“มีคำพูดหนึ่ง มิ่งเอ๋อร์มิทราบว่าควรจะพูดหรือไม่ควร” พลันน้ำเสียงของจ้านอู๋มิ่งเปลี่ยนไป
“พูดมาเถอะ ไม่เป็ไร!” ผู้เฒ่าจ้านเทียนสิงกล่าวขึ้น
“ตระกูลจ้านอยู่ในเมืองมู่เหย่มาหลายร้อยปีแล้ว ความมั่นคงก็นับว่ามั่นคงอยู่ แต่ไม่กล้าได้กล้าเสีย หลายปีที่ผ่านมากิจการของตระกูลกำลังรุ่งเรืองเฟื่องฟู แต่พลาดโอกาสในการขยายกิจการ เพียงแค่ดำเนินการเล็กๆ น้อยๆ ในเมืองมู่เหย่เท่านั้น ถึงแม้จะเป็หัวหน้าของสี่ตระกูลใหญ่ของเมืองมู่เหย่ แต่ก็เป็แค่ผู้นำชนชั้นสูงในพื้นที่เล็กๆ เท่านั้น มิต้องพูดถึงในแคว้นมหาจักรพรรดิชางเหยียน แม้แต่ในราชวงศ์ต้าเหยียน ขนาดตระกูลเล็กๆ ตระกูลหนึ่งอย่างตระกูลเจิ้งก็ยังกล้าดูแคลน มิเห็นพวกเราอยู่ในสายตา การเป็หัวหน้าของสี่ตระกูลใหญ่จะมีความหมายอันใด ก็แค่นั่งมองฟ้าอยู่ในก้นบ่อเท่านั้นเอง” จ้านอู๋มิ่งพูดไปเรื่อยๆ อย่างอิสระ
สีหน้าของจ้านชิงเผิงแปรเปลี่ยน เขาอยู่ในฐานะผู้นำตระกูลจ้าน แต่ตอนนี้กลับถูกบุตรชายบอกว่าทิศทางการนำตระกูลของตนผิดพลาด อดรู้สึกเสียหน้ามิได้ ขณะกำลังคิดเอ่ยปากพูด กลับเห็นจ้านเทียนสิงถลึงตาใส่เขาคราหนึ่ง คำพูดที่มาถึงริมฝีปากก็กลืนกลับลงไปอีกครั้ง
“มิ่งเอ๋อร์คิดว่าพวกเราควรจะทำเช่นไรถึงจะดี?” จ้านเทียนสิงถามเรียบๆ อย่างใจเย็น
ทุกคนในห้องโถงบรรพบุรุษมองหน้ากัน ยามนี้ความสง่างามของจ้านอู๋มิ่งเปรียบเสมือนราชันทรราช ผู้มีอำนาจสูงสุดผู้หนึ่ง ถึงแม้คำพูดจะรุนแรงบาดหูอยู่บ้าง แต่กลับทำให้รู้สึกได้เปิดหูเปิดตาในสิ่งแปลกใหม่
“หลานคิดว่าความก้าวหน้าของตระกูลคือต้องต่อต้านการรุกรานจากภายนอกและทำให้ภายในสงบลง ข้างในหมายถึงเมืองมู่เหย่ ไม่มีพันธมิตรตลอดกาล มีเพียงผลประโยชน์เท่านั้นที่เป็นิรันดร์ หาก้ามองโลกให้กว้าง ทั่วหล้านี้จะไม่มีพันธมิตรเลยได้อย่างไร ตระกูลเดียวก็หายใจหืดขึ้นคอ หลายๆ ตระกูลร่วมมือกัน ผสานพลังอำนาจ ด้วยทรัพยากรของตระกูลจ้านที่มีอยู่ในตอนนี้ ไปถึงสถานที่ใด ที่แห่งนั้นล้วนยินดีต้อนรับ แต่ไฉนจึงถูกอีกสามตระกูลใหญ่ที่เหลือในเมืองมู่เหย่คอยกดขี่ข่มเหง ความรุ่งเรืองนั้นยากลำบากแสนเข็ญหรือ? มิทราบว่าท่านลุงท่านอาทุกท่านเคยคิดบ้างหรือไม่ ข้าคิดว่าสิ่งที่พวกเรา้านั้นไม่ใช่การแสดงความสามารถหรือทำลายความกดดันจากภายนอก แต่เป็การหาแนวร่วม ถึงแม้คมมีดจะทะลุผ่านรอยแตกได้ แต่บุกเบิกเปิดพื้นที่กว้างขวางไม่ได้ กิจการไม่ใช่การปลูกต้นไม้แค่ต้นเดียว แต่เป็การเพาะปลูกป่าขนาดใหญ่ผืนหนึ่ง”
