เห็นสวี่ชิวเยวี่ยเหนื่อยอ่อนกับการอาเจียนแล้ว เยวี่ยเจาหรานก็เริ่มทนนิ่งเฉยอยู่ไม่ไหว วุ่นวายสั่งให้คนวิ่งขึ้นวิ่งลง ทั้งส่งกระดาษให้สวี่ชิวเยวี่ยทั้งตบไหล่ให้สวี่ชิวเยวี่ย แล้วเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเล่า? นางทำใจแข็งไม่ขยับเขยื้อน เป็เครื่องจักรเร่งเดินทางอันไร้อารมณ์ความรู้สึกโดยสมบูรณ์ ทั้งยังไม่ลืมเตือนสติสวี่ชิวเยวี่ยที่กำลังอาเจียนอยู่ว่า หากยังไม่รีบไปอารามชีอีกฟ้าก็จะมืดแล้ว เยวี่ยเจาหรานที่ได้ยินเช่นนั้นก็โมโหด้วยความผิดที่ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง
“เ้ามานี่...” เยวี่ยเจาหรานมอบงานดูแลสวี่ชิวเยวี่ยให้กับสาวใช้คนหนึ่งข้างกาย ก่อนจะดึงเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเดินไปยังซอกมุมหนึ่ง น้ำเสียงที่เอ่ยนั้นฟังไปแล้วก็เหมือนไม่ปกตินัก
แต่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็ไม่แยแสเลยแม้แต่น้อย แทบจะเอามือล้วงกระเป๋าไม่สนใจใครทั้งนั้น
“มีอะไรล่ะ?”
เมื่อได้ยินคำพูดคำจาที่ไม่ยี่หระเช่นนั้นของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว เยวี่ยเจาหรานก็ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ แล้วเอ่ยเสียงเบา “อย่างไรคนอื่นเขาก็เป็ผู้หญิงนะ ยามนี้รีบเร่งเดินทางลำบากลำบนจนอ้วกแล้ว เ้าจะทำดีกับนางสักหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร?”
จะว่าก็ว่าเถอะ เยวี่ยเจาหรานทำเช่นนี้ทำให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วน้อยใจอย่างมาก นางโมโหจนสองมือเท้าเอว เอ่ยอย่างรุนแรง “นี่เยวี่ยเจาหราน เ้าสมองเลอะเลือนหรือ เมื่อวานไม่ใช่เ้าหรือที่บอกให้ข้าสนใจสวี่ชิวเยวี่ยผู้นี้ให้น้อยลง เพื่อไม่ให้นางเล่นเล่ห์เพทุบายได้น่ะ?!”
...
ด้วยการเตือนสติของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว เยวี่ยเจาหรานก็นึกขึ้นได้ เมื่อคืนดูเหมือนตนเองจะเคยพูดเช่นนั้น แต่ว่า... เยวี่ยเจาหรานที่ยากจะยอมรับความพ่ายแพ้ก็แอบหยิกหลังเอวของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วทีหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ข้าให้เ้าระมัดระวังตัวสักหน่อยก็ถูกต้องแล้ว แต่ข้าไม่ได้ให้เ้า... เืเย็นไร้ความรู้สึกเช่นนี้!”
“เื่นั้นข้าไม่สน ข้าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ววันนี้คือมือสังหารผู้เ็าไร้ความรู้สึก เื่อื่นเ้าจัดการเองเถอะ...”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วสองมือกอดไว้ที่หน้าอก ทำใจแน่วแน่ไม่คิดจะทำดีกับสวี่ชิวเยวี่ย เยวี่ยเจาหรานเองก็หมดหนทาง ทำได้เพียงเอ่ยขึ้น “น่าโมโหนัก เ้าช่างเป็... มือสังหารที่ทิฐิสูงเสียจริง”
เยวี่ยเจาหรานก้าวเท้าเดินออกไป เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจึงแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เยวี่ยเจาหรานอยู่ข้างหลังอย่างซุกซนอยู่นาน แล้วจึงเดินนวยนาดกลับไปยังตำแหน่งหยุดพักของรถม้า
“เปี่ยวเม่ยชิวเยวี่ย เ้าไม่เป็ไรนะ?” สุดท้ายเยวี่ยเจาหรานก็ถือผ้าเช็ดหน้าเดินไปข้างกายสวี่ชิวเยวี่ย แต่กลับเห็นว่าสวี่ชิวเยวี่ยหันหน้าไปมองที่ตีนเขาพอดี ส่วนนางกำลังมองอะไรอยู่น่ะหรือ? เยวี่ยเจาหรานเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
บางทีอาจเพราะได้ยินเสียงของเยวี่ยเจาหรานขึ้นมากะทันหันจึงทำให้สวี่ชิวเยวี่ยใเล็กน้อย ร่างกายพลันสั่นระริกโดยไม่รู้ตัว แล้วจึงรีบรับผ้าเช็ดหน้าในมือของเยวี่ยเจาหรานมาเช็ดปากตัวเอง “ไม่เป็ไร… ไม่เป็ไรเ้าค่ะพี่สะใภ้ ทำให้ท่านหนักใจเสียแล้ว...”
