พอส่งซูเหยียนกับตั้นไถเหยาที่เดินหาวหวอดๆกลับไปแล้วข้าก็กลับมาดูตำราวิชาลมหายใจัอีกครั้งแล้วก็เริ่มฝึกฝนในสิ่งที่พี่เสวียนยินเขียนเอาไว้ต่อพอฝึกกระบวนท่าัพันศิลาจนเชี่ยวชาญ ยืนนิ่งไม่ได้อยู่ในท่าฝึกก็จะยังปรากฏพลังที่โชกโชนลอยวนอยู่รอบตัวถึงแม้วิชาลมหายใจัจะเป็เพียงวิชาพื้นฐานของการฝึกวรยุทธ์และไม่เป็สองรองใครในบรรดาวิชาอื่นๆ อย่างแน่นอนยิ่งถ้าได้ฝึกฝนจนเข้าถึงแก่นแท้อีกขั้นหนึ่งแล้ว พลังมหาศาลก็จะบังเกิดขึ้นไม่ยาก
การฝึกฝนครั้งนี้ข้าไม่ได้กินโสมโลหิตเหมือนครั้งก่อนเพราะอยากเก็บไว้ใช้ในยามคับขันแทนหากเมื่อไรที่พลังลมปราณเหลือน้อยลงก็เลือกที่จะกินปะการังเืแทนเมื่อเอาเข้าปากและละลายหายไปแล้ว ฤทธิ์ยาก็เริ่มกระจายไปยังอวัยวะภายในส่วนต่างๆรวมถึงแขนและขาทั้งสองข้างทันที เข้าไปเพิ่มพลังให้แก่อวัยวะภายในและแขนขาทั้งสองข้างทันที
เพียงชั่วครู่เม็ดเหงื่อก็เริ่มผุดขึ้นตามร่างกายและระเหยกลายเป็ไอลอยคลุ้งไปในอากาศพลังจากส่วนลึกของผืนธรณีกำลังแผ่ซ่านผ่านฝ่าเท้าทั้งสองข้างแสงสีเขียวมรกตที่ล่องลอยอยู่เหนือแขนทั้งสองข้างแฝงไปด้วยพลังลมปราณที่แผ่ออกมาแล้วดูดเอาพลังิญญาคืนกลับไปยังส่วนลึกของร่างกายวนเวียนอยู่อย่างนั้นราวกับลมหายใจเข้าของัขณะกำลังตื่น
ทั้งที่ตกอยู่ในภวังค์แต่เท้าข้างที่ค้ำยันร่างอยู่กับพื้นกลับไม่รู้สึกเหนื่อยล้าแต่อย่างใดกลับกันส่วนเส้นเอ็นและกระดูกกลับรู้สึกชาขึ้นมาแทน
การฝึกฝนเส้นเอ็น!...จะต้องเป็ความรู้สึกระดับเริ่มต้นของการบำเพ็ญขั้นหลอมปราณเพื่อทดสอบความแข็งแรงของเส้นเอ็นเป็แน่หลังจากเข้าสู่การบำเพ็ญขั้นเบิกิญญา อยู่ๆก็บรรลุขั้นสมบูรณ์อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวซึ่งขั้นการหลอมปราณถือเป็ขั้นที่ผู้ฝึกฝนทุกคนจะต้องเคยผ่านขั้นนี้มาแล้วทั้งนั้นโดยขั้นนี้จะเป็การหลอมรวมิั กล้ามเนื้อ เื เส้นเอ็น กระดูกและอวัยวะภายในทั้งหมดเพื่อให้เปล่าผู้ฝึกฝนสามารถรองรับพลังิญญาที่เพิ่มขึ้นตามระดับของวิชากระทั่งเข้าถึงขั้นสูงสุดได้
ส่วนวิชาลมหายใจัก็เป็วิชาพื้นฐานของระดับสูงเช่นกันและเมื่อฝึกฝนจนเชี่ยวชาญขึ้นแล้วก็จะช่วยให้การบำเพ็ญในขั้นต่างๆของข้าบรรลุได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องกลับบำเพ็ญซ้ำให้เสียเวลา
เมื่อเวลาผ่านไปพักใหญ่ไอพลังที่แผ่ออกมารอบตัวเริ่มก่อตัวเป็ชั้นและหนาขึ้นเรื่อนๆเช่นเดียวกับพลังิญญาภายในที่เพิ่มพูนและไหลเวียนไปทั่วร่าง กระทั่งกินเวลาเนิ่นนานจนฟ้ามืดลงทุกส่วนของร่างกายถูกปกคลุมด้วยกลุ่มไปหมอก เบื้องหน้ามีแสงสว่างปรากฏขึ้นภายใต้แสงนั้นบังเกิดเป็ันอนขดตัวในบ่อน้ำพุ มันหายใจอย่างช้าๆ แต่น่าเกรงขามแม้จะเห็นไม่ชัดเพราะหมอกที่หนาเกินไป แต่ข้ารับรู้ได้ถึงขุมพลังที่รอคอยการปะทุขึ้นสักวันหนึ่ง
และนี่คือัหมอบธารา!
