ไม่มีผู้ใดเฉิดฉายไปกว่าเย่เฟิง นี่ทำให้หญิงสาวสองคนยิ้มแย้มขณะมองเงาร่างที่ยืนตระหง่านบนเวทีประลอง ดวงตาของพวกนางเป็ประกาย
“ที่หนึ่ง เขาชิงที่หนึ่งมาครอง!”
ทางฝั่งตระกูลมู่ มู่เทียนหลงและมู่เทียนหู่ต่างเผยสีหน้าไม่สู้ดี พวกเขาคาดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วผู้ที่คว้าอันดับที่ 1 ไปครองจะเป็เย่เฟิง หลานชายผู้ที่พวกเขาเคยดูถูกสารพัดอย่าง บัดนี้เขายืนตระหง่านอยู่บนเวทีประลอง ไม่เพียงแต่เหยียบย่ำมู่เยี่ยนที่พวกเขาภูมิใจ แต่ยังเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างราบคาบ เฉิดฉายกว่าอัจฉริยะที่มีอายุต่ำกว่า 23 ปี
“ไฉ่อิง เ้าให้กำเนิดลูกที่ดีมาก” ผู้เฒ่ามู่ที่นั่งอยู่ใจกลางฝั่งตระกูลมู่เผยแววตาสับสน บัดนี้อัจฉริยะที่เฉิดฉายไร้เทียมทานผู้นั้นก็คือหลานชายของตระกูลมู่ ถือเป็เป็ความภาคภูมิใจของตระกูลมู่เขา แต่ดูเหมือนว่าการที่เย่เฟิงคว้าอันดับที่ 1 มาครองได้ ตระกูลมู่เขาไม่รู้สึกถึงเกียรติยศแต่อย่างใด กลับกันยิ่งดูน่าอัปยศอดสูเสียมากกว่า
“บางทีปีนั้นข้าอาจคิดผิด ข้าไม่น่าปฏิบัติกับตระกูลเย่เช่นนั้นเลย และยิ่งไม่ควรให้หลานชายคนนี้ไปอยู่ที่ตระกูลหนานกงนานเป็สิบปี”
เมื่อฉุกคิดได้เช่นนี้ผู้เฒ่ามู่ก็อดส่ายหัวพลางยิ้มขมขื่นไม่ได้ จนถึงตอนนี้เขาเพิ่งตระหนักได้ว่าสิ่งที่ตนเลือกในตอนแรกมันโง่เขลามากเพียงใด เขาพลาดหลานชายที่มากพร์เช่นนี้ สำหรับตระกูลมู่เขาแล้วนับว่าเป็ความสูญเสียครั้งใหญ่
“เย่เฟิง สักวันข้าจะก้าวข้ามเ้า แล้วเหยียบเ้าให้จมดิน” มู่เยี่ยนที่นั่งบนเก้าอี้อย่างไร้เรี่ยวแรงมองเย่เฟิงด้วยสายตาอาฆาตแค้น เขารับไม่ได้ที่เย่เฟิงคว้าอันดับที่ 1 ของงานชุมนุมหวงปั่งไปครอง บัดนี้ในใจเขานอกจากความเกลียดชังแล้วยังมีความอิจฉาริษยาอย่างลึกซึ้งเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง
บนอัฒจันทร์หลัก จ้าวเยี่ยระบายยิ้ม เขาดูออกนานแล้วว่าเย่เฟิงไม่ใช่คนธรรมดา ดังนั้นจึงอยากดึงเย่เฟิงมาเป็พวกตลอด เห็นทีสิ่งที่เขาเลือกในตอนแรกจะไม่ผิด