ถึงแม้เยวี่ยเจาหรานจะไม่ใช่นักจิตวิทยา แต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่ ่เวลาไม่กี่คำพูดเมื่อครู่นี้นั้น เยวี่ยเจาหรานได้มองความลับที่ซ่อนอยู่ในใจของสวี่ชิวเยวี่ยออกปรุโปร่งแล้ว อีกทั้งอาจเป็ไปได้ว่า ความลับนี้คงจะมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับที่ตีนเขาแน่ ไม่เช่นนั้นสวี่ชิวเยวี่ยจะประหม่าลนลานขึ้นมาตอนที่ตนเอ่ยถามได้อย่างไร ทั้งยังหันกลับไปมองตีนเขาอยู่เป็ระยะอย่างน้อยๆ ก็สามสี่ครั้งแล้วกระมัง?
แต่ในการอยู่ร่วมกันระหว่างผู้คนนั้น แน่นอนว่าเื่บางเื่รู้แต่ไม่ควรพูด จึงจะเป็เพื่อนกันได้ สำหรับพฤติกรรมประหลาดต่างๆ ของสวี่ชิวเยวี่ย เยวี่ยเจาหรานเองก็ทำได้เพียงลืมตาข้างหนึ่งลับตาข้างหนึ่ง แสร้งทำเป็มองไม่เห็นไป
“นี่ ข้าว่า...” ในเวลานั้นเอง เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็เดินโยกอย่างวางมาดเข้ามา ทั้งตัวส่ายไปมาจนแทบจะกลายเป็ตุ๊กตาล้มลุกอยู่แล้ว “ในป่านี้มืดเร็ว หากยังไม่ไปให้ถึงอารามชี แม้แต่ข้าวเย็นก็ไม่ได้กินแล้วล่ะ...”
“เ้าจะขู่ใครกัน ระยะทางเหลืออีกน้อยนิดเช่นนั้น ข้าว่าอาหารเที่ยงก็ยังไปทันกินด้วยซ้ำ!” เยวี่ยเจาหรานส่งผ้าเช็ดหน้าในมือไปพลาง ส่งสายตาให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไปพลาง สื่อความว่าให้นางเลิกเร่งรัดได้แล้ว ถึงอย่างไรดูไปแล้วสวี่ชิวเยวี่ยผู้นี้แทบจะขย้อนถุงน้ำดีออกมาอยู่แล้ว ดูท่าทางทรมานมากจริงๆ
ส่วนใหญ่แล้วผู้ชายมักจะเกิดความเห็นอกเห็นใจและสงสัยใคร่รู้ต่อผู้หญิงที่น่ารักน่าเอ็นดูโดยสัญชาตญาณ ไม่เช่นนั้นเยวี่ยเจาหรานผู้ที่มองทะลุเื่ราวต่างๆ บนโลกได้เช่นนี้จะใจกว้างให้อภัยสวี่ชิวเยวี่ยขึ้นมากะทันหันเช่นนี้ได้อย่างไรเล่า?
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วถูกเยวี่ยเจาหรานบีบให้ยอมรับความพ่ายแพ้ นางไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เพียงแค่ยักไหล่เบ้ปาก ก่อนจะเดินหนีไป
สวี่ชิวเยวี่ยเองก็คงจะถูกเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วกระตุ้นให้กลัดกลุ้มใจ จึงไม่รั้งรออีกต่อไป นางรีบร้อนเช็ดปาก แล้วจึงขึ้นรถม้าออกเดินทางไปพร้อมคนอื่นๆ อีกครั้ง
สถานการณ์ระหว่างทางไม่เลว บวกกับความใจแข็งดั่งเหล็กกล้าของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว เมื่อไปถึงอารามชีก็เป็เวลาที่ยังไม่เริ่มมื้ออาหารเที่ยงตามคาด เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนั้นดีอกดีใจยิ่ง ถึงอย่างไรั้แ่เล็กจนโตนางก็ไม่เคยกินเจหรืออาหารมังสวิรัติของวัดวาอารามชีเช่นนี้มาก่อน วันนี้ได้มีโอกาสลิ้มลอง ก็คงจะไม่เลวเลยทีเดียว
เป็ไปได้ว่าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนั้นเดินทางมาจนเหนื่อยและหิวมากแล้วจริงๆ ไม่เช่นนั้นใครจะรู้สึกสนอกสนใจอาหารเจที่มีแต่ผักมากมายขนาดนี้กัน?