ข้าลืมตาอย่างตกตะลึงเมื่อมองเห็นมันในตำราวิชาลมหายใจัที่พี่เสวียนยินได้เขียนเอาไว้ก็คือเมื่อเห็นภาพัที่กำลังนอนขดอยู่ในบ่อน้ำพุนั่นแสดงว่าการฝึกฝนขั้นที่สองของวิชาลมหายใจันั้นใกล้ถึงระดับสมบูรณ์แล้วและในขั้นตอนนี้จะเร่งรีบไม่ได้แต่ในทางกลับกันจะต้องปล่อยวางทั้งร่างกายและจิตใจเพื่อให้จิตเข้าผสานกับวิชาจนกระทั่งรับรู้ถึงพลังทั้งหมดจึงจะถือว่าเข้าถึงแก่นแท้และเพราะผู้ฝึกฝนบางส่วนเร่งรีบจนเกินไปเลยทำให้พวกเขาแค่ฝึกฝนสำเร็จแต่ไม่ได้เข้าถึงแก่นแท้จึงทำให้พลังลดน้อยลงไปกว่าสิ่งที่ควรจะมี
ข้าหลับตาลงแล้วเข้าสู่การฝึกฝนอีกครั้งแต่ัตัวนั้นก็ยังคงหลับใหลในห้วงนิทรากลางบ่อน้ำพุนั่นเหมือนเดิมลมหายใจที่ถูกพ่นออกมาช้าๆ มีพลังและแฝงไปด้วยความลึกลับของธรรมชาติเมื่อข้าเริ่มปล่อยวาง จิติญญาก็กลับสู่ห้วงภวังค์อีกครั้ง
ข้าลืมตาตื่นขึ้นมาจากความฝันหลังจากที่หลับใหลไปเป็เวลานานเมื่อเปลือกตาเปิดออกก็พบว่าตอนนี้เป็เช้าของอีกวันแล้วสภาพร่างกายนอนเหยียดอยู่บนลานดินหน้าโรงเกลากระบี่แทนที่จะยืนอยู่ในกระบวนท่าของการฝึกร่างกายภายนอกคล้ายมีพลังบางอย่างปกคลุมตลอดทั้งร่างราวกับัที่ติดอยู่ใน่เวลาแห่งการหลับใหล
และที่มากไปกว่านั้นส่วนหางของัถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดที่มันวาวก็ปรากฏขึ้นอยู่เบื้องหน้า!
เมื่อเห็นหางัเท่ากับว่าข้าเข้าถึงแก่นแท้ของวิชานี้อย่างสมบูรณ์!
ข้าทั้งใและดีใจไปพร้อมกันนึกไม่ถึงว่าตัวเองจะสามารถฝึกฝนจนถึงระดับสูงสุดในขั้นที่สองและยังเข้าถึงขั้นที่สามไปโดยปริยาย...
...
