ขณะนั้นมีเสียงชราที่แฝงไปด้วยความน่าเกรงขามดังมาจากที่บางแห่ง แต่เมื่อคนตระกูลหนานกงได้ยินเสียงนี้ต่างก็นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย
“ท่านผู้เฒ่า เขามาแล้ว!” คนผู้หนึ่งกล่าวด้วยท่าทีตื่นเต้น
นาทีต่อมาผู้คนััได้ถึงแรงกดดันที่มาจากฟากฟ้า ก่อนจะมีเงาร่างชายชราผู้หนึ่งปรากฏตัวที่ลานประลอง เงาร่างนี้มีผมสีขาวทั้งหมด แต่กลับไม่พบรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า เขามองมาที่เย่เฟิงด้วยสายตาซับซ้อนเล็กน้อย คนผู้นี้ก็คือผู้เฒ่าหนานกง
“คารวะท่านผู้เฒ่า!” ผู้ฝึกยุทธ์ตระกูลหนานกงในที่แห่งนั้นเห็นผู้เฒ่ามาเยือนต่างก็คุกเข่าลงทำความเคารพผู้เฒ่า
“ลุกขึ้นเถิด!” ผู้เฒ่าโบกมือส่งสัญญาณให้กับเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ตระกูลหนานกง
หนานกงเฉินและปู่ใหญ่หนานกงเห็นผู้เฒ่าปรากฏตัวต่างก็รู้สึกเกินคาด และดูตื่นตระหนกเล็กน้อย
ขณะที่เย่เฟิงมองชายชราผมขาวปรากฏตัวที่ด้านหน้าตน สีหน้าของเขาก็ยังคงเรียบเฉย ในความทรงจำของเขา เขาเคยพบผู้เฒ่าหนานกงครั้งหนึ่ง แต่ไม่เคยสนทนาใด ๆ กับอีกฝ่าย
ผู้เฒ่านั้นมีฐานะสูงส่ง แม้จะเป็สายตรงของตระกูลหนานกง แต่ก็เข้าพบเขาได้ยาก ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงคนแซ่อื่นอย่างเย่เฟิง
“สหายน้อยเย่ ถือว่าเห็นแก่ข้า เ้าปล่อยตัวหลานชายคนนี้ของข้าจะได้หรือไม่?” ผู้เฒ่าหนานกงเห็นเย่เฟิงเงียบ จึงกล่าวพลางยิ้มเช่นนั้น
“เขาคิดอยากฆ่าข้าก่อน ผู้าุโคิดว่าแค่ลำพังคำพูดของท่านก็สามารถชดเชยความผิดของเขาได้แล้วงั้นหรือ?” เย่เฟิงกล่าว
“ไหนจะหนานกงเฉิน ปีนั้นไม่เพียงแต่หักหลังข้า แต่ยังเชื่อฟังตระกูลเฉินจึงพยายามฆ่าปิดปากข้า บัดนี้ข้ามาที่ตระกูลหนานกงก็เพื่อถามหาหนานกงอวี่ แต่เขาหนานกงเฉินกลับไม่สำนึกผิดและแก้ตัวใหม่ ซ้ำยังยุยงคนอื่นให้ลงมือจัดการข้า ผู้าุโว่าหนานกงเฉินมีความผิดอะไร?” เย่เฟิงกล่าวเสียงเย็นพร้อมกับเหลือบมองไปที่หนานกงเฉินด้วยสายตาเย็นเยือก
เขามาที่ตระกูลหนานกงเพื่อถามหาหนานกงอวี่ และมิได้คิดร้ายต่อหนานกงเฉิน แต่ท่าทีของตระกูลหนานกงกลับทำให้เย่เฟิงรู้สึกผิดหวัง ในเมื่ออีกฝ่ายคิดร้ายต่อเขาก่อน เช่นนั้นเขาเย่เฟิงจะเกรงใจไปไย? เขาจึงใช้โอกาสนี้ชำระล้างความแค้นในอดีตระหว่างเขากับหนานกงเฉิน
“เย่เฟิง เ้าโอหังมากไปแล้ว ยังไงข้าหนานกงเฉินก็เป็ผู้นำตระกูล ใช่เ้าที่ต้องสั่งสอนข้าั้แ่เมื่อใดกัน?”
