สายตาของหรงซิว ทำเอาอวิ๋นอี้เขินอายไม่น้อย
นางจ้องไปที่เขา ชายหนุ่มถึงได้สะดุ้งได้สติ แล้วละสายตาออกไป
ท้องฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อยๆ มิรู้เป็เพราะเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันหรือไม่ ระหว่างทางกลับทั้งสามคนมิได้คุยกันอีกเลย
พวกเขามีความคิดต่างกันไป ทำให้ต่างคนต่างเงียบ
อวิ๋นอี้เอนพิงผนังรถ คราแรกนางหลับตาลงเฉยๆ ทว่าผู้ใดจะรู้ว่านางกลับหลับไปจริงๆ หัวของนางค่อยๆ เอนลงไปทีละนิด
หรงซิวที่จับตามองดูนางมาตลอด เห็นได้ในทันที จึงค่อยๆ เคลื่อนตัวไปทางสาวน้อยจากนั้นโอบนางไว้ในอ้อมกอด หัวของนางพิงลงที่ไหล่ของเขาพอดี
ท่าทางการนอนหลับสนิทของนางน่ารักมาก ตรงกันข้ามกับความสดใสของนางเมื่อครู่ คนหนึ่งนิ่ง คนหนึ่งร่าเริงไม่เข้ากันเลยสักนิด
ในรถม้าที่เงียบสงัด จู่ๆ ก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆ
หรงซิวเงยหน้าขึ้น ลู่จงเฉิงที่หัวเราะเบนหน้าหนีออกไป เหลือเพียงแผ่นหลังของเขา
เขาเม้มปาก ไม่พูดกระไร
คนรับใช้บังคับรถเก่งมาก รถม้าเร็วและมั่นคง สาวน้อยที่หลับไปฝันได้หลายเื่ทีเดียว ตอนที่นางถูกสะกิดเบาๆ ตื่นขึ้นช้าๆ ก็ต้องประหลาดใจที่พบว่านางมาถึงจวนแล้ว
อวิ๋นอี้ขยี้ตา มองหรงซิวอย่างสับสน มองขึ้นไปที่แผ่นป้ายโลหะขนาดใหญ่แล้วพึมพำ "มาถึงแล้วหรือเพคะ?”
พลบค่ำถูกย้อมด้วยความมืดมิด ทั้งใกล้และไกล จากสีอ่อนๆ เป็สีเข้ม ดวงดาวที่กระจัดกระจายและโดดเดี่ยวอยู่บนเหนือศีรษะ นางกระพริบตามองเขาตอนที่พูด ดวงดาราราวกับได้ตกลงไปอยู่ในดวงตาของนาง
หรงซิวหัวใจเต้นแรงอีกครา เขาตอบนางเบาๆ ว่า “ถึงแล้ว”
เขาเอื้อมมือไปคว้าข้อมือบางๆ ของนาง ค่อยๆ ดึงมาข้างกาย สาวน้อยเคลื่อนไหวช้าๆ เพิ่งตื่นจึงมีอารมณ์ไม่ดีนิดหน่อย
“ขอบคุณท่านมหาเสนาบดีลู่ที่ส่งเรากลับบ้านนะ” หรงซิวพูดอย่างสุภาพ
แน่นอนว่าเขาไม่ชอบลู่จงเฉิง และระมัดระวังทุกการเคลื่อนไหวของเขา แต่เขารู้ดีว่าหากเขาปฏิบัติตนเกินเลยไป จะทำให้สาวน้อยไม่พอใจ
เพื่อจะเป็ที่โปรดปรานของนาง เขาทำได้เพียงต้องทนแสดงไป
ลู่จงเฉิงที่มิได้ชอบหรงซิวเท่าใด เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ไม่เพียงจะไม่ตอบทว่ากลับไม่มองเขาด้วยซ้ำแต่ยิ้มให้อวิ๋นอี้ “พระชายาพ่ะย่ะค่ะ ข้าไปก่อน ค่อยเจอกันวันหลังนะพ่ะย่ะค่ะ”
“เ้าค่ะ” อวิ๋นอี้ยิ้ม พร้อมบอกเขาว่า "เดินทางปลอดภัยนะเ้าคะ”
ส่งพ่อนายทุนกลับไปด้วยความเคารพแล้ว พ่อบ้านก็ต้อนรับพวกเขากลับจวนอย่างอบอุ่น
ที่จวนเตรียมอาหารเย็นไว้นานแล้ว หลังจากตื่นนอนอวิ๋นอี้รู้สึกว่าท้องว่างจริงๆ พอได้ยินว่ามีปลานึ่งอร่อยๆ นางจึงบอกให้เริ่มทานข้าวก่อน!