พอดูนาฬิกาก็เห็นว่าตอนนี้ก็เกือบจะถึงเวลาเรียนแล้วร่างกายได้รับการเติมเต็มจากการนอนจนรู้สึกสดชื่นและมีชีวิตชีวาแม้ว่าพลังลมปราณจะลดลงไปนิดหน่อย แต่ก็ฟื้นฟูให้เพิ่มขึ้นได้ด้วยปะการังเืก่อนจะพุ่งตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปทำงาน
ข้าวุ่นอยู่กับกับการส่งและการเก็บกระบี่ตลอดทั้ง่เช้าจนใกล้เสร็จแต่ก็หยุดไว้กลางคันเพราะอยากใช้เวลา่ที่เหลือทั้งภาคบ่ายเพื่อฝึกฝนที่โรงกระบี่แทน
เพราะถ้าจะเก็บกระบี่ทั้งหมดให้เสร็จในภาคเช้าก็จะตรงกับเวลาเลิกเรียนพอดี
“นี่ ปู้อี้เชวียน!”
เสียงเรียกของซูเหยียนดังขึ้นขณะที่ข้ากำลังเดินกลับพอหันกลับไปก็เห็นนางยืนอยู่ท่ามกลางบรรดาศิษย์หญิงชายมากมายแต่นางกลับโดนเด่นภายใต้ผ้าคลุมสีขาว เม็ดเหงื่อที่ไหลเกาะบนใบหน้าและชายกระโปรงที่พัดปลิวไปตามแรงลมจนเผยให้เห็นผิวเนื้อที่ขาวเนียนตัดกันได้ดีกับปลอกขาได้อย่างงดงาม
ข้าหยุดมองพักหนึ่งนางก็วิ่งมาหา “เ้าทำงานเสร็จแล้วเหรอ?”
“อืม เ้าก็เลิกเรียนแล้วสินะ”
“ใช่แล้ว...” นางเช็ดเหงื่อที่ปลายคางแล้วพูดขึ้น “เหงื่อเปียกไปหมดทั้งตัวเดี๋ยวกินข้าวเสร็จข้าก็จะไปอาบน้ำแล้วล่ะ จะไปกินข้าวที่โรงอาหารด้วยกันหรือเปล่า?”
“ได้สิ แต่ว่าข้าต้องเอากระบี่พวกนี้ไปไว้ที่โรงเกลาก่อนนะ”
“ข้าไปส่งไหม?”
ข้าหยุดคิดเพราะศิษย์ผู้ชายคนอื่นๆต่างก็พากันมองมาไม่น้อยนางเป็เหมือนนางฟ้าในดวงใจที่ทั้งเก่งและฐานะชาติตระกูลดีสำหรับชายพวกนั้นถึงจะมีจำนวนหนึ่งที่ไม่ได้สนใจ แต่ก็มีอีกมากมายที่หลงใหลจนแทบจะฆ่าแกงกันเช่นกัน
แต่ข้าสนใจคนพวกนั้นซะที่ไหนล่ะ
“ไปสิ” ข้ายิ้มออกมาก่อนจะตอบไป
แต่เราสองคนเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็มีศิษย์กลุ่มหนึ่งยืนขวางอยู่ข้างหน้าอักษรที่ปักอยู่ตรงหน้าอกบ่งบอกว่าเป็ศิษย์ของหนึ่งในห้าสำนักใหญ่อย่างสำนักจวี๋ฉี
ในสำนักหมื่นิญญาจะมีการแบ่งศิษย์เป็สำนักย่อยออกไปอีกโดยสามสำนักใหญ่ฝ่ายในคือ สำนักเฟิงฉี สำนักหยุนต้ง และสำนักสีเลี้ยนซึ่งปกติแล้วจะมีปรมาจารย์ิญญา ปรมาจารย์นักรบิญญาและผู้สอนชั้นสูงควบคุมดูแลส่วนสำนักจวี๋ฉี สำนักจิงอิง สำนักขั้นสูง สำนักขั้นกลาง และสำนักขั้นเริ่มต้นจัดอยู่ในห้าสำนักฝ่ายนอก มีผู้สอนระดับสูง อาจารย์ และผู้ช่วยมาคอยควบคุมดูแลดังนั้นศิษย์ในสำนักหมื่นิญญาจึงใฝ่ฝันที่จะได้เข้าไปเป็ศิษย์ในสามสำนักใหญ่ฝ่ายในเพราะถือเป็สิ่งที่มีเกียรติ ได้รับการเรียนการสอนที่ดีกว่า เนื่องจากปรมาจารย์บางคนเป็ถึงจอมยุทธยอดฝีมือที่หาได้ยากในแผ่นดินใหญ่หลงหลิงแห่งนี้เลยทีเดียว
และในห้าสำนักนั้นก็มีศิษย์สำนักจวี๋ฉีเป็หัวหน้าและถือว่าแข็งแกร่งที่สุดจึงเป็เื่ปกติที่ศิษย์ของสำนักนี้ชอบไปรังแกสำนักอื่นอยู่เป็ประจำถ้าเื่ไม่ใหญ่โตมาก ผู้คุมทั้งหลายก็ไม่ค่อยอยากมายุ่งสักเท่าไร
“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ เ้าสินะที่ชื่อปู้อี้เชวียน?”
