เขาพาคนเอาเครื่องเรือนชุดแรกมาส่ง แล้วจึงขึ้นเขาไปหาเสี่ยวหมี่
อีกไม่นานสองครอบครัวก็จะเกี่ยวดองกันแล้ว บิดาลู่จึงคิดว่าไม่ต้องเกรงอกเกรงใจอะไรกันให้มากมาย เมื่อได้ยินเขาบอกว่ามาหาเสี่ยวหมี่ ก็ไม่สนใจอีกแล้วกลับเข้าห้องไปพลิกอ่านตำราโบราณของตน
เพราะอีกสิบกว่าวันก็จะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว เดิมเสี่ยวหมี่ี้เี จึงคิดจะไปสั่งซื้อเอาที่ร้านค้าในเมือง เพื่อใช้สำหรับมอบให้กับญาติมิตรใน่เทศกาล
คิดไม่ถึงว่าที่แคว้นต้าหยวนนี้จะไม่มีขนมไหว้พระจันทร์ หรือพูดให้ถูกก็คือเป็ขนมไหว้พระจันทร์ในแบบของพวกเขา คือมีลักษณะเป็แป้งทรงกลมสีขาว ด้านในสอดไส้พวกน้ำตาลเชื่อม ทั้งไม่น่าดูและไม่น่ากิน
เช่นนี้เอง นางจึงต้องใช้แรงคนทำเตาสำหรับอบขนมไหว้พระจันทร์
เมื่อคืนนี้กุ้ยจือเอ๋อร์ให้กำเนิดลูกชายตัวอ้วนกลม ถึงแม้จะไม่สมดังปรารถนาที่อยากได้ทั้งลูกสาวลูกชายเพื่อให้คล้องกับคำว่าดี [1] แต่มีลูกชายเยอะก็วาสนาเยอะตามไปด้วย คนสกุลหลิวก็ยินดีไม่น้อย
บุตรชายคนโตสกุลหลิวเดินมาแจ้งข่าวดี จึงถูกพี่ใหญ่ลู่ลากตัวมาช่วยสร้างเตาเสียเลย
พี่ใหญ่ลู่รักน้องหญิงของตนอย่างยิ่ง ไม่ว่านางอยากได้อะไรก็หาให้ บอกให้ทำอะไรก็ทำทั้งสิ้น แต่ถึงกระนั้นก็อดจะปวดหัวเพราะความคิดอันไม่เหมือนใครของน้องหญิงไม่ได้ ให้เขาออกแรงทำงานหนักนั้นไม่เป็ปัญหา แต่งานสร้างพวกนี้ต้องใช้ฝีมือ ซึ่งเขาไม่มี
ดีที่หลิวต้าสือมาพอดี เฝิงเจี่ยนเองก็ถอดเสื้อคลุมตัวยาวเข้ามาช่วยเช่นกัน
ส่วนพี่รองลู่อาศัยข้ออ้างว่าจะไปจับกวางจึงหายตัวไปไม่เห็นเงา ส่วนพี่สามลู่พาสหายจะกละทั้งสองลงไปคุมงานก่อสร้างที่ตีนเขา
เพราะพวกเขาลาหยุดฤดูใบไม้ร่วงมาได้สิบวัน ต้องกลับไปก่อนเทศกาลไหว้พระจันทร์ จึงอยากรีบสร้างให้เสร็จก่อนที่ตนจะกลับสำนักศึกษาไป
ส่วนเฉิงจื่อเหิงกับหลิวปู๋ชี่เองก็เรียกได้ว่าเต็มที่เสียยิ่งกว่าพี่สามลู่ เพื่อว่าในอนาคตพวกเขาจะได้ส่วนแบ่งของอร่อยจากสกุลลู่อีกเยอะๆ บางครั้งถึงขนาดคิดจะพับขากางเกงลงไปช่วยพวกนายช่างก่อสร้างเสียเลยด้วยซ้ำ ทำให้บรรดานายช่างทั้งใทั้งซาบซึ้ง
เมื่อเถ้าแก่เฉินมาหา เสี่ยวหมี่จึงปล่อยให้พวกผู้ชายต่อสู้กับเตาอบต่อไป ส่วนนางวิ่งออกมาต้อนรับแขกด้วยรอยยิ้ม “ท่านลุงเฉิน ท่านเอาเครื่องเรือนมาส่งหรือเ้าคะ?”