ทำให้ท้องอิ่มสำคัญที่สุด!
การทานอาหารผ่านไปอย่างรวดเร็ว อวิ๋นอี้ทานจนอิ่ม แต่นางชอบทานทังปลามาก จึงไม่ยอมลุกจากโต๊ะอาหาร ยังคีบกับข้าวทานอยู่
หรงซิวรู้ความคิดของนาง จึงอยู่ทานข้าวกับนางราวกับว่าไม่มีกระไรเกิดขึ้นเพราะกลัวว่านางนั่งคนเดียวคงจะเขินมิน้อย
อวิ๋นอี้ที่ทานอิ่มแล้ว สมองก็พลันมีสติขึ้นมา นางคิดถึงเื่ซุบซิบที่ได้ยินตอนออกเดินทางเมื่อเช้า อดมิได้ที่จะมุ่ยปากขึ้น
“ฝ่าาจัดการกับพวกข่าวลือนั่นหรือยังเพคะ?”
ผู้ถูกถาม ได้ยินนางถามคำถามนี้ขึ้น เสียงสัญญาณเตือนในใจก็ดังขึ้น เขามองดูสตรีร่างเล็ก เห็นว่าสีหน้าของนางปกติ คงจะเป็เพราะถามไปงั้นๆ จึงได้โล่งใจ
เขาตอบอย่างครุ่นคิดว่า “ใช่ ข้าส่งคนไปจัดการแล้ว ข้าเข้าวังเมื่อวานนี้ ไทเฮาบอกว่าข่าวลือจะหยุดอยู่ที่ปราชญ์ [1] อีก่หนึ่งก็ไม่มีคนสนใจแล้ว คงไม่มีผู้ใดพูดแล้วล่ะ”
“สุดท้ายอย่างไรเสีย มันก็กระทบกับชื่อเสียงของแม่หญิงหว่านฉือ” อวิ๋นอี้แสร้งทำเป็ห่วงใย
หรงซิวส่ายหน้าซ้ำๆ “เื่นี้เป็ข้าเองที่ผิด ข้าขอโทษนาง ทว่าผลกระทบมันเกิดขึ้นแล้ว ข้าทำได้เพียงหาวิธีชดใช้ให้นาง โชคดีที่หว่านฉือมิใช่คนที่ใส่ใจชื่อเสียง”
“จริงหรือเพคะ?” อวิ๋นอี้เบิกตาขึ้นทันที ท่าทางเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม
นางใช้ช้อนตักทัง ยกขึ้นข้างริมฝีปากแล้วเป่าเบาๆ “เื่นี้...”
“เื่นี้เป็ข้าเองที่มิได้คิดให้รอบคอบ รู้เช่นนี้ข้าน่าจะฟังคำของเ้า ต่อไปข้าจะระวังให้มากจะจำไว้ว่าสตรีบุรุษจะสนิทสนมกันมิได้”
เขาพูดทุกอย่างที่อวิ๋นอี้อยากจะบอกไปแล้ว อวิ๋นอี้ทำได้เพียงกลอกตาขาว ชมเชยที่เขาจำได้เสียที
ทั้งสองคนคิดตรงกันว่า เื่ซุบซิบนี้น่าจะจบลงเช่นนี้แล้ว
สิ่งเดียวที่้าคือเวลา
ความทรงจำของผู้คนนั้นเปราะบาง ตราบที่มีเื่ใหม่เกิดขึ้นในเมืองหลวง พวกเขาจะลืมเหตุการณ์นี้ไปอย่างรวดเร็ว
อวิ๋นอี้บอกหรงซิวว่า "หากเรามิอยากเข้าไปยืนในกระแสลมปากแหลมคม [2] อีก เพลาๆ หน่อยเถิดเพคะ"
“ใช่ ใช่ เมียจ๋าพูดถูก”
ทว่าผู้ใดจะรู้ว่าพวกเขาเพิ่งจะพูดกันจบ เด็กรับใช้จากทางประตูก็วิ่งเข้ามาด้วยอาการหอบ
“ฝ่าา! ฝ่าาพ่ะย่ะค่ะ!” คนรับใช้หายใจหอบ สีหน้าของเขาเคร่งเครียดมาก "เกิดเื่แล้วพ่ะย่ะค่ะ!"
หรงซิวและอวิ๋นอี้มองหน้ากันและถามว่า "เกิดกระไรขึ้น ? เ้าพูดให้ชัดเจนสิ!"
“หว่านฉือ! ท่านหญิงหว่านฉือฆ่าตัวตายพ่ะย่ะค่ะ!”