ชายผมทองที่เป็หัวหน้าของศิษย์กลุ่มนั้นถามขึ้นพร้อมกับดวงตาฉายแววที่น่าเกรงขามแต่ไม่ดึงดูดสักเท่าไร ส่วนคนที่ยืนอยู่ข้างๆก็คือเฉิ่นลั่งที่เคยถูกข้าเล่นงานจนหมอบเมื่อคราวก่อน
“เ้าเป็ใคร?” ข้าถามขึ้น
คนตรงหน้ายิ้มออกมาอย่างเย้ยหยันก่อนจะพูดขึ้น“เ้ามันก็แค่ศิษย์สำรองที่วันๆ เอาแต่หมกตัวอยู่ในโรงเกลากระบี่จะไม่รู้จักข้ามันก็ไม่แปลก จะบอกให้ก็ได้ข้าคือศิษย์อันดับสี่ในสำนักจวี๋ฉีชื่อว่า จวงเหิงซิ่งที่จะเข้าไปเป็ศิษย์ของสามสำนักใหญ่ภายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าได้ยินมาว่าเ้าเอาชนะเฉิ่นลั่งได้ แถมยังเอาชนะซู
เหยียนได้อีกต่างหากวันนี้ข้าก็เลยตั้งใจมาทดสอบความสามารถของเ้าโดยเฉพาะ”
ว่าแล้วเขาก็เรียกอาวุธิญญาออกมาซึ่งมันเป็กระบี่ที่มีขนาดใหญ่กว่าของซูเหยียนเท่าตัว
ซูเหยียนที่ยืนอยู่กับข้าก็พูดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้“จวงเหิงซิ่ง เ้าลืมกฎของสำนักไปแล้วหรือไง? ศิษย์ของสำนักจวี๋ฉีไม่มีสิทธิ์มาท้าประลองกับศิษย์สำรองแต่กลับเป็ข้าเองที่อยากจะประลองกับเ้ามากกว่า กล้าสู้กับข้าไหมล่ะ?”
ระหว่างที่พูดขึ้นนางก็เรียกอาวุธิญญาอย่างกระบี่เพลิงกัลป์ที่ถูกหุ้มไว้ด้วยเปลวเพลิงออกมา
จวงเหิงซิ่งชะงักไปเล็กน้อยเพราะนึกไม่ถึงว่าซูเหยียนจะเสนอตัวมาช่วยข้าก่อนเปลี่ยนสีหน้าแล้วยิ้มอย่างเป็กันเอง “ซูเหยียนทำไมเ้าถึงได้ออกหน้าแทนเ้าศิษย์สำรองคนนั้นล่ะพวกเราสองคนก็ไม่ได้มีอะไรบาดหมางกันสักหน่อย ข้าเองก็ไม่อยากจะประลองกับศิษย์อันดับหนึ่งของปีนี้หรอกนะ”
นางยิ้มออกมาบางๆก่อนจะถามขึ้น “แล้วปู้อี้เชวียนมีเื่บาดหมางอะไรกับเ้าล่ะ?”
