สาวใช้ผู้งดงามทั้งสองเดินนำหลัวเลี่ยเข้าไปในเรือนพเนจร
เรือนพเนจรนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดของโลกแห่งภพจิตั ในแง่ของทำเลที่ตั้ง แม้แต่หอเซียวเหยา หอการค้าฟ้านเทียน และร้านค้าอื่นๆ ในภพจิตัก็ไม่ได้อยู่ในทำเลที่ดีเช่นนี้
ด้านข้างทั้งสองด้านของเรือนพเนจรล้วนเป็ของเชื้อพระวงศ์จากสองอาณาจักรใหญ่ หรือเป็ของตระกูลใหญ่
เรือนพเนจรมีขนาดใหญ่มาก และมีสถานที่ที่พิเศษอยู่สองแห่ง
หนึ่งคือห้องสมุด ซึ่งเต็มไปด้วยหนังสือ มีทั้งตำรายุทธ์ เื่เล่าตำนานของดินแดนเหยียนหวง และความรู้ในเื่สมบัติต่างๆ
อีกหนึ่งหนึ่งคือห้องฝึกยุทธ์ซึ่งใช้ในการฝึกฝนวรยุทธ์
เหตุผลที่สถานที่ทั้งสองแห่งนี้มีความพิเศษ ก็เพราะห้องทั้งสองถูกสร้างด้วยหินัจริงๆ
ลักษณะเฉพาะของหินั คือแม้แต่ผู้มีพลังวรยุทธ์ระดับสูงก็ไม่สามารถใช้พลังของพวกเขาเพื่อแอบดูสถานการณ์ภายในได้ ความพิเศษเช่นนี้จะทำให้หลัวเลี่ยสามารถฝึกฝนได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกเปิดเผยความลับ
หลี่เมิ่งและจุ้ยหลิว สาวใช้ทั้งสองคนจะอยู่ที่นี่ตลอด และจะไม่กลับสู่โลกแห่งความเป็จริง ดังนั้นหาก้าอะไรก็สามารถเรียกพวกนางได้ตลอดเวลา
เขาสั่งให้พวกนางออกไป
หลัวเลี่ยเข้าไปในห้องฝึกยุทธ์
เขาพบว่าหลิวหงเหยียนใช้ทุกวิถีทางเพื่อปกปิดตัวตนของ ‘มีัอยู่ในเป้า’ และนางก็พยายามอย่างมากเพื่อป้องกันไม่ให้หลัวเลี่ยถูกเปิดเผยตัวตน
ส่วนเหตุผลนั้นเขาไม่รู้
หลัวเลี่ยไม่คิดที่จะไปถามอะไรอีก เขารู้ว่าเมื่อถึงเวลาที่สามารถรับรู้ได้แล้ว หลิวหงเหยียนจะต้องบอกเขาอย่างแน่นอน อย่างน้อยการทำเช่นนี้ก็เพื่อประโยชน์ของเขาเอง เพราะเพียงแค่เื่ที่คนคนเดียวสามารถเข้าใจเคล็ดวิชามหาสรรพฟ้าดินได้สองประเภท ก็เพียงพอแล้วที่จะดึงดูดเทพทั้งหลายให้เข้ามาหาเขา
เขาไม่้าคิดมากเกี่ยวกับเื่นี้อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงทำความเข้าใจในวิชาดัชนีพลิกฟ้าต่อ
ใช้เวลาสองวันเต็มกว่าที่หลัวเลี่ยจะเข้าใจมันทั้งหมด ตอนนี้ความเข้าใจของเขาในวิชาดัชนีพลิกฟ้าไปถึงระดับเชี่ยวชาญแล้ว
อย่างไรก็ตาม เขาเพียงเข้าใจ แต่ยังไม่ได้ลงมือฝึกฝน
เหตุผลก็คือ หลังจากเข้าใจแล้ว หลัวเลี่ยค้นพบว่าการฝึกฝนวิชาดัชนีพลิกฟ้านั้นจำเป็ต้องมีสมรรถภาพทางกายและมีไอพลังในระดับที่สูงมาก