หรงซิวใ สีหน้าเคร่งขรึม เสียของเขาทุ้มต่ำ ดูลึกล้ำขึ้นในคืนมืดมิด “เป็อย่างไรกันแน่! พูดมาให้ละเอียด!”
คนใช้ชะงักเมื่อถูกถามว่า “ข้าน้อย…ข้ามิรู้พ่ะย่ะค่ะ! เพียงแต่ว่าเป็รับสั่งจากทางไทเฮา ให้ท่านไปที่จวนท่านหญิงหว่านฉือ! ได้ยินว่า... ได้ยินว่าท่านหญิงหว่านฉือะโน้ำ!”
หรงซิวหงุดหงิดสุดๆ เขาหายใจเข้าลึกๆ บอกว่าเข้าใจแล้ว จากนั้นจึงมองไปที่อวิ๋นอี้
มีเื่ไม่หยุดไม่หย่อน
เดิมคิดว่าเื่มันจะจบไปแล้ว ผู้ใดจะคิดว่ามีเื่ฆ่าตัวตายมาอีก
หรงซิวขยับมุมปาก พูดไม่ออก กลับได้ยินเสียงของสตรีสาวร่างเล็กพูด "ไปเถิดเพคะ รับสั่งของไทเฮา จะขัดมิได้"
"ข้า... "
อวิ๋นอี้สีหน้าเ็า ผิวขาวดูเรียบเนียนและอ่อนนุ่มขึ้นเมื่อต้องแสง
นางเหลือบมองมือเขา แล้วสะบัดออกไปเบาๆ เมื่อเห็นว่าเขายังไม่ออกไปก็รีบพูด "ยังไม่ไปอีกหรือ?"
หรงซิวยืนนิ่งไม่ขยับ เมื่อเห็นนางกำลังจะจากไป จู่ๆ ก็คว้าตัวนางไว้ ดึงนางกลับเข้าไปในอ้อมแขนของเขาอีกครั้ง
เสียงของเขาอบอุ่น "เ้าไปกับข้าเถิด"
หรงซิวและอวิ๋นอี้นั่งรถม้ามาถึงจวนของหว่านฉือ นี่เป็ครั้งแรกที่อวิ๋นอี้มา ทว่านางไม่มีกะจิตกะใจชื่นชมบรรยากาศ ภายใต้การนำทาง ก็เดินผ่านศาลาเข้าไปไปถึงเรือนด้านหลัง
เรือนด้านหลังมีห้องอยู่เรียงกัน หนึ่งห้องในนั้นมีหมอยืนอยู่เต็มไปหมด คงจะเป็ห้องของหว่านฉือเป็แน่
ยังไม่ทันที่จะเข้าไปก็ได้ยินเสียงความโกลาหลอยู่ข้างใน
มีทั้งเสียงร้องไห้ เสียงทะเลาะวิวาท ทั้งเสียงปรึกษากัน
อวิ๋นอี้ขมวดคิ้ว มองเห็นแม่นมที่คุ้นตาไม่กี่คน รู้ว่าไทเฮาต้องมาถึงแล้ว นางคิดในใจ ดูเหมือนว่าไทเฮาจะรักและเอ็นดูหว่านฉือมาก
เื่ใหญ่ตอนนี้คือ หว่านฉือฆ่าตัวตาย เพียงคิดก็รู้ว่าต้องเป็เพราะข่าวลือพวกนั้นแน่
ไทเฮาจะทำอย่างไรกัน?
ในขณะที่คิดมากอยู่นั้นก็มาถึงประตู พวกแม่นมเห็นหรงซิว จึงเข้าไปรายงาน ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงของไทเฮา "มัวทำกระไรอยู่ข้างนอกนั่น? เข้ามาหาข้าเดี๋ยวนี้!"
หรงซิวตอบเสียงดัง “พ่ะย่ะค่ะ”
เขาก้าวเข้าไป อวิ๋นอี้ถอยออกมา ทว่าความตั้งใจของนางต้องล้มเหลว บุรุษหนุ่มคว้าข้อมือนางแล้วพาเข้าไปพร้อมกัน
ตายแน่ ตายแน่
อวิ๋นอี้คิดในใจ หากว่าไทเฮาเห็นนาง คงจะอยากถลกหนังนางออกมาระบายความโกรธแน่!
เชิงอรรถ
[1] ข่าวลือจะหยุดที่ปราชญ์ 流言止于智者 หมายถึง คนที่มีความคิดจะไม่พูดต่อข่าวลือ
[2] กระแสลมปากแหลมคม 风口浪尖 หมายถึง การโดนวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมที่โหดร้าย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้