หลังจากหยุดชั่วครู่จ้านอู๋มิ่งก็พูดต่อว่า “ข้ามีเม็ดโอสถอยู่หนึ่งร้อยเม็ด หนึ่งเม็ดสามารถสร้างกำไรสิบเหรียญทอง แต่ว่าในเมืองหลวง พวกเราถูกกดดันจนขายได้เพียงสิบเม็ด พวกเราทำงานหนักเพื่อขายสินค้า อย่างมากที่สุดขายได้เพียงยี่สิบเม็ดเท่านั้น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือถึงแม้พวกเราจะมีสินค้าคุณภาพดี แต่สามารถได้เงินเพียงสองร้อยเหรียญทองเท่านั้น เม็ดโอสถที่เหลือได้แต่เก็บไว้ในคลังกักตุนเอาไว้เท่านั้น แม้ว่าจะมีคุณค่าราคาแต่กลับมิสามารถทำเงินได้ หากเปลี่ยนเป็วิธีอื่นอีกวิธีหนึ่ง ยังคงเป็เม็ดโอสถหนึ่งร้อยเม็ด เหลือยี่สิบเม็ดเอาไว้ใช้เอง ให้สามตระกูลใหญ่ฝั่งละยี่สิบเม็ด พวกเราได้รับเพียงห้าเหรียญทองต่อหนึ่งเม็ดเท่านั้น และให้กำไรห้าเหรียญทองแก่พวกเขา……ดังนั้นเม็ดโอสถที่เดิมกักตุนในโกดังก็จะทำให้ได้รับเงินเพิ่มสามร้อยเหรียญทอง สามร้อยเหรียญทองนี้สร้างเม็ดโอสถได้อีกหนึ่งร้อยห้าสิบเม็ด พวกเราไม่เพียงแต่สามารถทำเงินให้ตัวเองได้มากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ได้ผูกสามตระกูลใหญ่ไว้ข้างกายพวกเรา รุกและถอยร่วมกับเรา และเมืองหลวงก็จะไม่สามารถสกัดกั้นเม็ดโอสถของตระกูลจ้านได้อีกต่อไปแล้ว”
“แปะ แปะ แปะ…” เสียงปรบมือดังขึ้นรอบหนึ่ง ประตูใหญ่ห้องโถงตระกูลถูกผลักเปิดออก ชายชราสองคนเดินเข้ามาท่ามกลางชายวัยกลางคนหลายคน
“พี่ใหญ่ น้องสาม…”
คนที่เข้ามาคือจ้านเทียนเฉา จ้านเทียนเหอและลูกพี่ลูกน้องอีกหลายคน
“ผู้ใดว่าหลานข้าเป็คนไร้การศึกษาที่โง่เขลาและไร้ความสามารถ ใต้หล้ามีคนมากมายที่ไม่สามารถฝึกฝนพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ได้ แต่ผู้ใดมีความเข้าใจอย่างมิ่งเอ๋อร์บ้าง?” จ้านเทียนเฉากล่าวพลางหัวเราะร่าเสียงดัง หันกลับไปกล่าวกับจ้านชิงเผิงทันที “ชิงเผิง เ้าในฐานะผู้นำตระกูล เื่กำหนดทิศทางก้าวหน้าของตระกูล เดิมสิ่งเหล่านี้สมควรเป็สิ่งที่เ้าคิด เ้าต้องพิจารณาทบทวนตนเองดีๆ สักครา”
“สิ่งที่ท่านพ่อสอนสั่งถูกต้องแล้ว” จ้านชิงเผิงกล่าวด้วยความเคารพ
“พูดได้ประเสริฐมาก มิ่งเอ๋อร์พูดต่อไป ในเมื่อผู้าุโทุกท่านของตระกูลล้วนอยู่ที่นี่ ประจวบเหมาะที่จะหารือว่าตระกูลจ้านจะดำเนินการลำดับต่อไปเช่นไรกันแน่” จ้านเทียนเฉากล่าวอย่างเคร่งขรึมจริงจัง
“ขอบคุณท่านปู่สำหรับคำชม อาจเป็เพราะสาเหตุที่ฝึกพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ไม่ได้ หลานจึงรู้สึกตลอดมาว่าสิ่งที่ขาดแคลนในโลกมิใช่นักยุทธ์ แต่เป็บุคคลที่ฉลาดเฉลียว ข้าสู้ยอดยุทธ์ระดับหนึ่งดาวไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่หลานสามารถทำให้ราชันาเป็ผู้รับใช้ของตนเองได้ บางครั้งคนเราก็แปลกประหลาดเช่นนี้เอง หลังจากที่ได้ทักษะยุทธ์แล้วก็จะคิดเพียงแต่ว่าจะใช้พลังยุทธ์เข้าแก้ปัญหาได้อย่างไร และไม่คิดว่าไฉนจำเป็จะต้องลงมือเองด้วยเล่า ถ้าสามารถปล่อยให้ผู้อื่นกระทำแทนได้มิใช่ดียิ่งกว่าหรอกหรือ?”