“ใช่แล้ว” เถ้าแก่เฉินคลี่ยิ้มพลางชี้ไปทางชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งที่กำลังหัวหมุนอยู่ที่มุมหนึ่งของเรือนพลางเอ่ยถาม “เ้ากำลังจะทำของแปลกใหม่อะไรอีกแล้วหรือ”
“อา ไม่ใช่อะไรหรอกเ้าค่ะ เพียงแต่ว่าขนมไหว้พระจันทร์ที่ขายอยู่ในเมืองไม่อร่อย ข้าตั้งใจจะอบด้วยตัวเอง”
เสี่ยวหมี่ตอบด้วยรอยยิ้ม ทำเอาเถ้าแก่เฉินลูบเคราเอ่ยหยอกล้อ “เช่นนั้นหากอบเสร็จแล้วอย่าลืมตาแก่อย่างข้าด้วยเล่า ฝีมือของเ้า ร้านขายขนมในเมืองพวกนั้นสู้ไม่ได้สักนิด”
“แน่นอนเ้าค่ะ ต้องส่งไปให้พวกท่านลุงได้ชิม จะขาดใครก็ได้แต่จะขาดพวกท่านไปไม่ได้ ข้ายังคาดหวังจะให้ท่านส่งพี่เยว่เซียนมาแต่งเข้าบ้านเราอย่างวางใจ แล้วจะได้มีคนมาช่วยแบ่งเบาภาระในบ้านกับข้า ่นี้ข้าแทบจะมีผมหงอกงอกออกมาแล้ว”
เสี่ยวหมี่ปากหวานทำเอาเถ้าแก่เฉินถูกอกถูกใจยิ่งนัก
แต่เขาก็ยังไม่ลืมเื่สำคัญ เขาจิบชาพลางเอ่ยว่า “เสี่ยวหมี่ อากาศเย็นลงแล้ว อีกไม่นานก็จะไม่มีผักสดให้กินกันแล้ว เพิงผักบ้านเ้าสมควรเปิดใช้งานอีกครั้งแล้วหรือไม่?”
เสี่ยวหมี่รู้สึกผิดเล็กน้อย นางลืมเื่สำคัญนี้ไปได้อย่างไร
แต่นางก็มีเหตุผลของนาง คิดได้ดังนั้นก็เอ่ยว่า “ท่านลุง จะตั้งเพิงผักขึ้นมาใหม่ตอนนี้ยังเร็วไปเ้าค่ะ แต่ก็สามารถเริ่มเตรียมการได้แล้ว สองสามวันนี้ข้าน่าจะปรึกษากับท่านลุงท่านอาในหมู่บ้านเพื่อสร้างเรือนเพาะชำหลังใหม่ แต่คิดว่าผ้าทะเลคงไม่พอ ทางท่านก็ช่วยจัดการให้หน่อยนะเ้าคะ”
“เื่นี้ไม่ยาก ข้าส่งจดหมายไปให้ซิ่นเกอร์แล้ว ถึงแม้ราคาผ้าทะเลจะสูงขึ้นมาก แต่ก็ไม่นับว่ายากลำบากอะไร”
“ท่านลุงคิดไว้แล้วหรือยังเ้าคะว่าปีนี้ควรจะปลูกอะไร”
สองคนในเรือนกำลังสนทนากันอย่างออกรส พวกหนุ่มๆ ข้างนอกก็กำลังยุ่งเช่นกัน เมื่อคนสกุลหลิวเห็นว่าคุณพ่อมือใหม่ไม่กลับไปเสียที จึงให้เสี่ยวเตามาตาม ก่อนหน้านี้ที่เสี่ยวเตาาเ็เป็แค่าแภายนอกเท่านั้น เมื่อไข้ลด พักรักษาตัวอีกไม่กี่วันก็กลับมาะโโลดเต้นได้แล้ว
บางทีอาจเพราะเขาคิดได้แล้ว ครั้งนี้เมื่อมาที่บ้านสกุลลู่จึงไม่ได้รู้สึกกระอักกระอ่วนแต่อย่างใด เขายิ้มแย้มทักทายทุกคน แล้วจึงสลับตัวกับพี่ชายมาช่วยทำงานแทน ไม่มีท่าทีขัดเขินแม้แต่น้อย
เสี่ยวหมี่เดินไปส่งท่านลุงเฉินที่ไม่ยอมอยู่กินข้าวด้วยกัน จึงได้รับท่านป้าเจียงที่พาแม่นางน้อยสองคนมาช่วยงานด้วยกลับเข้าไปในบ้านพอดี