เนื่องจากวิชาดัชนีพลิกฟ้าเป็วิชายุทธ์ระดับสูง ไม่เพียงแต่การใช้พลังภายในเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการประสานงานทางกาย พลังที่ส่งออกมา และอื่นๆ ล้วนต้องมีระดับสูงและทำงานร่วมกันได้อย่างไม่ติดขัด
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสมรรถภาพทางกายของหลัวเลี่ยจะตรงตามข้อกำหนด แต่พลังทางวรยุทธ์ของเขายังต่ำเกินไป
ตามความคิดของเขา อย่างน้อยต้องมีพลังถึงระดับแก่น์ก่อนจึงจะสามารถฝึกวิชาดัชนีพลิกฟ้านี้ได้ และหากพูดถึงการพัฒนา ในระดับแก่น์อาจแสดงพลังออกได้มากที่สุดเพียงครึ่งหนึ่งของทั้งหมด หาก้าฝึกฝนและแสดงพลังออกมาทั้งหมด ผู้ที่ฝึกอาจจะต้องอยู่ในระดับวังชะตาแล้ว
ดังนั้นในตอนนี้วิชาดัชนีพลิกฟ้าก็นับว่าไร้ประโยชน์สำหรับเขาแล้ว
หลัวเลี่ยเข้าไปในห้องสมุดเพื่อหาความรู้อื่นต่อไป
ห้องสมุดมีขนาดใหญ่มาก และมีหนังสือมากมายนับไม่ถ้วน
เขาเริ่มอ่านจากเล่มแรกในแถวแรก
หลัวเลี่ยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะให้กับหนังสือเล่มแรกนี้ “คนที่รู้จักข้าดีที่สุดก็ยังคงเป็พี่หงเหยียน”
หนังสือเล่มนี้เป็เื่ของภพจิตั
ในที่สุดหลัวเลี่ยก็สามารถพูดได้แล้วว่า เขารู้จักโลกแห่งภพจิตั แม้เขากำลังค่อยๆ ทำความรู้จัก แต่มันก็ยังห่างไกลจากการเข้าใจทั้งหมด
หนังสือเล่มนี้แนะนำทุกอย่างในภพจิตัโดยละเอียด ไม่ว่าจะเป็กฎเฉพาะของภพจิตั หรือสถานที่ที่ดูเหมือนจะรุ่งเรืองแห่งนี้ ตลอดจนความลับที่ซ่อนอยู่มากมาย ทั้งหมดได้รวมไว้ในหนังสือเล่มนี้แล้ว
มีกระทั่งความรู้พื้นฐาน เช่นโรคที่ต่อให้เป็นักเวทระดับสูงก็ไม่อาจรักษาได้ หรือทำเนียบผู้ฝึกตนจากการประลองแห่งลานประลองั
โรคที่ต่อให้เป็นักเวทระดับสูงก็ไม่อาจรักษาได้ หมายถึงโรคที่รักษายากหรืออาการาเ็พิเศษ ที่แม้แต่นักเวทที่แข็งแกร่งที่สุดก็ไม่สามารถรักษาได้
ส่วนทำเนียบผู้ฝึกตนจากการประลองแห่งลานประลองันั้น มีชื่อ ‘มีัอยู่ในเป้า’ ถูกบันทึกไว้ด้วย แม้ว่าอันดับจะไม่สูงนัก แต่อัตราการชนะคือร้อยละร้อย ชื่อนี้จึงถูกทำเครื่องหมายด้วยสีพิเศษทำให้เป็ที่สะดุดตาเล็กน้อย
มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ถือได้ว่าเป็ความรู้ใหม่สำหรับหลัวเลี่ย
หลังจากอ่านหนังสือแนะนำโลกแห่งภพจิตัแล้ว เขาก็หาหนังสือเล่มใหม่ต่อ
หลังจากอ่านหนังสือจบไปทีละเล่ม ความรู้ของหลัวเลี่ยก็ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น เขาถึงกับสงสัยว่าหนังสือบางเล่มอาจเป็ของเผ่าั เพราะเนื้อหาที่เขียนถึงเผ่าันั้นละเอียดเกินไป
