สองปีที่ไม่ได้กลับมา เรือนของพวกเขายังคงเหมือนเมื่อสองปีก่อนไม่เปลี่ยนไปสักนิด เฉียวเยว่กลับไปที่ห้องของตนเอง ก็พบว่าภายในห้องยังคงอบอุ่น แม้จะเป็ฤดูใบไม้ผลิ
ผู้ดูแลกล่าวว่า "แม้ยามนี้จะเข้าวสันตฤดูแล้ว แต่อากาศยังเย็นอยู่ ฮูหยินผู้เฒ่าจึงให้พวกเราจุดัดิน [1] เตรียมไว้ล่วงหน้า"
วันนี้ท่านปู่ถูกฝ่าาเรียกตัวเข้าวัง ท่านย่าก็ไม่รอช้า ให้พวกเขากลับมาพักผ่อนกันก่อน ตอนเย็นจะได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัว
การเดินทางค่อนข้างทุลักทุเล ทำให้รู้สึกอ่อนเพลียอยู่บ้าง เฉียวเยว่ยิ้มกล่าวว่า "ท่านแม่ ข้าจะกลับไปอาบน้ำพักผ่อนก่อนสักครู่"
"ไปเถอะ" ไท่ไท่สามพยักหน้า หลังจากนั้นก็หันไปหาบิดา "ท่านพ่อ ท่านไปอาบน้ำและพักผ่อนที่ห้องพักแขกนะเ้าคะ"
อาจารย์ฉีพยักหน้า "เช่นนี้ก็ดี ตำราของข้า..."
"ข้าสั่งให้คนขนของกลับไปแล้ว ท่านพ่อวางใจได้ หลังมื้อเย็นกลับไป ไม่เสียเวลาอ่านตำราของท่านแน่นอนขอรับ" ฉีจือโจวยิ้มน้อยๆ
บิดาเขาเป็คนรักตำรายิ่งชีวิต ฉีจือโจวทราบจุดนี้เป็อย่างดี
เฉียวเยว่กลับไปที่ห้องของตนเอง พลันรู้สึกผ่อนคลายมาก แม้ว่าข้างนอกจะดีมาก แต่ความรู้สึกจะเหมือนบ้านของตนเองได้อย่างไร
อาบน้ำเสร็จ นางก็สวมเสื้อคลุมสีเขียวอ่อน แล้วล้มตัวลงบนเตียง "รังเงินรังทองไหนเลยจะสู้รังสุนัขของตนเองได้!"
อวิ๋นเอ๋อร์หัวเราะออกมาพลางเอ่ยว่า "หากให้คุณหนูออกไปเที่ยวอีก คุณหนูจะไปหรือไม่?"
เฉียวเยว่ "ข้านอนแล้ว..."
เห็นได้ชัดว่าไม่อยากตอบคำถามข้อนี้
อวิ๋นเอ๋อร์หัวเราะอีกครา
เฉียวเยว่นอนหลับสนิทไปจนถึงยามโพล้เพล้ นางลุกขึ้นมานั่ง ถักเปียสองข้างเอง
อวิ๋อเอ๋อร์ถือตะเกียงเดินเข้ามา "หากคุณหนูยังไม่ตื่นอีก บ่าวก็คงต้องปลุกแล้ว ไท่ไท่บอกว่าให้ท่านแต่งเนื้อแต่งตัวแล้วไปเรือนหลักได้แล้วเ้าค่ะ ท่านโหวกับพวกนายท่านใหญ่ล้วนกลับมากันแล้ว"
เฉียวเยว่รับคำ นางเปลี่ยนเป็ชุดกระโปรงยาวสีขาวพระจันทร์ แต่ไม่หวีผมใหม่ เพียงทัดดอกไม้สีแดงดอกท้อไว้ข้างหู "ข้าเสร็จแล้ว"
เดิมทีก็เป็ดรุณีน้อยน่ารัก แต่งตัวเช่นนี้ยิ่งขับเสริมความสง่างามได้อย่างน่าอัศจรรย์