องค์ชายใหญ่และเซิ่งอ๋องเผยสีหน้าอึมครึม ผลลัพธ์เช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ทั้งสองคนคิดไว้ พวกเขารู้ว่าพร์ของเย่เฟิงยอดเยี่ยมมาก แต่ไม่คิดว่าเย่เฟิงจะโดดเด่นมากเพียงนี้ โดยเฉพาะเซิ่งอ๋อง เย่เฟิงสังหารจ้าวซิงบุตรของเขา ดังนั้นยิ่งเย่เฟิงโดดเด่น เซิ่งอ๋องก็ยิ่ง้าฆ่าเย่เฟิงมากขึ้นเท่านั้น
“เอาละ ในเมื่ออันดับที่ 1 ของงานชุมนุมหวงปั่งถูกตัดสินแล้ว เช่นนั้นข้าจะขอพูดสักสองสามประโยค”
ขณะนั้นเสียงของผู้าุโเฉียนดังมาจากด้านอัฒจันทร์หลัก จู่ ๆ ทั่วทั้งลานประลองพลันเงียบกริบ คนจำนวนมากต่างทราบดีว่าผู้าุโเฉียนเป็ใคร ดังนั้นหลาย ๆ คนจึงตั้งใจรอฟังอย่างเงียบ ๆ
“งานชุมนุมหวงปั่งครั้งนี้มีอัจฉริยะมากมายปรากฏตัวขึ้น ข้ารู้สึกปลื้มใจเป็อย่างมาก จุดประสงค์ที่ข้ามาเยือนอาณาจักรจ้าว คาดว่าพวกเ้าคงรู้กันอยู่แล้ว ซึ่งก็คือสำนักชิงอวิ๋นจะคัดเลือกศิษย์กลุ่มหนึ่งเพื่อเข้าสำนัก คอยบ่มเพาะให้เป็ผู้แข็งแกร่ง เพื่อเป็พลังให้กับสำนักชิงอวิ๋นในภายภาคหน้า!” ผู้าุโเฉียนกล่าวด้วยเสียงเกรงขาม พร้อมกวาดตามองไปทั่วลานประลอง
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้นต่างก็ตาลุกวาว โดยเฉพาะคนเ่าั้ที่แสดงฝีมือบนเวทีประลอง พวกเขาดูรอคอยมากกว่าใคร ๆ
สำนักชิงอวิ๋นคือผู้ปกครองเจ็ดอาณาจักรแห่งแดนชิงอวิ๋น มีอำนาจเหนือผู้ใด ที่นั่นมีทรัพยากรในการบำเพ็ญอย่างอุดมสมบูรณ์ และเป็ดินแดนแห่งความฝัน เมื่อเข้าสำนักชิงอวิ๋นก็เท่ากับว่าชะตาชีวิตพลิกผัน นับจากนี้จะโลดแล่นบนเส้นทางแห่งการบำเพ็ญ ยศถาบรรดาศักดิ์จะเปลี่ยนจากร้ายให้กลายเป็ดี
แม้จะเป็ศิษย์ธรรมดาคนหนึ่งของสำนักชิงอวิ๋น แต่เมื่ออยู่ในอาณาจักรเล็ก ๆ ที่ติดพรมแดนอย่างอาณาจักรจ้าว ฐานะจะสูงส่งขึ้นมาทันที กระทั่งราชวงศ์ยังต้องเคารพนอบน้อม อย่างเช่น องค์ชายใหญ่และจ่านเฉิน องค์ชายใหญ่คืออันดับหนึ่งของอาณาจักรจ้าว โดดเด่นเหนือใคร ทั้งยังเป็องค์ชายและมีฐานะสูงศักดิ์
แต่ถึงอย่างนั้นองค์ชายใหญ่ยังมีความเกรงใจในการพูดคุยกับจ่านเฉิน แม้จ่านเฉินจะดูถูกเหยียดหยามอาณาจักรจ้าว องค์ชายใหญ่ก็ทำได้เพียงเคารพนอบน้อม มิกล้าล่วงเกินจ่านเฉิน
นี่ก็คืออำนาจของศิษย์สำนักชิงอวิ๋น หากลูกหลานตระกูลไหนได้เข้าสำนักชิงอวิ๋น ตระกูลนั้นก็จะถูกยกฐานะขึ้นไปอีกระดับ แม้แต่ราชวงศ์ผู้สูงส่งก็ไม่กล้าแม้แต่จะล่วงเกินตระกูลเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม การเข้าสำนักชิงอวิ๋นเป็ความฝันหนึ่งของคนรุ่นเยาว์ทั่วทั้งอาณาจักรจ้าว