คนตระกูลหนานกงได้ยินเช่นนั้นต่างก็ตะลึงงัน และนั่นทำให้หนานกงเฉินโต้กลับเช่นนั้นด้วยโทสะ
“ท่านพ่อ อย่าไปฟังคำไร้สาระของเ้าคนทรยศนี่ หากตอนนั้นเขาไม่ลอบทำร้ายหนานกงหลิงซวง ตระกูลหนานกงข้าจะถอนหมั้นไปไย? ข้า้าฆ่าเขาเพราะจะลงโทษที่เขาทำร้ายเฉินอ้าวเทียนก็เท่านั้น ส่วนเื่อื่นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้าเลยสักนิด” หนานกงเฉินกล่าวขณะมองผู้เฒ่าหนานกงที่อยู่ไม่ไกลออกไป เขาคิดปัดความผิดไปอย่างง่ายดายเพียงแค่กล่าวไม่กี่ประโยค
“ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าจัดการเื่นี้เอง” ผู้เฒ่าหนานกงได้ยินคำแก้ตัวของหนานกงเฉินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยคล้ายดูไม่พอใจ
ผู้คนเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นต่างก็คิดในใจเช่นนี้ “ท่านผู้เฒ่าออกท่องทัศนาจรทั่วหล้า บัดนี้ไม่รู้ว่าพลังของเขาอยู่ระดับไหนแล้ว? แต่เย่เฟิงผู้นี้ก็ยังกล้าถามหาความผิดของผู้นำตระกูลทั้งที่อยู่ต่อหน้าท่านผู้เฒ่า ช่างหยิ่งผยองยิ่งนัก ท่านผู้เฒ่าต้องพิโรธเป็แน่”
อย่างไรก็ตามขณะที่ผู้คนจำนวนมากคิดว่าผู้เฒ่าหนานกงต้องพิโรธ แต่กลับได้ยินผู้เฒ่าหนานกงพูดขึ้นว่า “เื่นี้ข้ายอมรับว่าเป็ความผิดของลูกข้า ข้าต้องขอโทษสหายน้อยเย่แทนลูกข้าด้วย หวังว่าสหายน้อยเย่จะเห็นแก่บุญคุณเก่าที่ตระกูลหนานกงข้ามีต่อเ้าให้อภัยลูกข้าสักครั้ง”
ผู้คนได้ยินเช่นนี้ต่างก็ตะลึงงัน พวกเขาไม่คิดว่าผู้เฒ่าหนานกงจะเกรงใจเย่เฟิงมากเพียงนี้
“ท่านพ่อ ท่านมีคุณธรรมและบารมีสูงส่ง ไยต้องพล่ามไร้สาระกับเ้าเด็กนี่? ในเมื่อเขากำเริบเสิบสาน ตระกูลหนานกงเราต้องระดมกำลังเพื่อแก้ไขปัญหาไม่ใช่หรือ?” หนานกงเฉินกล่าวโดยมีท่าทีไม่พอใจกับการกระทำของผู้เฒ่าหนานกง ตระกูลหนานกงเขาเป็ถึงหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองโยวโจว ย่อมมีไพ่ตายบางส่วนที่ยังไม่แสดงออกมา ผนวกกับการมาของผู้เฒ่า หนานกงเฉินมั่นใจว่ากำจัดเย่เฟิงได้อย่างแน่นอน
“หุบปากซะ! เ้ามีสิทธิ์อะไรมาพูดที่นี่?”
ทว่าทันทีที่สิ้นเสียงของหนานกงเฉินก็ได้ยินเสียงของผู้เฒ่าหนานกงดังขึ้น ทำให้หนานกงเฉินเผยสีหน้าไม่สู้ดี และไม่กล้าพูดอะไรอีก
ผู้เฒ่าหนานกงระบายยิ้มให้เย่เฟิง “สหายน้อยเย่ ลูกข้าไม่รู้ความ หวังว่าสหายน้อยจะไม่ตำหนิ ไม่ทราบว่าสหายน้อยจะให้อภัยลูกข้าสักครั้งได้หรือไม่?”