"พวกท่านแม่เตรียมตัวเสร็จแล้วหรือ?" เฉียวเยว่ถาม
อวิ๋นเอ๋อร์พยักหน้า "เมื่อครู่แวะมาดูหนหนึ่งแล้ว ไท่ไท่เห็นคุณหนูดูท่าจะเพลียจัดจึงให้ท่านนอนต่ออีกครู่"
เฉียวเยว่ยิ้มแย้มแจ่มใสเดินออกมาจากห้อง
ทั้งครอบครัวมาถึงเรือนหลักอย่างพร้อมเพรียง แล้วก็คุกเข่าคารวะอีกครั้ง ท่านโหวผู้เฒ่าเอ่ยขึ้นว่า "ปลอดภัยกลับมาก็ดีแล้ว ปลอดภัยกลับมาก็ดีแล้ว ไกวเยว่ของข้าผอมจนดูไม่ได้แล้ว"
เฉียวเยว่กลับหัวเราะ "ข้ารักสวยรักงาม ดังนั้นผอมลงก็ยิ่งมีความสุขเ้าค่ะ"
นางมองท่านปู่ของตนเองอย่างพินิจ เพียงแค่สองปีท่านปู่กลับดูชราลงไปไม่น้อย
"ต่อไปข้าจะไม่จากท่านปู่ท่านย่าไปไหนอีกแล้ว" เฉียวเยว่พูดอย่างจริงจัง
ท่านโหวผู้เฒ่านิ่งไปชั่วขณะ แล้วตบลาดไหล่บางของนางเบาๆ "ไม่ไปก็ไม่ไป มาเร็ว รีบลุกขึ้นมา”
"ฮ่า เห็นหรือไม่ ข้าบอกแล้ว เสี่ยวชีโตขึ้นก็ผอมลงเอง ไหนเลยจะต้องควบคุมน้ำหนัก ข้าพูดถูกใช่หรือไม่? พวกเ้าเอาแต่ไม่เชื่อไม่เชื่อ รู้เสียบ้างข้ามีประสบการณ์มาก่อน" ซูเอ้อหลางแฝงไปด้วยรอยยิ้ม "ข้าว่าเสี่ยวชียังผอมลงได้อีก"
เฉียวเยว่อมยิ้ม พลางถามเสียงใส "เพราะเหตุใดหรือเ้าคะ?"
"ก็เ้าต้องเตรียมตัวสอบเข้าสำนักศึกษาสตรีมิใช่หรือ เหลือเวลาไม่ถึงหนึ่งปีแล้ว ต้องตรากตรำอ่านตำรา จะไม่เหนื่อยจนผอมลงกว่าเดิมได้อย่างไร"
เฉียวเยว่ไตร่ตรองดีๆ ก็รู้สึกว่าคำกล่าวของท่านลุงรองมีเหตุผลอยู่จริงๆ
"ท่านลุงรองกล่าวเช่นนี้มีเหตุผล ท่านแม่เ้าคะ ท่านต้องเตรียมของกินชดเชยให้ข้าด้วย มิเช่นนั้นหากผอมไปยิ่งกว่านี้คงได้กลายร่างเป็แมลงปอโบยบินไปแล้วล่ะ" เฉียวเยว่พูดติดตลก น้ำเสียงนุ่มนวลแกมฉอเลาะ
ไท่ไท่สามยิ้มอย่างละเหี่ยใจ "ได้ ได้ ได้ ทำให้เ้า"
ทั้งครอบครัวต่างสุขสันต์หัวเราะกันชื่นมื่น ทันใดนั้นก็ได้ยินบ่าวเข้ามารายงานว่าจวนอวี้อ๋องส่งขนมมาให้คุณหนูเจ็ด
เฉียวเยว่เชิดหน้าอย่างซุกซน "เขาคงนึกว่าข้ายังเป็น้องสาวตัวจ้ำม่ำที่รู้แต่เื่กินคนเดิมอยู่แน่ๆ"
"แล้วมิใช่หรือ?" ซูซานหลางเอ่ยเย้า
เฉียวเยว่เปลี่ยนน้ำเสียงแสดงท่าทางยินดีปรีดา "ถูกเขาทายถูกจนได้"
"เฉียวเยว่ของพวกเราร้ายกาจยิ่ง เพิ่งกลับมาอวี้อ๋องก็ส่งของกินมาให้แล้ว ช่าง..."