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยที่เขาไม่รู้ตัว
จนกระทั่งมีเสียงเคาะประตู
เสียงของจุ้ยหลิวดังขึ้นจากข้างนอกห้อง “นายท่าน”
“มีเื่อะไร” หลัวเลี่ยยังคงมองไปที่หนังสือและถามอย่างเป็กันเอง
“การประมูลของหอการค้าฟ้านเทียนใกล้จะจบแล้ว และหยาดจันทร์นิรวานถูกประมูลเป็ชิ้นสุดท้าย แต่ตอนนี้มีผู้ทรงพลังสองท่านประมูลหยาดจันทร์นิรวานด้วยราคาเท่ากัน ตามกฎแล้วจะตัดสินด้วยการประลองหนึ่งหมัดเ้าค่ะ” น้ำเสียงของจุ้ยหลิวไพเราะมาก
ก่อนหน้านี้หลัวเลี่ยได้บอกพวกนางไว้ว่า ในขณะที่เขาอยู่ในเรือนพเนจรนี้ หากมีผู้ที่ทรงพลังต่อสู้กันในลานประลองั ก็ให้พวกนางมาแจ้งเขาด้วย
การจะได้เห็นการสู้รบครั้งยิ่งใหญ่เป็สิ่งที่น่าดึงดูดใจสำหรับนักรบทุกคน
และสิ่งที่จุดชนวนให้เกิดการต่อสู้ในครั้งนี้ก็คือหยาดจันทร์นิรวาน เื่นี้ทำให้หลัวเลี่ยประหลาดใจ
เขาคิดไม่ถึงว่าไป๋หลี่ชางแห่งหอการค้าฟ้าเทียนจะเลือกให้เกิดการประมูลขึ้นที่นี่จริงๆ แต่มันก็มีเหตุผลที่สามารถเข้าใจได้ หลังจากคิดอีกครั้ง เขาก็คิดว่าไป๋หลี่ชางน่าจะอยากเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากหยาดจันทร์นิรวานให้มากที่สุด และหากเขาเลือกที่จะจัดงานประมูลขึ้นในสถานที่ที่เป็ศูนย์รวมของผู้ทรงพลังทั้งหลายในดินแดนเหยียนหวงแห่งนี้ ผลประโยชน์ที่ได้รับคงไม่น้อยเป็แน่
หลัวเลี่ยเดินออกจากห้องสมุด
ด้านนอกจุ้ยหลิวและหลี่เมิ่งได้นำหยกมาให้เขาชิ้นหนึ่ง
บนหยกมีลูกแก้วัอยู่ และลูกแก้วันี้ก็ได้ถ่ายทอดภาพเวทีประลองั เพื่อให้เขาได้เห็นการต่อสู้ของผู้ทรงพลัง
เนื่องจากทั้งคู่มีพลังมาก พวกเขาจึงสามารถปกปิดชื่อของพวกเขาได้ ซึ่งแตกต่างจากหลัวเลี่ย คือเมื่อใดก็ตามที่หลัวเลี่ยมาถึงโลกแห่งภพจิตั ก็จะมีคำว่า ‘มีัอยู่ในเป้า’ ปรากฏขึ้นบนหัวของเขา
หลี่เมิ่งกล่าวว่า “นายท่าน ข้าได้ไปสอบถามเกี่ยวกับประวัติของบุคคลสองท่านนี้มาแล้ว” นางชี้ไปที่คนทางซ้าย “ท่านนี้คือข่งเซวียน เป็บรรพชนแห่งข่งเชวี่ย” จากนั้นนางก็ชี้ไปที่อีกคน “อีกท่านหนึ่งคือวูอวิ๋นเซียน เป็บรรพชนผู้ก่อตั้งสำนักวูอวิ๋น และเป็คนที่มีพลังพิเศษอย่างมากเช่นกันเ้าค่ะ”
เมื่อเห็นว่าการวางตัวและความรู้ของหญิงสาวทั้งสองคนนั้นดูไม่ธรรมดา หลัวเลี่ยจึงถามว่า “เ้าสองคนคิดว่าอย่างไร ในหมู่พวกเขา ใครจะเป็ผู้ชนะ”
