื่ใหญ่
สอง ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้ร่างนี้มา หากโดนทำลายไปแล้วการจะหาใหม่ต้องยากมากแน่
เมื่อจิติญญากลับเข้าร่าง เสิ่นเสวียนจึงลืมตาขึ้น
“เอ๋? หิมะตกแล้ว”
เขายื่นมือออกไป หิมะตกลงบนฝ่ามือของเขาแล้วค่อยๆ หลอมละลาย สายฝนก่อนหน้านี้กลายเป็หิมะไปแล้ว ความบริสุทธิ์นั้นทำให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลายลงไปมากเลยทีเดียว
ธรรมชาติฟ้าดิน สรรพสิ่งล้วนเป็ไป การเกิดการดับ สรรพสิ่งเปลี่ยนแปลง
“ฤดูกาลเปลี่ยนแปลง เหตุและผลหวนคืน ข้าเข้าใจแล้ว”
เสิ่นเสวียนกล่าวพึมพำด้วยสีหน้าดีใจ จากนั้นเขานอนลงบนม้านั่ง หลับตาลงเพื่อทำสมาธิ
วิถีธรรมชาติเป็แิที่ค่อนข้างใหญ่ เขาไปไม่ถึงระดับเดียวกับหลี่ฉุนเฟิง แต่เขามีวิถีของตนเอง ตอนนี้วิถีของเขากำลังติดอยู่ที่คอขวด จึงยืมวิธีการศึกษาวิถีธรรมชาติมาเพื่อทำให้เขาเลื่อนขั้นต่อไปได้
เขานอนอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย แต่พลังของเขากลับเริ่มควบแน่นและกระจายตัวออกไปราวกับวังวน
ในพริบตาที่พลังควบแน่นจนทำให้มิติโดยรอบบิดเบี้ยวไป พริบตาต่อมามันก็กระจายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เหมือนกับการหายใจ ระหว่างหายใจเข้าและออกทำให้พลังภายในร่างรุนแรงขึ้นอย่างทวีคูณ
ในชั่วพริบตาหนึ่ง ร่างของเสิ่นเสวียนเหมือนไปถึงจุดวิกฤติ พลังมหาศาลไหลทะลักออกมาภายนอกราวกับเขื่อนแตก
ขั้นแก่นทองคำระดับกลาง
พลังยุทธ์ของเขาทะลวงผ่านคอขวดไปถึงขั้นแก่นทองคำระดับกลางได้แล้ว
“อาจารย์ คิดไม่ถึงเลยว่าท่านยังช่วยข้าได้แม้ในโลกใหม่แห่งนี้”
เสิ่นเสวียนลืมตาขึ้น รู้สึกประทับใจ
แม้เขาจะอยู่ในขั้นแก่นทองคำระดับต้นไม่นานนัก แต่เขาสะสมพลังมานานมากแล้ว ตอนนี้เขาบำเพ็ญเพียรถึงขั้นแก่นทองคำระดับกลางแล้ว เข้าใกล้ขั้นหยวนก่อกำเนิดไปอีกหนึ่งก้าว
“เ้าหิมะ ข้าควรขอบคุณเ้าจริงๆ จบภารกิจวันนี้แล้ว ไปนอนดีกว่า”
เสิ่นเสวียนลุกขึ้นยืน ที่พื้นปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลนแล้ว เขาเดินไปบนหิมะทิ้งรอยเท้าจางๆ ไว้เื้ั