“ไม่สำนึกผิดเช่นนี้ เกรงว่าคงทำให้ผู้าุโต้องผิดหวังแล้ว” เย่เฟิงกล่าวเสียงกร้าว เขาไม่ใช่นักบุญที่จะเมตตาปรานีทุกคน หนานกงเฉินคิดอยากฆ่าเขาครั้งแล้วครั้งเล่า หากให้เย่เฟิงปล่อยอีกฝ่าย เกรงว่าเขาเย่เฟิงจะทำไม่ได้
“ข้าเข้าใจ แต่ในเมื่อข้าอยู่ที่นี่แล้ว ย่อม้าชิงโอกาสสักครั้งเพื่อลูกข้า”
ผู้เฒ่าหนานกงได้ยินคำพูดของเย่เฟิงก็เผยสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย จากนั้นกล่าวว่า “่นี้ข้ากำลังฝึกทักษะสองคนผสานโจมตี ทำให้พลังโจมตีเพิ่มพูนขึ้นระดับหนึ่ง หากสหายน้อยเย่สามารถเอาชนะทักษะผสานโจมตีนี้ได้ เช่นนั้นข้าจะยกลูกข้าและหลานชายให้สหายน้อยเย่จัดการ ไม่ทราบว่าสหายน้อยเย่จะเห็นด้วยหรือไม่?”
ดวงตาของผู้เฒ่าหนานกงเผยประกายแสงแห่งความมั่นใจ ครั้งนี้เขาไม่ได้กลับมาแค่คนเดียว แต่ยังมีสหายเขาที่ร่วมกันฝึกทักษะผสานโจมตีมาด้วยหนึ่งคน และอีกฝ่ายก็ยังมีพลังแกร่งกล้ากว่าเขามาก หากรวมพลังของพวกเขาสองคน ผู้เฒ่าหนานกงมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะเย่เฟิงได้ มีเพียงเช่นนี้ตระกูลหนานกงเขาจึงจะรอดพ้นจากภัยครั้งนี้ไปได้
ในที่แห่งนี้นอกจากหนานกงหลิงซวงแล้ว เกรงว่ามีเพียงผู้เฒ่าหนานกงที่รู้จักพลังของเย่เฟิงดีที่สุด การที่เอาชนะหลานชายเขาที่อยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 7 ได้ง่าย ๆ หากไม่ใช่ทักษะผสานโจมตี ผู้เฒ่าหนานกงย่อมไม่ใช่คู่มือของเย่เฟิง กระทั่งหนึ่งกระบวนท่าของเย่เฟิงก็อาจรับไม่ไหว
ผู้คนต่างจับตามองความเคลื่อนไหวของเย่เฟิงและผู้เฒ่าหนานกง ซึ่งพวกเขาไม่คาดคิดว่าผู้เฒ่าที่เป็ถึงผู้าุโระดับสูงจะเกรงใจเย่เฟิงมากถึงเพียงนี้ กระทั่งเป็ฝ่ายเสนอว่าจะใช้ทักษะผสานโจมตีเพื่อสู้กับเย่เฟิงก่อน
“ผู้ที่มากับท่านผู้เฒ่าต้องเป็ยอดฝีมือแน่ ทักษะผสานโจมตีของทั้งสองคงต้องทรงอานุภาพ เย่เฟิงผู้นั้นจะต้านทานได้หรือไม่ ข้าเดาว่าเย่เฟิงผู้นี้คงไม่กล้าตอบรับคำท้าเป็แน่” คนผู้หนึ่งกล่าวขึ้น โดยที่เขาคิดว่าเย่เฟิงจะถอนตัวเพราะคำพูดของผู้เฒ่าหนานกง ทว่าเย่เฟิงดูเหมือนจะไม่คิดเช่นนั้น “ได้!”
ผู้คนเห็นเย่เฟิงตอบรับคำท้าของผู้เฒ่าอย่างไม่ลังเลต่างก็พากันใอีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็คิดว่าครั้งนี้เย่เฟิงต้องแพ้อย่างแน่นอน และถูกผู้เฒ่าหนานกงสั่งสอน
“พี่เสิ่น ออกมายืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับข้า เพื่อแลกเปลี่ยนวิชากับสหายน้อยเย่” ผู้เฒ่าหนานกงได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นกล่าวกับอากาศธาตุ
“ฟึ่บ!”