แม่นางน้อยคนหนึ่งเป็บุตรสาวคนเล็กของท่านป้าเจียงนามว่า เหอฮัว อีกคนเป็บุตรสาวคนโตสกุลกัวบ้านข้างๆ ท่านป้าเจียงนามว่าล่าเหมย ต่างมีอายุพอๆ กับเสี่ยวหมี่ ยามปกติมักจะทำงานเย็บปักอยู่ที่บ้านไม่ค่อยออกมาข้างนอกเท่าใดนัก
ั้แ่เสี่ยวหมี่กลายมาเป็คนจัดการดูแลสกุลลู่ คนในหมู่บ้านต่างพากันอิจฉา จึงยอมให้บุตรสาวของตนไปมาหาสู่กับนาง เผื่อจะพอได้เรียนรู้อะไรจากนางมาสักนิดก็ยังดี วันหน้าแต่งออกไปแล้วจะได้มีชีวิตดีๆ กับเขา
เมื่อได้ยินว่าเสี่ยวหมี่จะอบขนม ้าคนช่วย ท่านป้าเจียงจึงรีบพาบุตรสาวคนเล็กของนางและแม่นางน้อยบ้านข้างๆ มาทันที
นับว่าใครดีใครได้ก็แล้วกัน แต่สำหรับเสี่ยวหมี่นั้นไม่ว่าใครนางก็ต้อนรับทั้งสิ้น
คนในหุบเขาหมีตกลงกันเป็ที่แน่ชัดแล้วว่า ไม่ว่าสกุลลู่จะมีของแปลกใหม่อะไรออกมา จะไม่เอาไปพูดต่อ ให้เก็บเป็ความลับแค่เฉพาะพวกเขาคนในหมู่บ้านเท่านั้น
ชาติก่อน เสี่ยวหมี่เคยทำงานเป็พนักงานชั่วคราวที่ครัวขนมปังมาก่อน นางเหนื่อยแทบตาย จึงนับว่าได้ฝีมือติดตัวมาด้วย
ในยุคนี้ไม่มีสารต่างๆ ที่ใช้กันในปัจจุบัน รวมถึงเครื่องทุ่นแรงใดๆ ด้วย แต่ก็มีข้อดีคือวัตถุดิบทำจากธรรมชาติทั้งสิ้น ปลอดภัยสบายใจทั้งคนกินและคนทำ ถึงไม่ต้องปรุงแต่งจนรสชาติจัดจ้าน ก็ยังอร่อยแบบธรรมชาติ
ขนมไหว้พระจันทร์ครั้งนี้นางตั้งใจจะทำทั้งหมดสี่ไส้คือ พุทรากวน ถั่วกวน ธัญพืชห้าสีและไส้เนื้อ สามไส้แรกต้องใช้เวลาและลงแรงในการทำมากหน่อยแต่ไส้ที่สี่นั้นเรียบง่าย
ตอนที่ไป๋ซื่อยังอยู่ นางรักถนอมบุตรสาวมากเกินไป ให้เสี่ยวหมี่เย็บปักถักร้อยอ่านตำราอยู่แต่ในบ้าน น้อยนักที่จะได้ออกไปเล่นกับแม่นางคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน พวกเด็กผู้หญิงในหมู่บ้านจึงไม่ค่อยสนิทสนมกับเสี่ยวหมี่และสนใจใคร่รู้ในตัวนาง
ยามนี้เหอฮัวและล่าเหมยเองก็เช่นกัน พวกนางมือช่วยท่านป้าเจียงอย่างขยันขันแข็งแต่สายตาอดเหล่มองเสี่ยวหมี่เป็ระยะไม่ได้
เสี่ยวหมี่จึงแกล้งหยอกพวกนาง อาศัยจังหวะที่พวกนางลอบมองหันศีรษะกลับมาสบตาทันที ทำให้แม่นางน้อยสองคนใจนเกือบจะโยนของในมือทิ้ง
เสี่ยวหมี่หัวเราะเสียงดัง ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตาทำให้เห็นกำไลสองวงที่ซ่อนอยู่ด้านใน เฝิงเจี่ยนที่นั่งพักอยู่ได้ยินเสียงก็หันมองด้วยสายตาอ่อนหวาน