“ความคิดของข้าคือให้ผู้อื่นทำงานหนักแทนเรา พวกเราย้ายมานั่งบนม้านั่งเล็กๆ ด้านข้างพลางดื่มสุราเล็กน้อยพร้อมปรบมือชมว่าดี ไม่แน่ว่าบางทีคนผู้นั้นที่ทำงานหนักแทนเรา ยัง้าขอบคุณพวกเราที่ให้โอกาสเขาทำงานหนักด้วย” สีหน้าจ้านอู๋มิ่งนิ่งสงบ สายตากวาดมองผ่านทุกคนในห้องโถงใหญ่ที่ปากอ้าตาค้าง ยักหัวไหล่เล็กน้อย
ห้องโถงบรรพบุรุษตระกูลจ้านเงียบสงัด คำพูดของจ้านอู๋มิ่งคล้ายดั่งเสียงอสนีบาตคำรามลั่นดังขึ้นในจิตใจของพวกเขา มิเคยมีผู้ใดพูดจาตรงไปตรงมาในลักษณะเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นทุกคนจึงตั้งคำถามกับตัวเองคำถามหนึ่ง “จริงด้วย เห็นอยู่แล้วว่าตนเองมิต้องลงมือก็ได้ชัดๆ ให้คนอื่นไปเสี่ยงชีวิตแทนก็ได้นี่ ไฉนตนเองยังโง่งมต้องไปลงสนามด้วยตนเองอีกเล่า ทั้งเหนื่อยมากเพียงใด…”
ทุกคนยังมิทันได้ตั้งสติ จ้านอู๋มิ่งกล่าวต่ออีกว่า “นักสู้ที่ดีไม่ค่อยมีผลงานโดดเด่น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือคนที่ต่อสู้ได้เก่งกาจอย่างแท้จริง ล้วนบงการให้ผู้อื่นไปต่อสู้แทน ตระกูลจ้านเราก็ต้องลองเปลี่ยนแปลงแนวความคิดแล้ว แบ่งปันสิ่งที่ดีๆ ออกไป ในขณะที่ได้รับคำขอบคุณจากผู้อื่น ทำเงินได้มากมายด้วยแล้ว ยังมีโอกาสได้พักผ่อนอีกด้วย เมื่อยามที่คนอื่นช่วยทำเงินให้เรามากพอสมควรแล้ว เหลียวมองหันกลับไปดู ความแข็งแรงของพวกเขาลดทอนลงมากระหว่าง่ที่เริ่มบุกเบิก และตระกูลจ้านของพวกเรากลับเก็บเงินได้มากมาย ขณะเดียวกันหล่อเลี้ยงกำลังพลของเราเองให้แข็งแกร่ง…เฮ้อ เดิมข้าไม่คิดจะพูดคำพูดเหล่านี้ แต่ว่าพอนึกถึงตระกูลเจิ้งบุกรังแกพวกเราถึงถิ่นแล้ว พวกเรายังมาสูญเสียมากมายเพื่อป้องกันตระกูลจี้ ป้องกันตระกูลหลงหรือตระกูลเฉิน ไม่พูดว่าทำเงินได้น้อยเพียงใด ยังทำให้ตระกูลเจิ้งหาช่องทางมีโอกาสดึงเอาตระกูลจี้ ตระกูลหลง ตระกูลเฉินไปเป็แนวร่วม เห็นตระกูลจ้านของพวกเราเป็แพะอ้วนพีตัวใหญ่ ล้วนคิดอยากจ้วงแทงสักทีหนึ่ง ถึงเวลานั้นเกรงว่าตระกูลจ้านจะห่างไกลจากการถูกทำลายล้างไม่นานแล้ว”
คำพูดของจ้านอู๋มิ่งทำให้การแสดงออกของทุกคนในเหตุการณ์แปรเปลี่ยนไปอย่างมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจ้านชิงเผิงสีหน้าซีดขาว ในฐานะผู้นำตระกูล แต่กลับไม่ได้ตระหนักถึงวิกฤตของตระกูลจ้าน หลังจากฟังคำพูดของจ้านอู๋มิ่งแล้ว จ้านชิงเผิงหลั่งเหงื่อจนเสื้อชุ่ม
