“แต่ทำไมข้าถึงมักข่มอารมณ์ไว้ไม่ได้กันนะ”
ด้วยความที่กู้เหยาเป็น้องน้อยของพี่ๆ นางจึงถูกทุกคนรุมตามใจมาั้แ่เด็ก รวมถึงบิดาและนายหญิงเว่ยซื่อเองก็ดูว่าจะเอ็นดูและรักนางมากที่สุด “เ้าคิดเช่นนี้ได้ แสดงว่าเ้าโตแล้ว ข้าว่าต่อไปเ้าก็คงจะไม่หุนหันพลันแล่นเหมือนในวันนี้อีก”
กู้เหยาฝืนยิ้ม “มาคิดดูแล้ว ข้าว่าที่จริงแล้วพี่ใหญ่เป็คนดีมากเ้าค่ะ”
“ใช่ ข้าก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน”
กู้เหยาหัวเราะขันกับความหลงตัวเองของกู้เจิง “เมื่อก่อนเวลาที่ท่านแม่ตำหนิพี่ใหญ่ พี่ใหญ่ไม่เคยกล่าวโทษท่านแม่เลยหรือเ้าคะ?”
“ไม่เคย"
“ข้าไม่เชื่อหรอกเ้าค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นเคยก็ได้” กู้เจิงรีบกลับคำทันที
กู้เหยาเบ้ปาก “พี่ใหญ่ไม่บอกความจริงกับข้า”
“ข้าพูดความจริงแล้ว แต่เ้าไม่เชื่อเองต่างหาก” กู้เจิงอดขำไม่ได้ นางแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่มืดสลัว งานเลี้ยงคงใกล้เวลาจะเริ่มขึ้นแล้ว “เอาล่ะ ข้าไปที่ลานด้านหน้าก่อนนะ”
“พี่ใหญ่ ข้าขอไปกับท่านด้วยเ้าค่ะ ข้าไม่อยากเห็นองค์หญิงสิบเอ็ดผู้นั้น”
“แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเ้ากับองค์หญิงสิบเอ็ด แต่เ้าจะต้องเป็คนส่งตัวเ้าสาว เ้าก็ควรไปอยู่เป็เพื่อนเ้าสาว”
กู้เหยามีท่าทีไม่เต็มใจ “ข้าอิจฉาพี่รองจริงๆ เขาเองก็เป็คนส่งตัวเ้าสาว แต่เขากลับไปร่วมในงานเลี้ยงได้”
หลังจากกู้เหยากลับไปหากู้อิ๋ง ชุนหงก็รีบเข้ามาพูดกับคุณหนูของนาง “ทีตอนนี้พวกทำเป็มาพูดดีกับคุณหนู ทั้งๆ ที่คนที่ทำไม่ดีกับคุณหนูใหญ่ก่อนก็คือพวกนาง” เมื่อครู่แม่เฒ่าซุนตำหนิคุณหนูใหญ่โดยที่ยังไม่ทันได้ให้คุณหนูของนางชี้แจงใดๆ ชุนหงที่เดินตามรับใช้อยู่ข้างคุณหนูจึงร่วมรับรู้เหตุการณ์ทุกอย่าง นางมองคุณหนูอย่างปวดใจแทน “คุณหนูช่างดีเกินไปแล้วเ้าค่ะ”
“พวกนางเป็ครอบครัวเดียวกัน ก็ย่อมต้องใส่ใจคนของตัวเองเป็อันดับแรก” กู้เจิงหยิกแก้มน้อยๆ ของชุนหงอย่างรักใคร่ “หากเ้าขัดแย้งกับพวกนาง ข้าจะต้องช่วยเ้าก่อนแน่นอน แต่ถ้าตระกูลกู้ขัดแย้งกับคนนอก แน่นอนว่าข้าก็ต้องช่วยคนของตระกูลกู้ก่อน”
ชุนหงพยักหน้าเข้าใจ แต่นางก็อดปวดใจนิดๆ ไม่ได้
ในตอนนี้ โคมไฟทุกดวงได้ถูกจุดขึ้นรอบๆ เรือน เป็สัญญาณบอกว่างานเลี้ยงฉลองที่ลานหน้าบ้านได้เริ่มขึ้นแล้ว