“หากความแข็งแกร่งของทั้งสองท่านเท่ากัน ด้วยความสามารถอันยิ่งใหญ่ของตระกูลข่ง จะทำให้ข่งเซวียนมีโอกาสชนะมากกว่าเล็กน้อยเ้าค่ะ” หลี่เมิ่งตอบ
“ทำไม” หลัวเลี่ยถาม
หลี่เมิ่งตอบ “ผู้ฝึกในระดับจักรพรรดิโบราณนั้นมีมากมาย ทว่าผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือท่านบรรพชนข่งเซวียนแห่งข่งเชวี่ย และผู้ที่สามารถประมือกับท่านได้ก็มีผู้ฝึกในระดับจักรพรรดิโบราณอีกสองท่าน นั่นก็คือท่านบรรพชนตัวเป่า และท่านบรรพชนวูอวิ๋นเซียน เป็ที่ทราบกันดีว่าทั้งสามท่านล้วนมีฝีมือที่ยอดเยี่ยมมาก”
จุ้ยหลิวกล่าวว่า “ลือกันว่าท่านบรรพชนตัวเป่าออกเดินทางไปทั่ว แทบจะไม่เคยมีใครเห็นท่านประลองด้วยซ้ำ ส่วนท่านบรรพชนวูอวิ๋นเซียนชื่นชอบการประมือกับผู้ฝึกยุทธ์ท่านอื่นมาก แถมยังชนะมากกว่าแพ้อีกด้วย แต่เมื่อท่านวูอวิ๋นเซียนได้ประมือกับท่านบรรพชนข่งเซวียน หากประมือสิบหน ท่านวูอวิ๋นเซียนก็จะแพ้ทั้งหมดสิบหน จนครั้งหนึ่งเคยมีคำกล่าวที่ว่า ท่านบรรพชนข่งเซวียนเชี่ยวชาญด้านการเอาชนะท่านบรรพชนวูอวิ๋นเซียน นอกจากนี้เมื่อศิษย์ของทั้งสองสำนักต่อสู้กัน ผู้ที่ชนะมากกว่าก็ยังคงเป็ศิษย์จากตระกูลข่ง จนต่อมามีคำกล่าวว่า ท่านบรรพชนข่งเซวียนได้สร้างเคล็ดวิชาที่ใช้ปราบเคล็ดวิชาของท่านวูอวิ๋นเซียนโดยเฉพาะ จึงกล่าวกันว่าความโชคร้ายของท่านวูอวิ๋นเซียนก็คือตระกูลข่ง”
หลัวเลี่ยอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองหญิงสาวที่มากความรู้ทั้งสองคน
ดูเหมือนว่าพวกนางจะได้รับการคัดเลือกมาอย่างดีจากหลิวหงเหยียน และความสามารถของพวกนางคงไม่ใช่แค่สาวใช้อย่างแน่นอน
ขณะเดียวกัน ในสนามประลองัที่แท้จริงก็มีลำแสงตกลงมาที่ผู้มีทรงพลังทั้งสองคนแล้ว ลำแสงนี้ลดระดับพลังของพวกเขาจนเหลือเพียงระดับสูงสุดของระดับทลายยุทธ์ นี่เป็กฎของสนามประลองั หากให้ผู้ประลองมีพลังระดับกายทองคำขึ้นไปมาประลองกัน อาจสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้กับสนามประลองั หรือแม้กระทั่งอาจทำให้โลกแห่งภพจิตัเสียหายเลยก็ว่าได้
ผู้ประลองทั้งสองไม่ได้พูดอะไรมาก พวกเขาทำเพียงเตรียมตัวประลองเท่านั้น
ดวงตาของหลัวเลี่ยเป็ประกายทันทีที่คนจากตระกูลข่งเริ่มเคลื่อนไหว
วิชายุทธ์ที่ท่านบรรพชนตระกูลข่งใช้ก็คือวิชามหาหลุนิ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้