เมื่อเดินเข้าไปในเรือนไม้แล้ว เขาหันกลับมามองหิมะที่ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ อีกครั้ง แล้วปิดประตูลง
คืนนี้เขาไม่คิดอะไรอีกเลย เพียงแค่กลับเข้าไปในเรือน ดึงผ้าห่มออก นอนห่มผ้าอยู่บนเตียงราวกับคนธรรมดา มองดูเกล็ดหิมะที่ตกหนักขึ้นผ่านหน้าต่างอย่างสงบ
คืนนี้ทั่วทั้งเมืองอวี่ฮว่าเข้าสู่่เวลาที่เงียบสงบ เพื่อต้อนรับหิมะแรกของปีนี้
ค่ำคืนอันเงียบสงบผ่านไป
รุ่งเช้าวันต่อมา เสิ่นเสวียนตื่นจากฝันหันมองไปนอกหน้าต่าง
ตอนนี้ข้างนอกหิมะหยุดตกแล้ว มีเพียงหิมะหนาๆ ปกคลุมไปทั่ว
เมื่อคืนเขานอนหลับสบายมาก ละทิ้งความแค้นและตัวตนไป นอนหลับไปเยี่ยงคนธรรมดา รู้สึกพึงพอใจมาก ตอนนี้เขาจึงพบว่าหลังจากย่างเท้าเข้าสู่การบำเพ็ญเพียรแล้ว แม้แต่การนอนหลับที่ดียังเป็เื่ล้ำค่า
เสิ่นเสวียนลุกจากเตียง พับผ้าห่ม แล้วเขาก็เดินไปเปิดประตู ภาพที่เห็นตรงหน้าเป็สีขาวโพลน
ทั่วทั้งตระกูลเสิ่น หรือกระทั่งทั่วทั้งโลก เหมือนโดนชโลมไปด้วยสีเงินราวกับความฝัน
เสิ่นเสวียนเดินออกจากเรือน เขาเหยียบลงบนหิมะเสียงดังสวบสาบ
“ท่านพี่”
ขณะนั้น เสิ่นเสี่ยวเม่ยะโโลดเต้นออกมาจากลานข้างๆ
เรือนของทั้งสองคนอยู่ใกล้กัน เมื่อวานหลังจากช่วยเสิ่นเสี่ยวเม่ยฟื้นฟูร่างกายแล้ว นางก็กลับเข้าไปในห้องเพื่อฝึกฝนให้คุ้นชินกับการฝึกตน เมื่อเช้านางฝึกตนเสร็จคิดไม่ถึงเลยว่าหิมะจะตกมาทั้งคืน นางจำได้ว่าตอนยังเด็กเคยลากเสิ่นเสวียนมาปาหิมะเล่นกัน
“เป็อย่างไรบ้าง”
เสิ่นเสวียนถามเสิ่นเสี่ยวเม่ย
“คิกๆ ข้าคุ้นชินแล้ว ถ้าไม่เชื่อก็ดูนี่”
เสิ่นเสี่ยวเม่ยหัวเราะคิกคัก ใบหน้าที่มีแต่ความเศร้าก่อนหน้านี้ ในที่สุดนางก็ได้รับความสุขอย่างที่่อายุของนางควรมี จากนั้นนางก็ยกมือขึ้น พลันมีเปลวเพลิงกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นใจกลางฝ่ามือ
เปลวเพลิงกลุ่มนี้มีสีขาวแซมแดง แสงที่ทอประกายออกมาทำให้รู้ว่าเปลวเพลิงนี้ร้อนแรงกว่าเปลวเพลิงทั่วไปมาก
“ท่านพี่ดูสิ”
เสิ่นเสี่ยวเม่ยยิ้มอย่างลึกลับ ใจกลางฝ่ามือมีพลังเคลื่อนไหวเล็กน้อย เห็นเพียงเปลวเพลิงสีขาวแซมแดงกลุ่มนั้นเริ่มเปลี่ยนสีไปกลายเป็สีเขียวเข้มในพริบตา
“ปรับเปลี่ยนเพลิงิญญาได้อย่างอิสระ?”