บัดนี้ผู้าุโเฉียนมาเยือนอาณาจักรจ้าวเพื่อคัดเลือกศิษย์เข้าสำนักชิงอวิ๋น ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ของทุกกองกำลังต่างหวังว่าผู้าุโเฉียนจะสนใจคนรุ่นเยาว์ของกองกำลังตน
จากนั้นมีผู้าุโคนหนึ่งเดินออกจากฝั่งตระกูลตู๋กู ก่อนจะกล่าวกับผู้าุโเฉียนด้วยความเคารพ “ผู้าุโเฉียน ผู้น้อยตู๋กูิจากตระกูลตู๋กู บุตรข้าตู๋กูจิงเรียนวรยุทธ์ั้แ่ยังเด็ก มากพร์ บัดนี้เขาอายุ 14 ปีก็ปลุกิญญาาขั้นเขียนได้แล้ว หวังว่าผู้าุโจะพิจารณาให้เขาไปฝึกที่สำนักชิงอวิ๋น ผู้น้อยจะซาบซึ้งใจเป็อย่างยิ่ง!”
เมื่อเห็นตู๋กูิเสนอตัวเอง คนของกองกำลังอื่น ๆ ก็เริ่มร้อนใจ จึงเอ่ยปากแนะนำคนรุ่นเยาว์ของกองกำลังตนให้กับผู้าุโเฉียน เพราะกลัวว่าผู้าุโเฉียนจะรับคนรุ่นเยาว์ของกองกำลังอื่น จึงรีบเสนอคนของตนอย่างรวดเร็ว
“เงียบปากให้หมด พวกเ้าคิดว่าคนที่อยู่ในอาณาจักรเล็ก ๆ ที่ติดพรมแดนอย่างพวกเ้าจะเข้าสำนักชิงอวิ๋นได้งั้นหรือ!” จ่านเฉินเห็นสถานการณ์เริ่มวุ่นวายจึงขึ้นเสียงใส่คนด้านล่าง ซึ่งเขาไม่เห็นคนเหล่านี้อยู่ในสายตาแม้แต่นิด
คำพูดของจ่านเฉินเกิดสัมฤทธิผลทันที ทุกคนหุบปากสนิทตามคาด พอเห็นสายตาไม่พอใจของจ่านเฉิน พวกเขาต่างก็คิดว่าจ่านเฉินโอหัง ตัวอยู่ที่อาณาจักรจ้าว แต่ปากกลับพูดว่าอาณาจักรจ้าวเป็อาณาจักรเล็ก ๆ ที่อยู่ติดพรมแดน แต่พวกเขาทำได้เพียงคิดในใจ โดยไม่มีผู้ใดกล้าพูดมันออกไป และเชื่อฟังแต่โดยดี
“สำนักชิงอวิ๋นคือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ รับเพียงผู้มากพร์ ซึ่งสามอันดับแรกในงานชุมนุมหวงปั่งครั้งนี้จะได้เข้าสำนัก หากคนอื่น ๆ อยากเข้า งานชุมนุมหวงปั่งปีหน้าก็จงทำคะแนนให้ดี ๆ!” ผู้าุโเฉียนกล่าว ทำให้ใบหน้าเปี่ยมความหวังของใครหลาย ๆ คนต้องมลายหายไปในทันที
“สำนักชิงอวิ๋นเป็ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ตามคาด ผู้ใดที่ได้เป็ศิษย์สำนักนี้ล้วนเป็อัจฉริยะเลื่องชื่อทั้งนั้น หาก้าเข้าสำนักชิงอวิ๋น อย่างน้อยต้องมีพลังอย่างสามอันดับแรกของงานชุมนุมหวงปั่ง!” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าว