แม่ชีที่ออกมาต้อนรับดูเหมือนจะเป็บุคคลผู้เป็ที่นับถือยกย่องในอารามชีคนหนึ่ง ซึ่งเรียกตัวเองว่าซือไท่จิ้งซิน [1] นางโค้งตัวคำนับให้กับคณะผู้มาเยือน แล้วจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแ่เบา “ในอารามนี้ล้วนเป็สตรี เกรงว่าจะไม่สะดวกให้คุณชายเยี่ยนเข้าไปข้างใน จึงได้เตรียมห้องพักของโยมท่านหนึ่งเอาไว้ให้ในส่วนแยกทางฝั่งซ้าย ฮูหยินเยี่ยนตั้งใจกำชับมาว่าไม่้าให้เกิดความเอะอะอึกทึก ดังนั้นไม่กี่วันนี้นอกจากแต่ละท่านก็จะไม่มีผู้ใดมาค้างคืนในอารามอีก ทุกท่านวางใจได้”
“ขอบคุณซือไท่ที่ลำบากจัดเตรียมให้”
ยามนี้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วได้เห็นองค์ธรรม จึงระงับอารมณ์เอาไว้เล็กน้อย ยามเอ่ยก็เป็พิธีรีตองอย่างหาได้ยาก ทุกคนเอ่ยคำพูดตามมารยาทกับแม่ชีสองสามท่านอีกเล็กน้อย แล้วจึงเตรียมตัวไปยังห้องพักของตน
“ยามนี้ที่โถงใหญ่ได้จัดเตรียมอาหารเจเอาไว้แล้ว ทุกท่านเก็บข้าวของเสร็จแล้วก็สามารถตามมาได้เ้าค่ะ”
ซือไท่จิ้งซินคำนับทุกคนอีกครั้ง แล้วจึงเตรียมจะถอยออกไป คาดไม่ถึงว่าแม่ชีน้อยที่เฝ้าประตูอยู่ด้านนอกกลับวิ่งเข้ามาอย่างเร่งร้อน แล้วเอ่ยกระซิบเสียงเบาที่ข้างหูของซือไท่จิ้งซิน
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วและคนอื่นๆ เห็นว่าคงจะเป็เื่ภายในของอารามชีแห่งนี้ ย่อมไม่อาจอยู่รอดู ว่าแล้วก็กำลังจะแยกย้ายกันไปห้องของตน ไม่นึกว่ากลับถูกจิ้งซินเอ่ยรั้งเอาไว้ ปรากฏว่าผู้มาเยือนจากภายนอกูเานั้นเป็คนที่มาจากจวนเยี่ยน โดยบอกว่าตนมาหาฮูหยินน้อย…
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเกิดความสงสัยในใจ แต่กลับไม่อาจแสดงออกมา ได้แต่เชิญอีกฝ่ายเข้ามา “สร้างเื่ให้ซือไท่เสียแล้ว” อาจเป็เพราะสังเกตเห็นว่าการมาถึงของคนผู้นั้นทำให้ทั้งอารามชีวุ่นวายขึ้นมา เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจึงหันตัวกลับไปเอ่ยกับจิ้งซินเช่นนั้น แม้จิ้งซินจะไม่ได้แสดงท่าทีออกมา แต่คิดดูแล้วอารมณ์ก็คงไม่ค่อยดีนัก
“คุณชาย ฮูหยินน้อย!” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วได้ยินผู้มาเยือนร้องเรียกตน แต่ไม่ว่าคิดอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าคนผู้นี้เป็ใครในจวนกัน? จึงได้แต่พยักหน้างุนงง “มีเื่อันใดเ้าถึงกับต้องลำบากรุดมาไกลเช่นนี้?”
คนที่เรียกตัวเองว่าเป็เด็กรับใช้ตระกูลเยี่ยนเหลือบมองเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเล็กน้อย จากนั้นจึงเอ่ยตอบอย่างขลาดๆ “ตอบคุณชาย เป็เพราะจวนเยวี่ยส่งคนมาบอกว่ามีเื่้าตัวฮูหยินน้อย เชิญให้ฮูหยินน้อยรีบไปยังจวนเยวี่ยบัดนี้เลยขอรับ แต่ฮูหยินเยี่ยนบอกว่าคุณชายและฮูหยินน้อยเดินทางมายังเขาชิงเฉวียน ทางนั้นก็ยังดึงดันจะให้เชิญคนกลับไปให้ได้ขอรับ”
เรียกตนกลับจวนเยวี่ยเช่นนั้นหรือ? เยวี่ยเจาหรานขมวดคิ้ว จินตนาการไม่ออกจริงๆ ว่ามีเื่ใดต้องเร่งรีบถึงเพียงนั้น หรือเยียนหรานจะส่งจดหมายมาอีกหรือ?
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วมองเยวี่ยเจาหรานเล็กน้อย ทั้งสองฝั่งต่างเต็มไปด้วยความสับสนงุนงง ด้วยเหตุนี้จึงได้ตกสู่ความเงียบไปเนิ่นนาน...
เชิงอรรถ
[1] ซือไท่ (师太) เป็คำเรียกด้วยความเคารพต่อแม่ชี หรือนักบวชหญิง