เสิ่นเสวียนกล่าวอย่างประหลาดใจ เขาให้เสิ่นเสี่ยวเม่ยฝึกฝนเพลิงิญญา แต่คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะมีพลังปรับเปลี่ยนเพลิงิญญาได้รวดเร็วเช่นนี้ และแม้ความร้อนแรงของเพลิงิญญายังอยู่ในระดับต้น แต่ถ้าเป็เช่นนี้ต่อไป คงไม่ใช่เื่ยากหากจะแสดงอานุภาพที่แท้จริงของเพลิงิญญาออกมา
“คิกๆ ขอบคุณท่านพี่”
เสิ่นเสี่ยวเม่ยสลายเพลิงิญญาไป แล้วกล่าวขอบคุณเสิ่นเสวียน
“ไม่ต้องขอบคุณพี่หรอก นี่คือความพยายามของเ้าเอง”
เสิ่นเสวียนยิ้มอย่างอ่อนโยน จากนั้นจึงกล่าวกับเสิ่นเสี่ยวเม่ย “เสี่ยวเม่ย หลังจากนี้เ้าวางแผนอย่างไรต่อไป”
“วางแผน? ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลย”
เสิ่นเสี่ยวเม่ยส่ายหัว นางไม่เคยคิดวางแผนเกี่ยวกับอนาคตมาก่อน นางเกิดและใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ตอนนี้นางเพิ่งอายุสิบเอ็ดปี บวกกับร่างกายที่อ่อนแอเจ็บป่วยง่าย สำหรับนางแล้วเมืองอวี่ฮว่าคือโลกที่ใหญ่ที่สุดของนาง
“โลกนี้เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ เก็บตัวอยู่แต่ที่นี่จะทำให้ชีวิตขาดสีสันไปมาก”
“แต่ข้าควรไปที่ไหน”
เสิ่นเสี่ยวเม่ยถามอย่างไร้เดียงสา
“ไปที่สถาบัน เ้าต้องเข้าฝึกฝนในสถาบัน”
เสิ่นเสวียนกล่าว ในความทรงจำที่เคล้ากันของเขาสถาบันคือตัวเลือกที่ไม่เลว โดยเฉพาะพวกเขาเพิ่งมีอายุสิบกว่าปีเท่านั้น สามารถเข้าสู่ทวีปนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสถาบันที่ยิ่งใหญ่หลายแห่งไม่ได้ด้อยไปกว่าสำนักต่างๆ เลย ก่อนหน้านี้ซือหม่าหว่านเอ๋อร์นำสิทธิ์เข้าร่วมสถาบันชิงหยุนมา นางสามารถไปได้ทุกที่ในเมืองอวี่ฮว่าโดยไม่มีใครขัดขวาง แสดงให้เห็นถึงอำนาจของสถาบัน
“สถาบัน...ท่านพี่คิดจะไปสถาบันไหนหรือ” เสิ่นเสี่ยวเม่ยถามอย่างสงสัย ก่อนหน้านี้นางไม่กล้าคิดมาก่อน แต่ตอนนี้นางมีสิทธิ์ที่จะคิดแล้ว
“ยังไม่รู้เลย แต่ข้าเคยได้ยินมาว่าทางทิศตะวันตกของทวีปมีสถาบันิญญาอยู่ ทั้งยังเยี่ยมมากอีกด้วย”
เสิ่นเสวียนกล่าวพลางยิ้มมุมปาก
..........................................................
[1] หยวนเทียนกัง (袁天罡) โหรผู้เลื่องชื่อในยุคต้นราชวงศ์ถัง ผู้เคยทำนายดวงชะตาของพระนางบูเช็กเทียนั้แ่วัยเยาว์ โหรผู้เลื่องชื่ออีกท่านหนึ่งในยุคเดียวกันคือ หลี่ฉุนเฟิง (李淳风) ทั้งสองร่วมกันเขียนคัมภีร์ทำนายอนาคตของราชวงศ์ ชื่อว่า ‘ภาพดันหลัง’
[2] ภาพดันหลัง (推背图) คือคัมภีร์ทำนายอนาคต ชื่อของคัมภีร์ได้มาจากภาพทำนายภาพสุดท้ายที่หยวนเทียนกังดันหลังหลี่ฉุนเฟิง