อาชาจำนวนหนึ่งตะบึงมาอย่างเร่งร้อน ก่อนจะหยุดที่หน้าขบวนรถไม่ไกลนัก
บุรุษซึ่งเป็หัวหน้ารูปร่างค่อนไปทางผอม หน้าขาวละมุนคล้ายสตรี หางตาและริมฝีปากเจือไปด้วยรอยยิ้มมิจาง อายุประมาณสี่สิบเห็นจะได้
พอเห็นเหลียนเซวียนนั่งอยู่บนหลังอาชาแต่ไกล ก็รีบพลิกกายลงจากหลังม้าแล้วก้าวเข้าหาทันที
"จั่วชิงถวายบังคมองค์ชายเจ็ด" ผู้มานำองครักษ์ติดตามเข้ามาคุกเข่าทำความเคารพ
ขบวนรถซึ่งกำลังเดินทางค่อยๆ หยุดลง
เหลียนเซวียนขี่อยู่บนหลังของเ้าท่าเสวี่ยอาชาสูงใหญ่สง่างาม ดวงตาหลุบลงมา สายตาเผยแววเย็นะเื
"จั่วชิง เ้าตามมาได้อย่างไร"
"องค์ชายเจ็ด พอฝ่าาทรงทราบว่าพระองค์ปลอดภัยไร้กังวล ก็ดีพระทัยเหลือล้น รับสั่งให้บ่าวเดินทางมารับเสด็จพ่ะย่ะค่ะ" จั่วชิงยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้นแข็งๆ ไม่กล้าขยับตามอำเภอใจ แม้ว่าจะเป็คนจากสำนักข้าราชบริพารฝ่ายในตำหนักหน้าซึ่งได้รับพระบัญชาให้มาถ่ายทอดพระบรมราชโองการก็ตาม
ชื่อเสียงขององค์ชายเจ็ดในเมืองหลวง หากเขาถูกเรียกว่าเป็ดาวาอันดับสอง ก็ไม่มีใครกล้าเป็อันดับหนึ่ง
แม้แต่จอมเผด็จการ ชอบวางอำนาจบาตรใหม่เสมอมาอย่างลี่อ๋อง ก็ไม่เคยหาประโยชน์อันใดได้จากองค์ชายเจ็ดผู้เย่อหยิ่งและเ็า
ยามองค์ชายเจ็ดรักษาการณ์ชายแดนสามปี นอกจากสร้างความมั่นคงให้กับชายแดน ยังปราบราชวงศ์ใหม่ของซีฉีที่ไม่รู้จักสงบเสงี่ยมเจียมตนจนราบคาบ ชนะาถึงห้าครั้งติดกัน กลับมาด้วยชัยชนะอันยิ่งใหญ่ ชื่อเสียงเกรียงไกรไปทั่วแผ่นดิน
ฝ่าาจึงทั้งโปรดปรานและหวาดระแวงพระโอรสผู้สร้างคุณูปการอย่างใหญ่หลวง จนมีผลงานเกินหน้าเกินตาผู้เป็นายเหนือหัว
หลังจากเรียกตัวกลับเมืองหลวง ฝ่าาก็ยกย่องสรรเสริญองค์ชายเจ็ดเป็การใหญ่ ขณะเตรียมจะหาข้ออ้างพระราชทานสมรสให้เพื่อรั้งตัวไว้ในเมืองหลวง เขากลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
คนที่ส่งออกไปค้นหาท้ายที่สุดล้วนคว้าน้ำเหลว องค์ชายเจ็ดเป็ดั่งหินจมสู่ก้นมหาสมุทร เงียบหายไปปีกว่าแล้ว
"เสด็จพ่อทรงทราบเบาะแสของข้าได้อย่างไร" เหลียนเซวียนไม่บอกให้พวกเขาลุกขึ้น แต่กลับถามด้วยน้ำเสียงเ็า
สตรีผู้นั้นไม่มีทางบอกเขาอย่างแน่นอน
จั่วชิงตัวสั่น กลืนน้ำลายอย่างฝืดคอก่อนตอบกลับไป "องค์ชายเจ็ด เื่นี้... บ่าวไม่ทราบจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ"
ดวงตาสีนิลของเหลียนเซวียนซึ่งคล้ายมีน้ำแข็งกับอัคคีปะทะกันอยู่ จดจ้องจั่วชิงที่โขกศีรษะกับพื้นอยู่นาน ถึงเอ่ยปากเรียบๆ
"ลุกขึ้นเถอะ เสด็จพ่อทรงมีพระราชโองการมารึ"
พวกจั่วชิงถึงได้ลุกขึ้น แผ่นหลังชุ่มไปด้วยเหงื่อ
"ทูลองค์ชายเจ็ด ฝ่าาทรงมีพระราชดำรัสให้พระองค์กลับเมืองหลวงวันนี้ เพื่อให้ถึงเมืองหลวงก่อนวันคล้ายวันพระราชสมภพของหวงกุ้ยเฟยพ่ะย่ะค่ะ"
"ก่อนวันคล้ายวันพระราชสมภพ?" มีเงามืดอยู่ภายใต้ดวงตาหลุบต่ำลงของเหลียนเซวียน
วันนี้วันที่หกเดือนหกแล้ว
"พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าาทรงอยากให้พระองค์กลับไปถวายพระพรให้หวงกุ้ยเฟย" จั่วชิงปากคอสั่นพูดจนจบ แรงกดดันจากองค์ชายเจ็ดทำให้เขาเกือบพูดไม่ออก
วันคล้ายวันพระราชสมภพของหวงกุ้ยเฟยคือวันที่สิบเดือนหก เหลืออีกแค่ไม่กี่วัน
ต้องเดินทางทั้งวันทั้งคืนถึงจะกลับไปทัน
"เสี่ยวชี เช่นนั้นเ้าก็ต้องเดินทางล่วงหน้าไปก่อนล่ะสิ?"