นาทีต่อมาผู้คนเห็นว่ามีแสงกะพริบก่อนจะปรากฏเงาร่างหนึ่ง เงาร่างนี้คือชายชราที่มีอายุเท่าผู้เฒ่าหนานกง ซึ่งเขามีดวงตาเฉียบคมและดูน่าเกรงขาม เขามีนามว่าเสิ่นเหิง เป็เพื่อนรักของผู้เฒ่าหนานกง ทั้งยังเป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 8 แต่เขาติดอยู่ที่ระดับนี้มานานสิบปีแล้ว พลังของเสิ่นเหิงจึงเทียบเท่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 8 ทั่วไป
“พี่หนานกง เ้าอยากให้เราสองคนผนึกกำลังเพื่อจัดการเด็กคนเดียวงั้นหรือ?” เสิ่นเหิงเอ่ยถามผู้เฒ่าหนานกง พร้อมกับเหลือบมองไปที่เย่เฟิงด้วยสายตาดูแคลน ถึงอย่างไรเขาก็เป็ผู้าุโขั้นยุทธ์แท้ที่ 8 แต่จะเห็นเด็กรุ่นเยาว์ที่อายุไม่ถึง 17 ปีอย่างเย่เฟิงอยู่ในสายตาได้อย่างไร?
“ใช่” ผู้เฒ่าหนานกงพยักหน้าพร้อมกล่าวต่อว่า “พวกเราสองคนจะใช้ทักษะผสานโจมตี ถือซะว่าข้าติดหนี้พี่เสิ่นหนึ่งครั้ง”
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ งั้นข้าจะช่วยเ้าสักครั้ง”
เสิ่นเหิงเห็นความุ่งมั่นในดวงตาของผู้เฒ่าหนานกงก็ตอบกลับไปเช่นนั้น จากนั้นหันไปมองเย่เฟิงอีกครั้ง “เ้าหนู หากตอนที่เราสองสู้กับเ้าแล้วเผลอไปทำร้ายเ้า เ้าก็อย่าโทษเราสองคนว่ารุ่นใหญ่รังแกรุ่นเล็ก”
เย่เฟิงกวาดตามองร่างเสิ่นเหิงแวบหนึ่ง ด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม “ข้าเข้าใจแล้ว”
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ งั้นพวกเราเริ่มเลยเถอะ!” ผู้เฒ่าหนานกงกล่าวขึ้น
จากนั้นเย่เฟิงโยนร่างเซียวเลี่ยงออกไป เซียวเลี่ยงตกกระแทกพื้นอย่างแรงจนเขาต้องไออย่างรุนแรงหลายครั้ง ทั้งยังมองไปที่เย่เฟิงด้วยสายตาหวาดกลัว เมื่อครู่เซียวเลี่ยงรู้สึกว่าตัวเองเกือบเข้าใกล้ความตายแล้ว หากท่านตาไม่ปรากฏตัว เย่เฟิงอาจจะฆ่าเขาไปแล้วจริง ๆ
เย่เฟิงไม่ปรายตามองเซียวเลี่ยงแม้แต่นิดเดียว สำหรับเย่เฟิงแล้ว เซียวเลี่ยงก็เป็เพียงตัวตลกที่จะฆ่าหรือไม่ฆ่าก็เหมือน ๆ กันหมด
“ซินอี๋ เ้าหลบไปอยู่ข้าง ๆ ก่อน” เย่เฟิงหันไปกล่าวกับจ้าวซินอี๋
“อืม!” จ้าวซินอี๋เชื่อฟังเป็อย่างดีและพยักหน้าตอบกลับไป จากนั้นเดินหลบไปที่ข้าง ๆ