กู้เจิงเมื่อก้าวเท้าออกจากเขตเรือนชั้นใน นางก็เห็นเสิ่นเยี่ยนยืนอยู่ที่ประตูฉุยฮวา เขายืนเอามือไพล่หลังเงยหน้าเหม่อมองแสงจันทร์อันสุกสกาว เค้าหน้าด้านข้างของเขาประณีตราวกับภาพเงาของเทพเซียน
เมื่อเสื่นเยี่ยนเห็นภรรยา ก็เห็นนางกำลังมองมาที่ตนอยู่ก่อนแล้วด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน
ชุนหงเอ่ยเรียก “ท่านบุตรเขย”
“ได้เวลากินข้าวแล้ว” เขาพูดอย่างเฉยเมย
“คืนนี้ท่านจะมานั่งกินเลี้ยงร่วมกับข้าหรือเ้าคะ?” กู้เจิงถามด้วยความประหลาดใจ
“งานเลี้ยงแบบนี้ ยังไม่ถึงเวลาที่ข้าจะไปนั่งร่วมกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่”
กู้เจิงคล้องแขนเสิ่นเยี่ยนไว้ “พวกเราได้นั่งกินข้าวด้วยกัน ก็ดีเหมือนกันเ้าค่ะ”
“ข้าไม่คิดว่าจะเข้าไปในเรือนนานขนาดนี้ ข้าเห็นพระชายาหลายคนเข้าไปด้วย มีเื่อะไรกันรึเปล่า” เสิ่นเยี่ยนก้มหน้ามองภรรยา
กู้เจิงถอนหายใจ “เกิดเื่ขึ้นนิดหน่อยเ้าค่ะ ไว้กลับบ้านแล้วข้าค่อยเล่าให้ฟัง”
จางหลี่หนาน กู้เจิง และเสิ่นเยี่ยนได้นั่งที่โต๊ะเดียวกัน และยังมีสหายพี่น้องของเสิ่นเยี่ยนนั่งร่วมโต๊ะอีกหลายคน แต่ละคนรูปร่างสูงใหญ่ทั้งนั้น คนที่เด็กที่สุดอายุแค่เพียงสิบห้าปี พวกเขาล้วนเรียกสามีของนางว่า พี่ใหญ่เสิ่นเยี่ยน
ปาเม่ยที่กำลังทำงานอยู่ เมื่อสังเกตเห็นพวกนาง ก็แอบเดินมาทักทายพวกกู้เจิง
“พี่สะใภ้” ปาเม่ยเดินไปหากู้เจิงอย่างดีใจ “เมื่อครู่เห็นท่านเข้าไปที่เรือนชั้นใน แต่วันนี้ข้ายุ่งมาก ไม่อาจปลีกตัวไปทักทายท่านได้”
“เห็นเ้าไม่ได้อยู่ในเขตเรือนชั้นใน ข้าก็รู้แล้วว่าเ้าคงกำลังยุ่งอยู่” กู้เจิงมองใบหน้าเล็กๆ ของปาเม่ย ไม่ได้เจอกันหลายวัน จิงชี่เสิน* ทั้งหมดล้วนเปลี่ยนไป นางดูเหมือนจะโตขึ้นอยู่หลายส่วน
(*จิง คือ ฐานกายหรือสารสำคัญในร่างกาย เช่นจำพวกฮอร์โมน ชี่ คือ พลังชีวิตที่มองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้ เสิน คือ จิติญญา)
“พี่หลี่หนาน สาวน้อยของท่านคนนี้ดูจะโตขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อยนะ” กู้เจิงกระแซะจางหลี่หนาน
“ใช่แล้ว แม่นางน้อยโตแล้ว”
“งั้นเมื่อไหร่กันที่จะให้พวกเราได้ร่วมดื่มเหล้ามงคล?*” กู้เจิงรีบเอ่ยล้อ
(*เป็การถามโดยนัยว่าเมื่อไหร่จะแต่งงาน)
เมื่อกู้เจิงกล่าวจบ จางหลี่หนานก็ทำหน้าไม่ถูก ส่วนปาเม่ยนั้นอายจนรีบวิ่งหนีกลับไปทำงาน