“ข้าจะพยายามและเข้าสามอันดับแรกในงานชุมนุมหวงปั่งครั้งต่อไปเพื่อเข้าสำนักชิงอวิ๋นให้ได้ ข้าจักต้องกลายเป็ผู้แข็งแกร่ง!” ชายผู้หนึ่งพึมพำกับตัวเองพร้อมกำหมัดแน่นและดวงตาลุกโชนด้วยความแน่วแน่ ซึ่งมีคนรุ่นเยาว์หลายคนแสดงท่าทีเหมือนชายผู้นี้ เพราะพวกเขาต่าง้าเป็ศิษย์สำนักชิงอวิ๋นกันทั้งสิ้น
ส่วนโอวหยางเจินและฉวนเถี่ยจู้ดูตื่นเต้นกว่าใคร ๆ ซึ่งพวกเขาทั้งสองต่างฝันว่าตัวเองจะได้เข้าสำนักชิงอวิ๋น และบัดนี้ความฝันนั้นก็กลายเป็ความจริงแล้ว
“โอวหยางเจิน ฉวนเถียจู้ พวกเ้าสองคนยินดีเป็ศิษย์สายนอกของสำนักชิงอวิ๋นหรือไม่?” ผู้าุโเฉียนเอ่ยถามขณะมองโอวหยางเจินและฉวนเถี่ยจู้
“ศิษย์ยินดีขอรับ!” โอวหยางเจินและฉวนเถี่ยจู้ตอบกลับในทันที
“ดีมาก ด้วยพร์ของพวกเ้า เมื่อฝึกที่สำนักชิงอวิ๋นคงพัฒนาได้มากกว่านี้” ผู้าุโเฉียนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
จากนั้นผู้าุโเฉียนหันไปมองเย่เฟิงด้วยสายตาชื่นชม “เย่เฟิง เ้าใช้พลังขั้นรวมชี่ฝ่าฟันอุปสรรค ฝ่าด่านมากมายจนคว้าที่หนึ่งของงานมาครองได้ ซึ่งมันพิสูจน์พร์ของเ้าแล้ว ข้าชื่นชมเ้ามาก เ้ายินดีเข้าสำนักชิงอวิ๋นข้าหรือไม่?”
ดวงตาของเย่เฟิงวาบประกายแสง ผู้าุโเฉียนถามเขาเช่นนี้ จู่ ๆ เขาก็คำนึงถึงเื่ต่าง ๆ อย่างเช่น เมื่อเข้าสำนักชิงอวิ๋นแล้วจะมีเสรีภาพหรือไม่ จะได้กลับอาณาจักรจ้าวเพื่อฟื้นฟูตระกูลตามความปรารถนาของเขาหรือไม่ แล้วก็เื่ที่เย่เฟิงสืบทอดมรดกจากาาเสวียน ได้รับเคล็ดวิชาเก้าวัชรหุนหยวน ทำให้เขามีหน้าที่ที่ต้องฟื้นฟูสำนักเทพเทียนเสวียน
เื่เหล่านี้จะถูกจำกัดเมื่อเข้าสำนักชิงอวิ๋น หากได้เข้าสำนักชิงอวิ๋น เขาไม่สนใจชื่อเสียงเลยสักนิด แต่เขากลับสนใจเพียงเื่เหล่านี้เท่านั้น หากการเข้าสำนักชิงอวิ๋นแล้วกระทบต่อเป้าหมายของเขา เช่นนั้นเขายินดีเสียสละสิทธิ์ในครั้งนี้
“ผู้าุโเฉียนสนใจเย่เฟิง หากเขาเข้าสำนักชิงอวิ๋น ทางสำนักคงต้องอบรมสั่งสอนเป็อย่างดี และอาจกลายเป็ผู้แข็งแกร่งในวันข้างหน้า”
หลังจากผู้าุโเฉียนพูดเชื้อเชิญเย่เฟิง ผู้คนทั่วทั้งลานประลองต่างก็มองเย่เฟิงด้วยสายตาอิจฉาริษยา และคิดว่าเย่เฟิงคงไม่มีทางปฏิเสธคำเชิญของผู้าุโเฉียน