ผูหยางชิงหลันควบม้าเข้ามา สีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม หากเป็เช่นนี้ เขาก็ต้องเดินทางล่วงหน้าไปก่อนเพียงลำพัง
"คารวะคุณชายผูหยาง" จั่วชิงเห็นผู้มาก็ทำความเคารพอย่างนอบน้อม
ศิษย์เอกสายตรงของหมอเทวดาเผยจื้อหย่วน อดีตซื่อจื่อจวนหนิงปั๋วโหวผู้รุ่งโรจน์สูงสุดของตระกูลผูหยาง
และเป็ศิษย์พี่ขององค์ชายเจ็ด ทักษะการแพทย์กล่าวได้ว่าเหนือชั้นยิ่งกว่าเผยจื้อหย่วนผู้เป็อาจารย์ แม้เหล่าผู้สูงศักดิ์นับไม่ถ้วนจะยกเงินทองมากองให้ ก็ยังไม่อาจเชิญบุคคลระดับเทพผู้นี้ได้
แม้แต่ฝ่าาจะเรียกตัวมาเข้าเฝ้า ก็ยังไม่แน่ว่าเขาจะมา
องค์ชายเจ็ดไม่เพียงแต่มีความสามารถที่แท้จริง ยังมีคนระดับนี้ให้ความคุ้มครอง ไม่แปลกที่จะถูกขั้วอำนาจแต่ละฝ่ายในราชสำนักหวาดระแวง
"จั่วกงกง ไม่พบกันนาน ยังคงมีสง่าราศีเหมือนเดิมเลยนะ" ผูหยางชิงหลันพลิกกายลงจากหลังอาชา ทักทายเขาด้วยน้ำเสียงเอ้อระเหย
"คุณชายผูหยางล้อเล่นแล้ว ข้าน้อยทั้งหน้าแก่ผิวเหี่ยว ไหนเลยจะมีหล่อเหลามีเสน่ห์เหมือนเช่นท่าน"
จั่วชิงยิ้มสอพลอ รอยย่นที่หางตาแผ่ขยายไปทั่ว
ทั้งสองคุยกันตามมารยาทสองสามประโยค เหลียนเซวียนบนหลังอาชาสีหน้าอึมครึมแทบจะคั้นออกมาเป็น้ำอยู่รอมร่อ
ให้กลับไปอวยพรวันเกิดสตรีผู้นั้น? ประเสริฐ เขาก็อยากเห็นอยู่เหมือนกัน ยามที่นางเห็นตนเอง จะทำสีหน้าแบบไหน
ดวงเนตรดุดันกวาดมองไปที่จั่วชิง
จั่วชิงตัวสั่นขึ้นมาทันใด รีบเก็บรอยยิ้มเจื่อนๆ หันไปหาเขา
"พวกเ้ารออยู่ตรงนี้ก่อน"
เขาฝากถ้อยคำไว้ประโยคหนึ่งก่อนกระตุกสายบังเหียน บังคับให้ท่าเสวี่ยหันหัวกลับวิ่งไปด้านหลัง
จั่วชิงมุมปากกระตุก แหงนหน้ามองดวงตะวันเจิดจ้าเหนือท้องนภา รู้สึกวิงเวียนคล้ายจะเป็ลม คิดจะหาที่หลบแดด แต่น่าเสียดายเท้าเ้ากรรมกลับเหมือนถูกตะปูตอกตรึงไว้ตรงนั้น ไม่กล้าขยับส่งเดช
แววตาขององค์ชายเจ็ดเยียบเย็นปานน้ำค้างเหมันต์แทบจะแช่ให้คนแข็งตาย เขาไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่ง
ผูหยางชิงหลันมองอีกฝ่ายอย่างนึกสนุก เดินเข้าไปหา "จั่วกงกง ่นี้ฝ่าาทรงเป็อย่างไร พระพลานามัยแข็งแรงดีหรือไม่ พระอารมณ์เป็อย่างไรบ้าง"
เขาไม่ได้พบอู่เซวียนตี้มาสามสี่ปีแล้ว
อู่เซวียนตี้เป็คนดื้อดึงชอบทำอะไรตามใจตนเอง นิยมความป่าเถื่อนรุนแรงและการา ทั้งยังหลงใหลโฉมสะคราญเป็ที่สุด สุขภาพตอนนี้ก็น่าจะถดถอยลงทุกวัน มุมปากของผูหยางชิงหลันประดับรอยยิ้มบางๆ