โต๊ะของกู้เจิงที่มีแต่คนสนิทมารวมตัวกัน ทำให้ครึกครื้นกว่าโต๊ะอื่นๆ อยู่มาก กู้เจิงเรียกให้ชุนหงมานั่งกินข้าวด้วยกัน เห็นชุนหงมีสีหน้าตื่นเต้นยามเห็นอาหารเต็มโต๊ะ นางก็อดยิ้มไม่ได้
พูดคุยกันไปสักพัก หัวข้อสนทนาบนโต๊ะก็หันมาที่ชุนหง ทุกคนต่างหยอกล้อให้นางเลือกสามีในหมู่พวกเขามาคนหนึ่ง ชุนหงกล่าวด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยวว่า ชาตินี้นางจะขออยู่กับคุณหนูของตนจนแก่เฒ่า รอจนคุณหนูคลอดลูกแล้วก็จะช่วยเลี้ยงลูกด้วย
เมื่อพูดถึงลูก หัวข้อสนทนาของทุกคนก็เปลี่ยนไปเป็นางกับเสิ่นเยี่ยน พวกเขารุมถามนางและเสิ่นเยี่ยนว่าคิดจะมีลูกด้วยกันสักกี่คน
บรรยากาศบนโต๊ะช่างสนุกครึกครื้น จนกระทั่งมีเสียงเอ่ยขึ้นว่า “ตวนอ๋องมาคารวะสุราแล้ว”
สายตาของทุกคนล้วนกวาดมองหาตวนอ๋อง ตวนอ๋องจ้าวหยวนเช่อเดินออกมาจากห้องโถงใหญ่ เขาเดินตรงมาทางนี้ ตวนอ๋องเดิมทีก็หล่อเหลาอยู่แล้ว แต่เมื่อสวมชุดมงคลสีแดงเข้มก็ยิ่งขับผิวขาวของเขาให้โดดเด่นหล่อเหลายิ่งขึ้น
“ขอให้ท่านอ๋องให้กำเนิดบุตรที่ดีในเร็ววัน รักกันยั่งยืน” ทุกคนต่างร่วมกันอวยพรให้ตวนอ๋อง
กู้เจิงดื่มสุราไม่ได้ ในชามของนางจึงมีเหล้าข้าวอยู่แทน นางยกชามขึ้นมาดื่มคารวะตวนอ๋องเหมือนคนอื่นๆ ตวนอ๋องกวาดสายตามองทุกคนก่อนจับจ้องมาที่นาง สายตาเ็านั้นยามมองมาที่นางแลดูเฉียบคมเป็พิเศษ
หลังจากงานกินเลี้ยงเสร็จสิ้น ทุกคนต่างก็กล่าวลากันแล้วแยกย้ายกันไป
ขณะที่กู้เจิง เสิ่นเยี่ยน และจางหลี่หนานกำลังจะเตรียมตัวกลับ พ่อบ้านว่านก็รีบเดินเข้ามาหา “ใต้เท้าเสิ่น ท่านอ๋องใช้ให้ข้าน้อยมาพาท่านไปแนะนำตัวกับใต้เท้าชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลายขอรับ”
เสิ่นเยี่ยนหันมองไปทางภรรยา ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นเ้ารอข้าอยู่ที่นี่ ถ้าครึ่งชั่วยามแล้วข้ายังไม่กลับมา เ้ากับชุนหงก็กลับไปก่อนเลย”
กู้เจิงพยักหน้ารับรู้
“เดี๋ยวข้าจะให้ปาเม่ยมาอยู่เป็เพื่อนพี่สะใภ้ นางมีเื่จะคุยกับพี่สะใภ้อยู่พอดี” จางหลี่หนานกล่าว
“ข้าจะรีบกลับมา” เสิ่นเยี่ยนพูดจบก็เดินตามพ่อบ้านว่านไป
“พี่สะใภ้ พวกเราไปดื่มชารอกันดีไหม?” จางหลี่หนานรีบเรียกสาวใช้ให้มารินน้ำชา เขาอ่ยกับสาวใช้อีกว่า “รบกวนไปบอกปาเม่ยหน่อยว่า พอเสร็จธุระแล้วให้นางมาที่นี่”