"เ้ารอง!" ฮูหยินผู้เฒ่าปรามให้หยุด
ซูเอ้อหลางห่อไหล่ ปิดปากสนิท
วันนี้เห็นเรือนสามเป็ที่รักใคร่โปรดปราน ไท่ไท่ใหญ่ยังนิ่งไม่เปล่งเสียง แต่ไท่ไท่รองกลับทนไม่ได้ นางเห็นสามีที่ไม่เคยนำพาบุตรชายบุตรสาวของตนเอง แต่กลับกระตือรือร้นใส่ใจหลานสาวคนเล็ก ก็ไม่พอใจมากจริงๆ
"ท่านพี่อย่าพูดมากเลย พวกเรา..."
นางยังไม่ทันพูดจบก็ถูกฮูหยินผู้เฒ่าถลึงตาใส่ จึงไม่กล้าเปล่งเสียงอีกแม้แต่คำเดียว
เฉียวเยว่รู้สึกได้ว่า แม้จะจากกันไปสองปี แต่อุปนิสัยของทุกคนก็ยังไม่เปลี่ยนไปเลย เช่นท่านป้าสะใภ้รองเป็ต้น
ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนท่านป้าสะใภ้รองจะกลัวท่านย่ายิ่งกว่าเดิม
"เฉียวเยว่ เ้าไปเที่ยวเสียทั่วเช่นนี้สนุกหรือไม่? เ้าละเลยการศึกษาหรือเปล่า ที่เจียงหนานมีหญิงงามเยอะหรือไม่?" ซูเอ้อหลางคร้านจะสนใจภรรยา ยังคงล้อเล่นกับหลานสาว
เฉียวเยว่ทำท่าครุ่นคิดคล้ายกำลังประเมินในใจ ก่อนจะเอ่ยว่า "ข้ารู้สึกว่าแม่นางในเมืองหลวงงดงามและทันสมัยกว่าเ้าค่ะ"
คำกล่าวนี้หาได้เป็เท็จ นางเดินทางไปเปิดหูเปิดตาครานี้ก็ยิ่งพบว่าแผ่นดินต้าฉีแตกต่างจากยุคสมัยโบราณที่นางรู้จัก จากความรู้ที่นางทราบมา สตรีเจียงหนานน่าจะนุ่มนวลอ่อนหวาน แต่ความเป็จริงกลับไม่ใช่เลย จะว่าไปสตรีต่างเมืองก็ไม่ต่างจากสตรีในเมืองหลวงมากนัก
แม้เจียงหนานจะได้ชื่อว่าร่ำรวยอุดมไปด้วยทรัพยากร แต่กลับเทียบเมืองหลวงไม่ได้ ถึงอย่างไรเมืองหลวงของต้าฉีย่อมจะมีความเจริญล้ำสมัยมากกว่า
"ตอนข้ากลับมาเห็นอาภรณ์ที่เหล่าแม่นางในเมืองหลวงสวมใส่ล้วนแต่งามวิจิตร" เฉียวเยว่เอ่ย
"เฉียวเยว่กล่าวเช่นนี้ทำให้ความคิดที่จะไปเจียงหนานของลุงดับสนิทไปเลย" ซูเอ้อหลางพูดด้วยรอยยิ้ม
"เหลวไหลจริงๆ เฉียวเยว่ยังเด็ก เ้าพูดต่อหน้านางเช่นนี้ได้อย่างไร" ฮูหยินผู้เฒ่าตำหนิ
"เมื่อน้องอิ้งเยว่กับเฉียวเยว่กลับมาแล้ว พวกเราก็จัดงานภายในบ้านดีหรือไม่" ิเยว่ยิ้มอย่างนุ่มนวลอ่อนหวาน "เป็การต้อนรับพวกนางจากการเดินทางไกล ถือเสียว่าให้พวกนางได้ร่วมสนุกสนานไปกับทุกคนด้วย"
ความคิดนี้ของิเยว่ไม่เลวทีเดียว ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกชื่นชมอย่างมาก "ความคิดนี้ของิเยว่ ไม่เลว ไม่เลว"
ิเยว่รูปโฉมงดงามขึ้นกว่าเมื่อสองปีก่อน นางหมั้นหมายกับบุตรชายคนโตเรือนใหญ่ของจวนหมินหยางโหวเมื่อปีกลาย ชาติตระกูลนับว่าเหมาะสมกัน งานแต่งกำหนดไว้เดือนสิบเอ็ดของปีนี้