ในที่สุดเตาอิฐของพวกเขาก็เสร็จสิ้น ทดลองใส่ฟืนเข้าไปไม่นานก็มีควันขาวลอยขึ้นมา
เสี่ยวหมี่กลัวจะเสียของ นางจึงเอาขนมไหว้พระจันทร์ไส้เนื้อชุดแรกไปอบเพียงแค่สิบสองชิ้น แล้วก็ไม่ผิดคาด เนื่องจากยังควบคุมไฟได้ไม่ดี ขนมไหว้พระจันทร์ชุดแรกจึงออกมามีสภาพเหมือนลูกศิษย์ท่านเปาก็ไม่ปาน ดำจนทำให้คนใ
เมื่อบิออกดูถึงพบว่ามันไหม้แค่แป้งชั้นนอกเท่านั้น เนื้อแป้งด้านในและไส้ยังหอมหวานอร่อยดี
เกาเหรินและซูอีที่ได้กลิ่นหอมรีบวิ่งเข้ามาทันที พวกเขาไม่สนใจอะไรมากแม้แต่ส่วนที่ไหม้ก็กินเข้าไปจนหมด
เสี่ยวหมี่มีประสบการณ์แล้ว ขนมชุดที่สองที่ออกจากเตาจึงประสบความสำเร็จเป็อย่างมาก
ด้านนอกเป็สีทองอร่าม เมื่อแสงอาทิตย์อ่อนๆ ในฤดูใบไม้ผลิตกกระทบก็ยิ่งน่าทานขึ้นไปอีก ใครเห็นก็ต้องน้ำลายสอ
ขนมไหว้พระจันทร์ชุดนี้มีถึงยี่สิบกว่าชิ้น ถูกแย่งกันจนหมดเกลี้ยง แม้แต่พวกเด็กๆ ที่แบกดินมาส่งยังต้องแบ่งกันสองคนต่อหนึ่งชิ้น
อาหารเที่ยงของสกุลลู่ก็ถือว่างดไป เปลี่ยนมากินขนมไหว้พระจันทร์เป็อาหารหลักแทน
อาจเพราะรสชาติของขนมไหว้พระจันทร์เป็ที่เล่าลือออกไป และอาจเพราะเหอฮัวกับล่าเหมยออกไปอวดอ้าง ยามบ่ายเมื่อถึงเวลาทำงานอีกครั้ง ที่ลานบ้านสกุลลู่จึงมีแม่นางน้อยในหุบเขาหมีประมาณสิบสองสิบสามคนยืนออกันอยู่
งานของเสี่ยวหมี่จึงถูกแย่งไปทำทั้งหมด มีท่านป้าเจียงเป็หัวหน้าแบ่งงานให้ทุกคน และมีเสี่ยวเตาคอยช่วยดูฟืนไฟอยู่ข้างเตา
เสี่ยวหมี่เห็นเช่นนี้ก็ยิ้มดีใจ นางจึงเข้าเมืองไปพร้อมกับเฝิงเจี่ยนเพื่อซื้อหาวัตถุดิบเพิ่มเติม ตั้งใจจะอบขนมไหว้พระจันทร์ให้มากหน่อย จะได้แจกจ่ายให้ทุกบ้านในหุบเขาหมี
ยุ่งอยู่เช่นนี้สองวัน สกุลลู่ก็อบขนมไหว้พระจันทร์ไปทั้งหมดหลายพันชิ้น เพื่อป้องกันไม่ให้หนูมาแอบกิน ทั้งหมดจึงถูกจัดวางอย่างเรียบร้อยในกล่องขนาดใหญ่หลายกล่องซึ่งวางไว้บนชั้นสูงที่เรือนหลัง
เสี่ยวหมี่เองก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่อาจารย์ทำขนมมากฝีมือในชาติก่อนก็เคยบอกว่าขนมไหว้พระจันทร์หากว่าอบเสร็จแล้วให้ตั้งทิ้งไว้สักสองสามวัน จะยิ่งอร่อยมากขึ้น
เกาเหรินอาสาจะเป็คนเฝ้าห้องเก็บขนมไหว้พระจันทร์เองอย่างแข็งขัน สุดท้ายก็ถูกเสี่ยวหมี่ลากตัวออกไป เพราะเขาน่ากลัวยิ่งกว่าหนูเสียอีก