ตลอดห้าปีนี้ ตระกูลจ้านก้าวหน้าไปมากจริงๆ ตระกูลจ้านถือว่ายาแปลกๆ หลายตัวที่จ้านอู๋มิ่งสร้างออกมาอยู่ในฐานะมือพิฆาตของตระกูลจ้าน มิเคยคิดที่จะเสวนากับตระกูลอื่น ดังนั้นแม้ว่าตระกูลจ้านจะรุ่งเรืองไม่เลวใน่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่กลับทำให้อีกสามตระกูลอิจฉาริษยา มักสร้างปัญหาโดยวิธีลับๆ วันนี้คำพูดของจ้านอู๋มิ่ง ทำให้พวกเขาเข้าใจชัดเจนทันที ไม่ว่าจะเป็ตระกูลหลงก็ดี ตระกูลเฉินหรือตระกูลจี้ก็ดี แต่ละตระกูลล้วนดำเนินครรลองที่แตกต่างกัน แต่ว่าเพียงแค่ทำให้พวกเขารู้สึกมีผลประโยชน์ ได้เงินทอง พวกเขาย่อมไม่ปฏิเสธเื่เงินทองอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นผลประโยชน์ของบรรดาตระกูลใหญ่หลายตระกูลเชื่อมโยงเข้าด้วยกันแล้ว บรรดาตระกูลเจิ้งและพวกเส้นทางเดียวกัน ไหนเลยจะยังสามารถดึงเอาสามตระกูลใหญ่ไปเป็แนวร่วมอย่างง่ายดายได้อีก ทำให้ตระกูลจ้านมีศัตรูจากทั่วทุกสารทิศนั่นหรือ?
“ชิงเผิงละอายใจจริงๆ ข้ารู้สึกว่าต้องรับผิดชอบต่อตระกูลที่ตั้งความหวังในตัวข้าไว้สูงมาก ข้าไม่คู่ควรกับตำแหน่งผู้นำตระกูลนี้ ยังขอให้บรรดาท่านลุงท่านอาเลือกผู้มีความสามารถท่านอื่นมาแทน” จ้านชิงเผิงหลั่งเหงื่อเย็นเยือก เริ่มแรกเขารู้สึกว่าคำพูดจ้านอู๋มิ่ง ทำให้เขาเสียหน้า รู้สึกไม่ยินยอมอย่างยิ่ง แต่รอจนจ้านอู๋มิ่งพูดจบ เขาเพิ่งเข้าใจว่าบุตรชายมองการณ์ไกลกว่าตนมากมายนัก มองปัญหาได้ทะลุปรุโปร่งกว่ามาก เขาอดไม่ได้ที่จะยอมรับแล้ว บุตรชายเหมาะกับตำแหน่งผู้นำตระกูลมากกว่าตนเอง ตระกูลจ้านภายใต้การนำของจ้านอู๋มิ่ง จะสามารถก้าวหน้าไปไกลกว่านี้อย่างแน่นอน
การตัดสินใจของจ้านชิงเผิงทำให้ทุกคนในตระกูลจ้านประหลาดใจ ทุกคนต่างย้อนนึกถึงตัวเองล้วนรู้สึกละอายใจ คนทั้งหมดในห้องโถงนี้อย่างน้อยก็มีอายุหลายสิบปี กลับสู้เด็กหนุ่มอายุเพียงสิบเจ็ดคนหนึ่งไม่ได้
“เหตุใดท่านพ่อจึงพูดเช่นนี้ การที่ลูกพูดเื่นี้มิได้บอกว่าผู้ใดควรรับผิดชอบ เพียงแต่คิดทำให้ทุกท่านเปลี่ยนความคิดเท่านั้น นอกจากนี้การนำพาตระกูล ไม่ใช่ว่าผู้นำคนเดียวจะสามารถสั่งการได้ หากพูดถึงความรับผิดชอบ ทุกคนในที่นี้ล้วนมีส่วนต้องรับผิดชอบ ดังนั้นท่านพ่อไม่จำเป็ต้องทำเช่นนี้ แต่ว่าั้แ่วันนี้เป็ต้นไปจะต้องไตร่ตรองให้มากขึ้นแล้วจริงๆ ตระกูลจ้านไม่ควรทำได้เพียงแค่จดจ่อกับพื้นที่ของเมืองมู่เหย่ เผชิญคำตำหนิจากตระกูลชั้นสูงของราชวงศ์ต้าเหยียน พวกเราสมควรกระทำเช่นไร? แล้วการเผชิญหน้ากับตระกูลใหญ่ของอาณาจักรมหาจักรพรรดิชางเหยียนอีกเล่า? เส้นทางตระกูลจ้านในภายภาคหน้าจะเป็เช่นไร ยังต้องให้ ท่านปู่ ท่านลุง ท่านอาไตร่ตรองดู ข้าจะไปหาสัตว์อสูรตัวน้อยของข้าแล้ว ใช่แล้ว สิ่งของที่หยิบมาจากนายท่านสามเจิ้งและลุงใหญ่จี้ ฝากให้ทางตระกูลจัดการด้วย ข้าเป็เพียงแค่เด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้นเอง หากมีปัญหาใดอย่าได้มาหาข้า ขอเงินค่าขนมให้ข้าสักหน่อยก็ใช้ได้แล้ว” พูดพลางจ้านอู๋มิ่งก็หันหน้าจากไปอย่างไร้ความรับผิดชอบ
รอจนทุกคนในตระกูลตั้งสติได้หลังจากฟังคำพูดของจ้านอู๋มิ่ง จ้านอู๋มิ่งก็หายลับไปจนไร้ร่องรอยแล้ว เหลือแต่ทรัพย์สมบัติที่กองไว้เต็มพื้นห้องโถงบรรพบุรุษ มูลค่าเทียบได้กับรายได้ของตระกูลจ้านทั้งหมดรวมกันร่วมครึ่งปี
……
จ้านอู๋มิ่งรีบกลับออกมา เพราะเขารู้สึกว่าเขาได้พบความคืบหน้า ใกล้ทะลวงด่านแล้ว ถึงแม้จะเพิ่งทะลวงด่านสู่ปรมาจารย์นักยุทธ์สี่ดาวไม่นาน แต่การเดินทางไปป่าสัตว์อสูรครั้งนี้ พลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ในร่างกายเขาดูเหมือนจะได้รับการกระตุ้นจากอะไรบางอย่าง ถึงกับมีสัญญาณร่องรอยของการทะลวงด่าน
จ้านอู๋มิ่งรีบกลับไปที่ห้องลับ ให้เสี่ยวอวิ๋นเตรียมโอสถน้ำสำหรับอาบ แต่ครั้งนี้จ้านอู๋มิ่งไม่ได้เข้าไปในถังโอสถ กลับเทโอสถเหลวลงภายในกระถางโอสถขนาดใหญ่สูงเท่าคนใบหนึ่งแทน ลากเครื่องจักรใต้ขาตั้งกระถางออก เปลวไฟร้อนจัดสุดเปรียบปานกลุ่มหนึ่งก็ห่อหุ้มกระถางโอสถไว้ทันที
จ้านอู๋มิ่งดึงกลีบดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ฟีนิกซ์์ห้ากลีบอย่างระมัดระวังแล้วโยนเข้าไป แล้วหยิบสมุนไพรอีกสองสามชนิดที่พบในแหวนของเจิ้งอวี้ฟูและจี้เซี่ยงตงใส่เข้าไป
ผ่านไปเนิ่นนาน กลิ่นหอมสดใสจางๆ โชยมาจากกลางกระถาง จ้านอู๋มิ่งตัวเปลือยเปล่าะโลงไปกลางกระถางขนาดใหญ่ “บูมมม” ฝาปิดกระถางปิดครอบลง มองไม่เห็นอุณหภูมิสูงภายในกระถาง คนทั้งตัวแช่อยู่ภายในนั้น