“ปาเม่ยมาอยู่ที่จวนอ๋องได้ไม่กี่เดือน แต่นางกลับสามารถรับผิดชอบงานทุกอย่างได้อย่างรวดเร็ว” กู้เจิงเอ่ยชมปาเม่ย นางนึกเทียบปาเม่ยกับกู้เหยาที่ล้วนอายุสิบสามเท่ากัน เมื่อเทียบกันแล้ว กู้เหยานั้นเหมือนเด็ก ส่วนปาเม่ยกลับเริ่มต้นทำงานแล้ว “ข้าจำได้ว่าครั้งแรกที่เจอนาง นางขี้อายนัก พูดแค่ประโยคเดียวก็หน้าแดงแล้ว”
“ปาเม่ยกับท่านพ่อท่านแม่ของข้าอาศัยอยู่ในชนบทมาก่อน ไม่เคยเห็นโลกภายนอก ท่านพ่อท่านแม่กังวลว่าข้าจะดูแลตัวเองได้ไม่ดี จึงให้ปาเม่ยเข้าเมืองมาอยู่กับข้าขอรับ” จางหลี่หนานกล่าวอย่างเขินอายต่อว่า “แต่นางเรียนรู้อะไรได้เร็ว”
กู้เจิงก็เคยได้ยินปาเม่ยเล่าเื่นี้ให้ฟัง
“จริงสิพี่สะใภ้ พี่ใหญ่บอกว่าท่านอยากสร้างหอสมุด จึงให้ข้านำเงินที่ได้จากการค้าขายปีนี้มามอบให้ท่าน รอจนสหายพี่น้องกลับมาฉลองปีใหม่ ข้าจะเอาเงินไปให้ท่านนะขอรับ”
“เื่นี้ไม่ต้องรีบร้อน เ้าค่อยๆ เป็ ค่อยๆ ไปก็พอ” กู้เจิงนึกขึ้นได้ว่าสามีกับเหล่าสหายของเขาได้ทำการค้าเล็กๆ อย่างอื่นด้วย
ขณะที่กู้เจิงพูดคุยกับจางหลี่หนานอยู่นั้น ปาเม่ยก็เดินเข้ามาอย่างเบิกบานใจ “พี่หลี่หนาน พี่สะใภ้ พี่ชุนหง”
“เ้ามาพอดี มาคุยเื่ขี้ปะติ๋วของเ้ากับพี่สะใภ้ได้เลย” จางหลี่หนานรีบลุกขึ้น “ข้าขอตัวกลับค่ายทหารก่อน พี่สะใภ้ เื่การค้าข้าจะมาเล่ารายละเอียดให้ท่านฟังทีหลังนะขอรับ”
กู้เจิงส่งเสียงอืมเบาๆ
เมื่อเงาร่างของจางหลี่หนานหายลับไปกับความมืดในยามราตรี ปาเม่ยก็พูดเื่ที่อยู่ในใจกับกู้เจิงอย่างเขินอายว่า “พี่สะใภ้ ข้าอยากให้ท่านช่วยข้าหน่อยเ้าค่ะ”
กู้เจิงยิ้มแล้วลุกขึ้น “ไปกันเถอะ”
ปาเม่ยตะลึงงัน “พี่สะใภ้ท่านไม่ถามก็รู้แล้วหรือเ้าคะว่าข้าจะพูดอะไร?”
กู้เจิงมองท่าทางน่ารักของปาเม่ยแล้วเขี่ยจมูกนาง “เ้ายังจะมีเื่อะไรได้อีก? หากไม่ใช่ให้ข้าออกหน้าพาเ้าไปแสดงตัวกับพระชายาของท่านอ๋อง?”
“พี่สะใภ้ฉลาดมากเ้าค่ะ”
ไม่ใช่ว่านางฉลาด แต่สาวน้อยคนนี้ได้มาคุยกับนางหลายครั้งแล้วว่าอยากเอาใจน้องสามของนาง กู้เจิงหันมาเอ่ยกับชุนหงที่อยู่ข้างๆ ว่า “เ้ารอสามีข้าอยู่ที่นี่ หากเขากลับมาก่อน ก็ให้เขารอข้าที่นี่สักครู่ เดี๋ยวข้าจะรีบไปรีบกลับ”
“เ้าค่ะ” ชุนหงพยักหน้ารับ นางมองดูคุณหนูกับปาเม่ยเดินหายเข้าไปทางประตูจันทร์เสี้ยวของสวนด้านหลัง นางนั่งลงดื่มชารออย่างเบิกบานใจ