“เปล่า แค่มองว่านางตั้งใจจริงหรือไม่ก็เท่านั้น”
“ฮูหยินตั้งใจมากขอรับ” เขาพยักหน้ารับเล็กน้อย
“เช่นนั้นก็ดี”
“นายท่านขอรับ”
“มีอะไรรึ”
“เมื่อครู่ข้าผ่านไปที่โรงครัว แอบได้ยินเหลียนต้า กับชิงเหอ คิดทำสิ่งมิควรขอรับ” เขาขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เ้าได้ยินสิ่งใด”
“พวกนางบอกว่า หากมีโอกาสทำอาหารให้ฮูหยินกิน พวกนางจะเป็ผู้ลงมือใส่พิษลงไปในอาหาร เพื่อล้างแค้นแทนแม่นางเซียนเยว่และลูกในครรภ์ขอรับ” สีหน้าของโม่โฉวเปลี่ยนไปในฉับพลัน
“สิ่งที่เสี่ยวเฟยเคยทำ ยากจะมีผู้ใดให้อภัยได้ หากเป็เมื่อก่อน ข้าจะไม่ห้ามเหลียนต้ากับชิงเหอ” พูดจบโม่โฉวก็หันไปยังร่างของหญิงสาวที่นั่งเขียนวรรณกรรมอยู่ที่สระน้ำ รับรู้ถึงความบริสุทธิ์ของอีกฝ่ายอย่างแท้จริง
“แต่ตอนนี้เสี่ยวเฟย ไม่ใช่เสี่ยวเฟยคนเก่าอีกต่อไป ด้วยพิษยาในครั้งนั้น ทำให้นางไม่รู้ว่าเคยทำสิ่งใดมาบ้าง เช่นนั้นนางย่อมบริสุทธิ์ ตอนนี้ข้าเข้าใจเหตุผลของมู่เลี่ยนแล้ว ว่าทำไมถึงได้ให้เสี่ยวเฟยปิดบังความจริง เจ่าเจาเ้ารีบถ่ายทอดคำสั่งข้า ว่าห้ามเหลียนต้ากับชิงเหอ ทำร้ายและเข้าใกล้เสี่ยวเฟยเป็อันขาด และหากพวกนางฝ่าฝืนคำสั่ง จะลงโทษอย่างหนัก” เป็ครั้งแรกที่โม่โฉวตัดสินใจปกป้องภรรยา ก่อนเจ่าเจาจะน้อมรับคำสั่ง แล้วเดินจากไปทำตามหน้าที่
สายลมอ่อนพัดโชยมาปะทะกายเป็ระยะ นางเขียนวรรณกรรมมาได้สักระยะ จึงยกมือขึ้นเท้าคาง พลางใช้มือเคาะโต๊ะเบา ๆ เพื่อคิดเื่ราวต่าง ๆ
“ไม่ไหวแล้ว สมองข้าอ่อนล้าเต็มที” ว่าแล้วหญิงสาวก็บิดตัวไปมาเพื่อผ่อนคลาย ก่อนจะหันไปเห็นเหล้าที่วางอยู่ข้างกาย แล้วยิ้มบางเบาออกมา
“วันนี้ข้าต้องรู้ให้ได้ ว่าเ้ามีสิ่งใดทุกข์ใจแล้วไม่ยอมบอก” พูดจบ เสี่ยวเฟยหยิบเหล้า แล้วเดินหาเจ่าเจาไปทั่วบริเวณ ไม่นานนักร่างของชายหนุ่มก็เดินกลับมาจากครัว แล้วน้อมกายลงเล็กน้อย
“ฮูหยินจะไปที่ใดขอรับ” หญิงสาวส่ายศีรษะ
“มาหาเ้านั่นแหละ” พูดจบนางก็ทิ้งตัวลงนั่งยังพื้นหญ้าเขียวขจี พลันตบพื้นสองสามครั้ง แล้วเรียกให้เจ่าเจานั่งด้านข้าง แม้เขาจะใในตอนแรก แต่เมื่อเห็นไหเหล้าที่นางถือมาก็เข้าใจความหมาย
“ข้าไปตลาด นึกถึงเ้าก็เลยซื้อมาฝาก” เจ่าเจาที่ชื่นชอบสุราเป็ทุนเดิมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ก่อนเสี่ยวเฟยจะเปิดผ้าคลุมปากไหออก แล้วเทเหล้าใส่จอกยื่นให้อีกฝ่ายอย่างไม่ถือตัว
“รับไปสิ” ชายหนุ่มค่อย ๆ เอื้อมรับเหล้าที่หญิงสาวยื่นให้แล้วกระดกกิน พร้อมรอยยิ้มของเสี่ยวเฟยจะเผยออกมา นางค่อย ๆ เทเหล้าลงใส่จอกของนาง แล้วกระดกดื่มตามด้วยเช่นกัน ก่อนเจ่าเจาจะเบิกตากว้าง