อาจเป็เพราะโตขึ้น และหมั้นหมายแล้ว จึงดูเปลี่ยนไปไม่น้อย แต่เฉียวเยว่กลับไม่รู้สึกห่างเหิน ยังคงเหมือนเมื่อก่อน
"เช่นนั้นเื่นี้มอบหมายให้ิเยว่เถอะ อายุของิเยว่ค่อนข้างต่างจากอิ้งเยว่กับเฉียวเยว่ ไม่รู้ว่าสหายของนางเข้ากับพวกอิ้งเยว่ได้หรือไม่" ไท่ไท่ใหญ่หัวเราะเสียงเบาแล้วกล่าวกำชับ "แต่ต้องเลือกคนนิสัยดีๆ หน่อยเล่า"
ป้าสะใภ้ใหญ่แสดงความหวังดี ใช่ว่าเฉียวเยว่จะไม่เข้าใจ อิ้งเยว่มักนิ่งขรึมจนเป็นิสัย นางจึงกล่าวขึ้นอย่างร่าเริง "สหายของพี่ิเยว่จะนิสัยไม่ดีได้อย่างไร พูดเช่นนี้ข้าไม่เชื่อหรอก"
"ก็นั่นน่ะสิ แต่ข้าจะเชิญคุณหนูที่อายุยังน้อยมาเยอะๆ จะได้เข้ากับพวกน้องสาวได้" ิเยว่ตอบ
แท้จริงแล้วไม่มีที่ว่าเข้ากันได้หรือไม่ได้อันใด ดรุณีน้อยในเมืองหลวงนอกจากมีความสัมพันธ์เป็เครือญาติ ก็แทบจะไม่ได้ออกไปไหน อาจเป็เพราะการแข่งขันในการสอบเข้าสำนักศึกษาสตรีค่อนข้างรุนแรง ปรกติแล้วเด็กผู้หญิงอายุห้าหกขวบต่างก็ต้องเริ่มเรียนกันแล้ว ยิ่งมีฐานะก็ยิ่งเรียนเร็วขึ้น
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้จะมีสักกี่คนที่ออกมาเที่ยวเล่นได้ ต่างต้องยุ่งวุ่นวายอยู่กับการศึกษาทุกวัน
หากจะพูดถึงการไปมาหาสู่กันจริงๆ ก็คงจะเป็สหายที่สำนักศึกษาหญิงมากกว่า ที่นั่นทุกคนต่างมีชาติตระกูลใกล้เคียงกัน หรืออาจมีที่ด้อยกว่าบ้าง แต่เมื่อได้เข้าศึกษาที่นั่น อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตระกูลที่ย่ำแย่เกินไป คบหาเป็สหายได้ง่าย
เฉียวเยว่ทำตาปริบๆ แฝงแววขี้เล่นอยู่หลายส่วน "พี่หญิงใหญ่ ครานี้เชิญคู่หมั้นของพี่ชายใหญ่มาด้วยหรือไม่?"
"ข้าอยากเห็นหน้าตาเ้าสาวของพี่ชายใหญ่ว่าเป็เช่นไร ว่าที่พี่สะใภ้ใหญ่ของพวกเราจะต้องงดงามและมีความรู้ความสามารถเป็แน่ใช่หรือไม่"
ซูเจี้ยนอันพลันตกประหม่า หลังจากนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า "แม่หนูน้อยอย่างเ้าจะยุ่งอันใดมากมายฮึ?"
เฉียวเยว่ปิดหน้าหัวเราะ
ทุกคนมาถึงพร้อมเพรียงกันแล้วในที่สุดงานเลี้ยงก็เริ่มต้น
สองพ่อลูกสกุลฉีนั่งโต๊ะหลัก เฉียวเยว่นั่งกับพี่น้องรุ่นราวคราวเดียวกัน เมื่อเห็นทุกคนต่างเพ่งมองมาที่นาง ก็ถามขึ้นด้วยความสงสัย "ข้ามีสิ่งใดผิดปรกติหรือ?"