ฤทธิ์โอสถเข้มข้นรุนแรงสุดเปรียบปานพุ่งเข้าใส่ร่างจ้านอู๋มิ่งดุจดั่งัเพลิงตัวหนึ่ง ชะล้างเส้นชีพจรทุกเส้นของจ้านอู๋มิ่ง กลั่นผันแปรกล้ามเนื้อทุกส่วนและกระดูกทุกชิ้นตลอดเวลา ร่างกายทั้งตัวเหมือนกำลังถูกแผดเผาก็มิปาน ในห้วงคำนึง จ้านอู๋มิ่งมีวิธีการฝึกปรือบ่มเพาะพลังคัมภีร์ "เคล็ดวิชาจักรพรรดิเหมันต์" แวบผ่านเข้ามา ท่ามกลางความมืดััได้ถึงความหนาวเย็นสุดขั้ว กระตุ้นเร่งเร้าเม็ดโอสถเคลื่อนช้าๆ ภายในร่างกาย กลั่นผันแปรร่างกายตลอดเวลา หันทิศทางไปทางความร้อน
จ้านอู๋มิ่งคร่ำครวญด้วยความเ็ปคราหนึ่ง ความเ็ปจากน้ำแข็งและเพลิงสองชั้นฟ้ากระตุ้นให้ทุกอณูในร่างกายตื่นตัวขึ้นมา เส้นทางแห่งการฝึกฌานบ่มเพาะพลังชีวิต[1] ช่างเ็ปทรมานแสนสาหัส ต้องมีปณิธานเจตจำนง ใช้ความเพียรมุ่งมั่นเหนือคนธรรมดา อดทนต่อความเ็ปของร่างกายและจิตใจที่ถูกขัดเกลา จ้านอู๋มิ่งมิเพียงแค่กลั่นผันแปรขัดเกลากระดูกและกล้ามเนื้ออย่างง่ายๆ เท่านั้น แต่ยังใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ของดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ฟีนิกซ์์ รวบรวมวิธีการฝึกฌานบ่มเพาะพลังชีวิตของ "คัมภีร์เทพอนัตตา" และการฝึกฌานบ่มเพาะพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ของ "เคล็ดวิชาจักรพรรดิเหมันต์" หลอมรวมเข้าด้วยกัน
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน พลังเย็นะเืและพลังโอสถดุจดั่งัเพลิงในที่สุดก็มาหลอมรวมกันในจุดตันเถียน “บูมมม…” พลังน้ำแข็งและเปลวเพลิงกัน พลังแห่งการทำลายล้างดังเช่นูเาไฟะเิ ลุกลามกระจายอยู่ในจุดตันเถียน พลังทำลายล้างอันมหาศาลได้ทำลายจุดตันเถียนของจ้านอู๋มิ่งะเิกลายเป็ชิ้นๆ จ้านอู๋มิ่งควบคุมจิตสมาธิยากลำบากยิ่งขึ้น ก่อนที่สำนึกจิตใจจะว้าวุ่นสับสน รีบหยิบหินอัคคีิญญาที่เตรียมไว้ก่อนหน้าออกมากว่าสิบก้อน จากนั้นก็สิ้นสติไป พลังของความเย็นและความร้อนกลับไม่ได้กระจายสลายไป
ห้องลับในหอโอสถของตระกูลจ้านเดิมเป็ห้องโอสถ แม้ว่าเปลวเพลิงใต้กระถางั์จะเทียบไม่ได้กับเปลวเพลิงใจกลางโลก แต่ก็เป็เพลิงปฐี จ้านอู๋มิ่งขว้างหินอัคคีิญญาแห่งเพลิงมากกว่าสิบก้อนออกไป ผนวกกับดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ฟีนิกซ์์ยังเป็วัตถุศักดิ์สิทธิ์ธาตุอัคคี พลันพลังิญญาแห่งธาตุไฟของฟ้าดินถูกหลอมรวมเข้าด้วยกันทันที
[1] มิ่งซิว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้