เสี่ยวหมี่เห็นว่าเฝิงเจี่ยนเก็บตัวอยู่ในห้องไม่รู้กำลังเขียนอะไรอยู่ นางจึงลากเกาเหรินและซูอีที่ว่างงานอยู่ลงไปเดินเล่นที่ตีนเขา
เฉิงจื่อเหิงและหลิวปู๋ชี่ที่อยู่คุมงานก่อสร้างมาหลายวัน ตอนนี้แทบไม่มีกลิ่นอายคุณชายสูงศักดิ์หลงเหลืออยู่อีก พวกเขาสวมอาภรณ์เนื้อหยาบของพี่สามลู่ กำลังนั่งยองๆ ดื่มชาอยู่กับพวกนายช่างทั้งหลาย โรงเรือนหลังใหม่ที่พวกเขาสร้างก็เริ่มเป็รูปเป็ร่างแล้ว
เห็นเสี่ยวหมี่เดินมา นายช่างหม่าก็ลุกขึ้นต้อนรับด้วยรอยยิ้ม แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรก็มีคนแซงหน้าไปก่อน
“น้องเสี่ยวหมี่ เ้าดูสิ โรงเรือนนี่เป็อย่างไรบ้าง? ข้าจะบอกให้ ข้าลงแรงไปมากเลยนะ เหมือนสร้างด้วยสองมือข้าเองก็ไม่ปาน” เฉิงจื่อเหิงเห็นเสี่ยวหมี่มาถึงก็รีบโอ้อวดเต็มที่
หลิวปู๋ชี่ดึงเขาออกไป รีบโอ้อวดเช่นกัน “น้องเสี่ยวหมี่ข้าลงแรงมากกว่าเ้าจื่อเหิงมากนัก”
ทุกคนพากันหัวเราะกับความกวนของพวกเขาสองคน แน่นอนว่าเสี่ยวหมี่รู้ว่าสองคนนี้ทำงานเต็มที่ขนาดนี้เพื่ออะไร นางยิ้มเอ่ยว่า “ลำบากพี่ชายทั้งสองแล้ว เช้าวันที่สองที่พวกท่านมาถึง ข้าก็ได้เตรียมเนื้อเค็มตากแห้งไว้สิบกว่าไห รออีกสองสามวันเมื่อพวกท่านกลับไปสำนักศึกษาก็เอากลับไปด้วยสิเ้าคะ นอกจากนี้ยังมีขนมไหว้พระจันทร์อีกสองสามกล่อง หากว่าพี่ชายทั้งสองยัง้าสิ่งอื่นอีกก็บอกมาได้เลย ข้าจะต้องเตรียมให้อย่างแน่นอน”
“ฮ่าฮ่า แค่นี้ก็ดีมากแล้วๆ”
เฉิงจื่อเหิงและหลิวปู๋ชี่รู้สึกพอใจยิ่งนัก แล้วจึงคิดขึ้นได้ว่าเมื่อครู่เหมือนจะแสดงท่าทางเลียแข้งเลียขามากเกินไปหน่อย จึงกลับไปนั่งยองๆ ดื่มชาอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
พี่สามลู่เดินเข้ามาหาน้องหญิงของเขา เอ่ยอย่างปลงๆ ว่า “เหนื่อยแย่เลยนะเสี่ยวหมี่”
“ไม่เหนื่อยหรอกเ้าค่ะ ข้าดีใจมากที่พี่มีสหายเช่นนี้”
เสี่ยวหมี่กอดแขนพี่ชาย เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไปกันเถอะ พี่สาม ไปดูโรงเรือนแห่งแรกของบ้านเรากัน”
นายช่างหม่าจึงเข้ามาทำหน้าที่เป็คนพาสองพี่น้องสกุลลู่เข้าไปชมด้านใน
ตอนที่ตกลงกันก็ตัดสินใจไว้แล้วว่า งานหนักภายนอกเช่นการก่ออิฐนั้นให้คนงานของนายช่างหม่าเป็คนทำได้ แต่รายละเอียดด้านในจะมีแค่นายช่างหม่า พวกลู่เชียนทั้งสามคนและชาวบ้านในหมู่บ้านอีกแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ช่วยกัน