ย่อมไม่มี เพียงแต่นางดูสวยขึ้น ต่างจากเมื่อก่อนมาก
หรงเยว่ถอนหายใจ "จู่ๆ เ้าก็กินข้าวเป็ระเบียบเรียบร้อย ข้ารู้สึกไม่ชิน"
เฉียวเยว่ยิ้มอย่างน่ารัก ชิงเยว่เอียงคอมอง ก็เห็นว่านางผิวขาวใสขึ้น ไม่คล้ำแดดแม้แต่น้อย สวยขึ้นมากจริงๆ เดิมทีพูดได้แต่ว่าน่ารัก ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็โฉมสะคราญไปเสียแล้ว นึกถึงตรงนี้ นางก็กัดริมฝีปาก กำชายเสื้อของตนเอง แต่ไม่กล่าววาจาอันใด ตอนนี้นางเก้าขวบแล้ว ย่อมสามารถสะกดกลั้นความรู้สึกได้
แม้จะอิจฉาเฉียวเยว่มาก แต่กลับทำได้แค่อดทน ใครให้ผู้อื่นเป็คุณหนูเรือนสามกันเล่า หลายปีมานี้ที่อยู่เรือนหลัก ฮูหยินผู้เฒ่าส่งคนมาอบรมสั่งสอนนาง นางย่อมรู้ความมากขึ้น แม้ใจจะไม่ยินยอมก็ต้องอดกลั้น
"กลับมาครานี้ บิดาบุตรสะใภ้มีแผนการอย่างไรบ้าง?"
ซู่เฉิงโหวเอ่ยถาม มาพินิจดูอย่างถ้วนถี่ อายุของคนผู้นี้ก็ยังไม่มากถึงขั้นจะพักผ่อนอยู่กับบ้าน ผู้อื่นล้วนแต่ทุ่มเทกายใจทำงานรับใช้ราชสำนัก แต่เขากลับฉวยโอกาสเกษียณตัวเองทันทีที่ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์
ไม่ดูบ้างเลยว่าตนเองอายุเท่าไร ติดตามบุตรชายไปอยู่เจียงหนานเสียหลายปี
กลับมายังไม่ถึงหนึ่งปีก็ออกไปท่องเที่ยวอีกแล้ว ทีตอนไปเที่ยวไม่เห็นจะบอกว่าตนเองอายุมาก
ตอนออกไปเริงร่ากระฉับกระเฉง แต่พอกลับมาก็แก่ชราทันทีเลยหรือ?
ไม่สมเหตุสมผลเลยจริงๆ
แล้วอาจารย์ฉีก็ไม่ทำให้ท่านโหวผู้เฒ่าต้องผิดหวังสักนิดตามคาดหมาย เขากล่าวอย่างฉาดฉาน "ไม่มีแผนการอันใด อายุมากแล้ว ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับบ้านเถอะ"
คำพูดนี้ดูปรกติมาก แต่ซู่เฉิงโหวฟังแล้วแทบจะสำลัก ตนเองอายุมากกว่าคนผู้นี้ แต่ไม่เคยเป็เช่นเขาเลย
อาจารย์ฉีกลับไม่เกรงใจ พูดต่อไปอีกว่า "ข้าว่าท่านก็อายุไม่น้อยแล้ว ควรเกษียณก็เกษียณเถอะ งานเ่าั้ปล่อยให้คนหนุ่มทำกันไปเถอะ อย่างไรเสียพวกเขาก็ยังมีกำลังวังชา"
เขาพูดโดยไม่รู้สึกละอายแม้แต่น้อย
ท่านโหวผู้เฒ่าเบิกตากว้าง เอ่ยว่า "ข้าจะทำงานเพื่อแผ่นดินจนตัวตาย"
อาจารย์ฉีไม่ได้ว่าอะไร ยกสุราขึ้นมาจิบหนึ่งคำ "แก่ไม่รู้จักแก่"
เฉียวเยว่หัวเราะพรืดออกมา ก่อนที่จะปิดหน้าอีกครั้ง "กินข้าว กินข้าว ข้าไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น"
...
[1] ัดิน หมายถึงห้องส่งความร้อนจากใต้ดิน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้