“ข้า...” จวงเหิงซิ่งที่ได้ฟังคำถามจากนางก็ถึงกับอ้ำอึ้งจนพูดไม่ออก
พอเห็นแบบนั้นซูเหยียนก็เลยสลายพลังของกระบี่ในมือให้หายไปก่อนจะพูดขึ้น“พวกเราไปกันเถอะ ปู้อี้เชวียน”
“อืม” ข้าเข็นรถเดินออกมากับนางหลายเมตร นางถึงได้พูดขึ้น
“เ้าจะขอบคุณเื่ที่ข้าเพิ่งช่วยเ้าไว้เมื่อครู่อย่างไรล่ะ?”
“นี่ไม่นับว่าช่วยมั้ง?” ข้าว่าแล้วยิ้มขึ้นเล็กน้อย“จริงๆ แล้วเ้าจัดการปัญหาของตัวเองต่างหาก”
“ฮะ?” นางเงยใบหน้ารูปไข่นั่นขึ้นมองข้าและยิ้มอย่างรู้กันทั้งสองฝ่าย
คนพวกนั้นต่างใช้ข้าเป็สะพานที่จะทำให้ตัวเองดูเก่งกาจและมีความสามารถต่อหน้าซูเหยียนเพียงเท่านั้นดังนั้นพอข้าพูดขึ้นมาแบบนี้คนฉลาดอย่างนางก็เลยเข้าใจได้ทันที
“ข้าแค่นึกไม่ถึงว่าจะมีคนแบบนี้อยู่จริงๆ บนโลก” ข้าพูดไปเดินไป
ซูเหยียนที่เอามือไพล่หลังหน้าอกสั่นไหวตามจังหวะการเดิน พูดออกมาอย่างมีหลักการ“เมื่อมีกิ่งไม้แห้งเหี่ยวบนต้นไม้ใหญ่ฉันใดก็ย่อมมีคนโง่เขลาปะปนอยู่ในคนหมู่มากฉันนั้นแล้วเ้าจะเสียเวลาสงสัยให้มันวุ่นวายทำไม”
และมันก็ทำให้ข้ารู้ว่านางเก่งทั้งบู๊ทั้งบุ๋นจริงๆ
...
หลังจากที่กินข้าวเสร็จซูเหยียนก็กลับไปที่หอพักส่วนข้าก็เกลากระบี่อยู่ที่โรงเกลาต่อ
ผ่านไปไม่นานซ้งเชียนก็เคาะประตูตามมารยาทแล้วเดินเข้ามาพร้อมกับกล่องกระดาษใบใหญ่ก่อนจะยิ้มกว้างแล้วพูดขึ้น “พี่เชวียน ข้าเอาของดีมาส่ง!”
“ของดีอะไร?”
ข้าถามขึ้นด้วยความมึนงงพอเ้าเด็กนั่นวางกล่องลงถึงได้รู้ว่าด้านในเป็ลูกเจี๊ยบตัวเล็กๆที่เบียดเสียดกันอยู่ในนั้น เ้าเด็กนี้พูดคำไหนคำนั้นจริงๆ
ซ้งเชียนพูดขึ้น“ท่านดูลูกไก่นับร้อยพวกนี้สิ ข้าเลือกซื้อตัวที่ขนสีขาวทั้งหมดเลย เพราะไก่ขนขาวพวกนี้เลี้ยงง่ายเดือนเดียวก็โตจนหนักเกือบสองถึงสามกิโลจนได้รับฉายาว่าไก่นักสู้ท่านเอาพวกมันเลี้ยงไว้ตรงป่าเล็กๆ ข้างโรงเกลากระบี่แล้วกันให้ข้าวสารสักวันละหนึ่งกำมือเพราะปกติพวกมันจะคุ้ยเขี่ยอาหารกันตามสัญชาตญาณอยู่แล้ว ข้าคำนวณไว้เรียบร้อยแล้วว่าถ้าพวกมันโตเต็มวัยท่านก็จะกินได้วันละสองตัวตลอดสองเดือนแบบไม่ขาดเลยล่ะแถมยังมีไข่ของมันอีก...เป็ไง ข้าคิดการณ์ไกลใช่ไหมล่ะ?”
ข้าหัวเราะออกมาทั้งน้ำตาและรับของขวัญล้ำค่าชิ้นนี้ไว้