ยามอาจารย์ยังมีชีวิตอยู่ เคยบอกเขาว่า อู่เซวียนตี้มัวเมาในตัณหาราคะมาชั่วชีวิต สุรานารีไม่เคยขาด ตอนเป็หนุ่มก็ชอบออกรบ ไม่รู้จักการควบคุมตนเอง ยาวเยาว์วัยใช้ชีวิตสิ้นเปลือง หลายปีผ่านไปร่างกายก็ทรุดโทรมลงทีละน้อย
ปีหน้าอู่เซวียนตี้เพิ่งจะครบห้าสิบชันษา ทว่าั้แ่สิบกว่าปีก่อน อู่เซวียนตี้ซึ่งยังอยู่ใน่อายุที่มีกำลังวังชาเต็มเปี่ยมกลับไม่มีทายาทเพิ่มขึ้นอีกเลย
บัดนี้องค์ชายเก้าซึ่งเยาว์วัยที่สุดก็อายุสิบหกสิบเจ็ดปีแล้ว
องค์ชายองค์หญิงทั้งหมดของแคว้นฉีล้วนถือกำเนิดก่อนที่อู่เซวียนตี้จะอายุสามสิบห้าสามสิบหกชันษา
หลังจากนั้นอัตราการถือกำเนิดของเชื้อพระวงศ์ที่เคยเฟื่องฟูก็ลดน้อยถอยลงอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นหนึ่งถึงสองปีก็ตกต่ำถึงขั้นสุด และไม่เคยมีทารกถือกำเนิดใหม่ในวังหลวงอีกเลย
อู่เซวียนตี้ผู้มักมากในกามมากว่าครึ่งชีวิตจนร่างกายทรุดโทรมกลับยังดื้อด้านไม่ยอมเปลี่ยนนิสัย พึ่งแต่ยาลูกกลอนกับยาบำรุง แล้วสำเริงสำราญกับสุรานารีต่อไป
ครั้งสุดท้ายที่ผูหยางชิงหลันได้เข้าเฝ้า สีพระพักตร์ของอู่เซวียนตี้ก็ซูบซีดไปมาก
"ขอบคุณคุณชายผูหยางที่ยังรำลึกถึง พระพลานามัยของฝ่าายังนับว่าแข็งแรงดี เพียงตลอด่หนึ่งปีมานี้แต่ทรงห่วงใยแต่องค์ชายเจ็ด พระอารมณ์จึงไม่สู้ดีนัก"
ข้าราชบริพารฝ่ายในที่รับใช้ใกล้ชิดล้วนมีแต่คนเฉียบคม
ชั่วชิงจะเล่าสถานการณ์ของอู่เซวียนตี้ตามข้อเท็จจริงได้อย่างไร แน่นอนว่าต้องเลี่ยงเปลี่ยนหนักเป็เบา เลือกเอ่ยเฉพาะที่พูดได้เท่านั้น"
ผูหยางชิงหลันย่อมไม่ถือสา หลังกลับไปถึงเมืองหลวง อย่างน้อยก็ต้องเข้าวังไปเฝ้าต่อหน้าพระพักตร์
อู่เซวียนตี้ผู้นี้เป็คนเห่อเหิมทะนงตน มากด้วยจิตหวาดระแวง ต่อให้สุขภาพไม่ดีอย่างไร ก็ไม่ให้ขุนนางในราชสำนักรับรู้
แต่เขาเป็คนให้ความสำคัญกับคุณธรรมน้ำใจ สามารถแยกแยะถูกผิดดีชั่วได้เป็อย่างดี
ดังนั้นจึงนับว่าเป็กษัตริย์ที่ไม่เลวในสายตาของเหล่าพสกนิกรแคว้นฉี ตลอดยี่สิบกว่าปีที่เขาขึ้นครองราชย์ แว่นแคว้นสงบมั่นคง เศรษฐกิจเฟื่องฟู แม้ว่าชายแดนจะมีกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่ไม่เคยะเืมาถึงเมืองหลวง
แน่นอนว่าเื่ที่เขามักมากในตัณหาราคะ ใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือยก็ถูกผู้คนติฉินนินทาเช่นกัน
สรุปแล้วอู่เซวียนตี้ผู้นี้ก็ยังเป็กษัตริย์ที่มีผลงานมากกว่าข้อเสีย
ผูหยางชิงหลันก็ปรารถนาให้พระองค์มีชีวิตยืนยาวอีกหน่อย มิเช่นนั้นคงเมืองหลวงคงต้องเกิดการนองเืเพราะไม่มีการแต่งตั้งรัชทายาทเป็แน่