“ข้าอยากรู้ว่าหากข้าเข้าสำนักชิงอวิ๋นจะมีเสรีภาพหรือไม่?” ขณะที่ผู้คนคิดว่าเย่เฟิงจะตอบรับเข้าสำนักชิงอวิ๋น จู่ ๆ เย่เฟิงกลับเอ่ยคำถามออกมาแทน
“เ้าหมายถึงเื่ไหน” ผู้าุโเฉียนชะงักไปเล็กน้อย รอยยิ้มชื่นชมก็จางหายไป แต่แทนที่ด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย หากสำนักชิงอวิ๋น้ารับศิษย์ ทุกคนย่อมไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน แต่บัดนี้ชาวอาณาจักรเล็ก ๆ ที่ผู้าุโเฉียนมาเยือน กลับมีคนซักถามเขา แล้วจะให้เขาสุขใจได้อย่างไร?
“อย่างเช่น หลังผู้น้อยเข้าสำนักชิงอวิ๋น ทางสำนักจะให้เสรีภาพกับข้าหรือไม่? ให้ข้าเข้าออกสำนักตามใจ้า มีสถานที่ฝึกของตัวเอง ทำในสิ่งที่ข้า้า” เย่เฟิงเอ่ยถาม
“เย่เฟิงผู้นี้บ้าไปแล้วหรือ คนอื่นอยากเข้าสำนักชิงอวิ๋นก็ยังทำไม่ได้ แต่ผู้าุโเฉียนเชิญเขาเข้าสำนักชิงอวิ๋น เขากลับกล้าเสนอเงื่อนไข ช่างไม่เจียมตัวเสียเลย เขาคิดว่าตัวเองอยากทำอะไรก็ได้อย่างนั้นหรือ?”
คำพูดของเย่เฟิงทำให้ทุกคนใและอดเหงื่อตกไม่ได้ ส่วนบางคนที่สนใจเย่เฟิงต่างเผยสีหน้าตึงเครียด ทุกคนต่างคิดว่าเย่เฟิงวู่วามเกินไป
เป็ไปตามคาด สีหน้าของผู้าุโเฉียนดูอึมครึมขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น แต่ไม่รอให้ผู้าุโเฉียนกล่าวสิ่งใด จู่ ๆ จ่านเฉินที่อยู่ข้าง ๆ ก็พูดขึ้นว่า “เ้าเป็ใคร? การที่ได้รับความสนใจจากสำนักชิงอวิ๋นถือว่าเป็เกียรติของเ้า แล้วกล้าดียังไงมาเสนอเงื่อนไขเยี่ยงนี้ คิดว่าตัวเองเก่งมากนักหรือ?”
“เมื่อเข้าสำนักชิงอวิ๋นก็ย่อมต้องทำตามกฎของสำนัก หากไม่มีคำสั่งจากเบื้องบน ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าหรือออกสำนัก เ้ายังไม่ได้เข้าก็พูดเื่เสรีภาพแล้วหรือ?” ผู้าุโเฉียนตำหนิเย่เฟิง
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ งั้นผู้น้อยขอขอบคุณในความหวังดีของผู้าุโเฉียน แต่สำนักชิงอวิ๋นคงไม่เหมาะกับข้า”
เมื่อเย่เฟิงเห็นท่าทีของผู้าุโเฉียนและจ่านเฉินก็ตัดสินใจได้ในทันที แม้ตบะของเขาจะไม่สูงส่ง แต่ก็มีศักดิ์ศรี เขานั้นไม่ชอบให้ใครมาออกคำสั่ง ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธคำเชิญอย่างไม่คิดจะเสียใจใด ๆ