ซึ่งเย่เฟิงกลัวว่าตระกูลหนานกงจะทำให้จ้าวซินอี๋ลำบากใจ ในฐานะองค์หญิงแห่งอาณาจักรจ้าว พร์ด้านวรยุทธ์ของนางล้วนยอดเยี่ยม ตบะของนางก็ยังอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 2 มีพลังแกร่งกล้า ถึงอย่างนั้นในที่แห่งนี้มีเพียงตระกูลเซียวที่สามารถสร้างภัยคุกคามให้กับจ้าวซินอี๋ได้ แต่ตอนนี้เซียวจิ้นถูกเย่เฟิงทำลายตบะ เซียวเลี่ยงสูญเสียแขนหนึ่งข้าง ในสถานการณ์เช่นนี้ทั้งสองคนไม่มีทางทำร้ายจ้าวซินอี๋ได้ ดังนั้นเย่เฟิงจึงไม่ต้องคอยเป็พะวงกับความปลอดภัยของจ้าวซินอี๋
“เชิญ!” เย่เฟิงกล่าวขณะเอาสองมือไพล่หลังพลางมองผู้เฒ่าหนานกง และเสิ่นเหิง
“ข้าไม่อยากรังแกเด็ก งั้นเชิญเ้าก่อน!” เสิ่นเหิงกล่าวด้วยท่าทีหยิ่งผยอง เขามั่นใจว่าพลังของเขาสามารถจัดการเย่เฟิงได้แน่นอน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการรวมพลังกับผู้เฒ่าหนานกง
“เช่นนั้นท่านก็ระวังตัวด้วย!”
เย่เฟิงเห็นเสิ่นเหิงกล่าวเช่นนี้ก็ไม่คิดจะเกรงใจ เขาเดินออกมาหนึ่งก้าว แสงดาวห่อหุ้มร่าง พลันร่างกลายเป็เงาลวงตา ก่อนจะไปปรากฏตัวที่เบื้องหน้าของเสิ่นเหิงในเสี้ยววินาทีต่อมา พร้อมกับเหวี่ยงหมัดที่อัดแน่นไปด้วยพลังแห่งการทำลายล้างโจมตีออกไปอย่างไม่ลังเล นี่ทำให้เสิ่นเหิงใ คล้ายนึกไม่ถึงว่าเย่เฟิงจะว่องไวมากเพียงนี้ เขาจึงยกมือขึ้นป้องกันทันที
“ตูม!”
นาทีต่อมาผู้คนได้ยินเสียงะเิดังสนั่น รังสีหมัดของเย่เฟิงอัดกระแทกแขนของเสิ่นเหิงเต็มแรง จากนั้นพลังทำลายล้างปีนป่ายไปตามแขนของเสิ่นเหิง ซึ่งพลังเช่นนั้นแข็งแกร่งมาก จนเสิ่นเหิงรู้สึกราวกับมีหินก้อนใหญ่กระแทกร่างเขา จนร่างเขากระเด็นออกไปจนเกือบนอนกองไปกับพื้น
“แกร่งมาก! พลังโจมตีของเย่เฟิงผู้นี้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
ผู้คนในที่แห่งนั้นต่างรูม่านหดแคบลงเมื่อเห็นฉากนี้ พร้อมเผยสีหน้าเหลือเชื่อ พวกเขาไม่นึกว่าหมัดของเย่เฟิงจะทรงอานุภาพมากเพียงนี้
เสิ่นเหิงเผยสีหน้าไม่สู้ดีเล็กน้อย แขนของเขาต้องสั่นระริกเพราะการโจมตีของเย่เฟิง จากนั้นกล่าวเสียงเย็นว่า “เ้าหนู ไม่คิดเลยว่าเ้าจะมีฝีมือ”
“พี่หนานกง เ้ากับข้าสำแดงทักษะผสานโจมตี ข้าก็อยากดูว่าเ้าเด็กนี่จะแข็งแกร่งสักแค่ไหนเชียว?” เสิ่นเหิงหันไปพูดกับผู้เฒ่าหนานกง ผู้เฒ่าหนานกงก็พยักหน้าตอบรับ
จากนั้นเห็นพลังปราณพวยพุ่งออกจากร่างของพวกเขาสองคน แม้พลังปราณสองสายนี้จะมีพลังที่ต่างกัน แต่กลับเชื่อมโยงกันและกันได้