“ฮูหยิน ท่านดื่มเหล้าด้วยเหรอขอรับ” เขาถาม ก่อนนางจะพยักหน้า
“เ้าไม่รู้อะไร ข้าน่ะชอบกินเวลามีเื่กลุ้มใจ”
“ท่านมีเื่กลุ้มใจด้วยงั้นเหรอ” เสี่ยวเฟยก้มหน้าลงแล้วพยักหน้าเล็กน้อย
“ทุกคนล้วนต้องมีเื่กลุ้มใจด้วยกันทั้งนั้น ข้าเองก็เช่นกัน” เสี่ยวเฟยพูดพลางเทเหล้าใส่จอกของเจ่าเจา แล้วใส่จอกตัวเองไป พร้อมสายลมพัดโชยมาเป็ระยะ ๆ ฝูงนกบินผ่านไปทำให้เสี่ยวเฟยยิ้มกว้าง
“เจ่าเจา เ้ารู้หรือไม่ ว่าเมื่อก่อน ข้าชอบมองฝูงนกเสมอ ๆ ใคร ๆ ต่างก็ว่าข้าบ้า ที่อิจฉาพวกมันเวลาบินผ่าน” เจ่าเจากระดกเหล้าในมือแล้วเอ่ยถามอีกฝ่าย
“แล้วเหตุใด ฮูหยินถึงอิจฉาพวกมัน” เสี่ยวเฟยยิ้ม
“เพราะพวกมันมีครอบครัว เวลาออกหาอาหารก็ไปเป็ฝูง พอกลับรังก็กลับเป็ฝูง ไม่โดดเดี่ยวเช่นช้า” จื่อหลานในร่างเสี่ยวเฟยที่เป็เพียงเด็กกำพร้า ถูกพ่อแม่ทิ้งไปั้แ่แบเบาะ ไม่เคยรับรู้ความอบอุ่นนี้จากที่ใด
“ฮูหยินพูดราวกับว่าท่านไม่มีพ่อแม่ ทั้งที่ตระกูลของท่านสูงส่งเพียงนั้น” เจ่าเจาพูดแล้วกระดกเหล้าไปเรื่อย ๆ ก่อนเสี่ยวเฟยจะได้สติแล้วยิ้ม
“สงสัยข้าจะเขียนวรรณกรรมมากเกินไป เ้าอย่าถือสาสิ่งที่ข้าพูดเลย เอาจอกของเ้ามา” พูดจบ หญิงสาวก็รินเหล้าใส่จอก หวังให้ฤทธิ์แอลกอฮอล์ ทำให้เขาคลายความลับออกมา
เวลาผ่านไปไม่นาน หลังจากชายหนุ่มกระดกเหล้าในมือจอกแล้วจอกเล่า เสี่ยวเฟยเห็นว่าอีกฝ่ายมึนเมาได้ที่ จึงเม้มปาก แล้วหลอกถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เวลานี้ ไม่มีนายไม่มีบ่าว หลายวันมานี้ ข้าเห็นเ้าคล้ายมีเื่ทุกข์ใจ พอจะบอกข้าได้หรือไม่ ว่าทุกข์ใจสิ่งใด” เจ่าเจาที่เริ่มมึนเมา ค่อย ๆ เผยความรู้สึกตัวเองออกมาทีละนิดอย่างไม่รู้ตัว
“ตอนนี้แม่ของข้าชรามากแล้ว อยู่ที่เรือนเพียงผู้เดียว เจ็บป่วยบ่อยครั้ง แต่ไม่ยอมกินยา นางบอกว่าอยากตายเร็ว ๆ จะได้ไม่ต้องเป็ภาระของข้า ทำอย่างไรก็เปลี่ยนความคิดนางไม่ได้” เจ่าเจาพูดพลางกระดกเหล้าในมือ พร้อมใบหน้าแดงก่ำด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ ไม่ต่างจากเสี่ยวเฟยที่พยายามสะบัดใบหน้าไปมาเพื่อเรียกสติตัวเอง เพราะเริ่มมึนเมามากแล้วเช่นกัน
“แล้วเหตุใด เ้าไม่พานางมาอยู่ด้วย ที่จวนก็ออกจะกว้างขวาง” ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ แล้วพูดขึ้น
“นายท่านเคยอนุญาตให้ข้าพานางมาอยู่ด้วย แต่ฮูหยินลองเดาสิ ว่านางตอบข้าเช่นไร” เสี่ยวเฟยส่ายศีรษะเพราะไม่อยากใช้ความคิด
