Chapter 8
My love, where are you?
เสียงรบกวนจากโทรศัพท์มือถือคู่กายแผดลั่นทั่วอพาร์ทเมนต์ เดวิดงัวเงียเอื้อมมือควานหาจนเจอเข้ากับตัวการทำลายความสุขในห้วงนิทรา จำได้ว่าตั้งนาฬิกาปลุกไว้แล้วนี่นา ใครมันโทรมาเช้าขนาดนี้นะ
“ฮัลโหล”
“รีบมาเลยเดฟ เด็กน้อยมารอพี่เลี้ยงที่โต๊ะแล้วเนี่ย” แมททิวเอ่ยเสียงสดใส เดวิดละโทรศัพท์ที่แนบหูอยู่เพื่อดูเวลาด้วยสายตาที่พร่ามัว
“ยังไม่เจ็ดโมงเนี่ยนะ” เสียงโวยวายของปลายสายทำเอาแมททิวหัวเราะชอบใจ เดวิดขยี้ตาพร้อมขมวดคิ้วไม่สบอารมณ์เอาเสียยกใหญ่ จำใจลากสังขารออกจากที่นอนก่อนจะวางสายและคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำไป
เดวิดจอดมัสแตงหน้ากรมที่เดิม เขาหาวฟอดใหญ่ด้วยความง่วงอย่างเต็มสูบ อุตส่าห์บอกให้ไอ้แมททิวช่วยรับหน้าไปก่อนแต่มันดันปฏิเสธซะอย่างงั้น กะจะโยนให้เขาคนเดียวเลยหรือไงวะ เดวิดหัวเสียแต่เช้า ร่างสูงเดินหลบไปยังมุมตึกเพื่ออัดควันมะเร็งเข้าปอดก่อนที่จะขึ้นไปเจองานใหญ่ข้างบน
แค่เพียงเปิดประตูไปก็เจอใบหน้าที่คุ้นเคยนั่งรออยู่ที่โต๊ะแล้ว เดวิดไม่พูดอะไร ไม่ได้สนใจว่าเจย์ลีนจะรอการมาถึงของเขาอยู่ นายตำรวจหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ประจำตัว คว้าเอกสารบนโต๊ะมานั่งดูตามเดิม ทำเอาร่างเล็กที่นั่งอยู่ข้างๆพลอยอึดอัดไปด้วย
“วันนี้เราควรจะเริ่มลงมือทำอะไรสักอย่างมั้ย” เจย์ลีนเอ่ยทำลายความเงียบ คนหน้านิ่งละสายตาจากเอกสารตรงหน้า ก่อนจะหันหน้ามามองคนตัวเล็ก ดวงตาคมมองจ้องไม่กะพริบจนกระทั่งเจย์ลีนต้องหลบตาด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วน
“ผมไม่ได้ว่างเท่าคุณนะ ไม่ได้มีเวลาเยอะพอที่จะตื่นแต่เช้ามาก่อนเฝ้าคนอื่นแบบคุณ ผมมีคดีอื่นต้องสะสาง” เดวิดเอ่ยเสียงเรียบ ท่าทางของเขาทำเอาเจย์ลีนรู้สึกว่าไม่น่าพูดประโยคเมื่อกี้ออกมาเลย แต่ทำไงได้ในเมื่อเขาเองก็ร้อนใจเื่จูเลียนเช่นกัน ครั้นจะให้นิ่งดูดายไม่กระตือรือร้นเลยมันคงเป็ไปไม่ได้
“น้องชายคุณหายไปผมรู้ดีว่าควรจะรีบ แต่ขอเวลาผมสะสางเอกสารอะไรสักหน่อยก่อนได้มั้ย ผมรู้ว่ารับปากมาแล้วว่าจะช่วย แล้วผมก็หมายความแบบนั้น แต่ขอแค่คุณรอสักนิดนึง ได้มั้ย” เจย์ลีนนั่งนิ่งก้มหน้างุดไม่สบตา มันรู้สึกแย่เหมือนกันที่ทำเหมือนว่าเขารบกวนเดวิด มันเหมือนกับว่าเขาควรจะไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่นมากกว่า หรือไม่ก็ควรขอร้องให้อาร็อบเอาคดีน้องชายเขาไปให้ทีมอื่นทำซะแบบที่ตำรวจคนอื่นว่า
“ได้มั้ย” เดวิดถามย้ำ เจย์ลีนเงยหน้าสบตาคนที่มองอยู่ก่อนแล้ว ชายหนุ่มผิวแทนกอดอกมองคาดคั้นคำตอบจากปากบางอิ่มนั่น
“ครับ” คนตัวเล็กตอบเพียงแค่นั้น เดวิดพยักหน้าและหันกลับไปอ่านเอกสารตรงหน้าต่อ เจย์ลีนยิ่งรู้สึกเหมือนตัวลีบเล็กลงไปใหญ่ หากแต่ไม่มีทางเลือกอะไรนอกเสียจากรอคนข้างๆเพียงแค่นั้น
กระทั่งเดวิดรวบเอกสารไปยังมุมหนึ่งของโต๊ะ หันไปมองคนที่นั่งเงียบก็พบว่าเจย์ลีนกำลังก้มหน้ามองมือของตัวเอง นิ้วเรียวกำลังลูบหลังมือของตัวเองเงียบๆ คงไม่รู้จะทำอะไรระหว่างรอล่ะมั้ง
“เมื่อวานเราคุยกันถึงไหนนะ เื่เพื่อนสนิทของน้องชายคุณใช่มั้ย” เสียงเรียบเอ่ยขึ้นปลุกให้คนที่นั่งรออยู่หลุดออกจากภวังค์ เจย์ลีนเงยหน้าขึ้นก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ หัวใจที่เหี่ยวเฉาเพราะการรอดูเหมือนจะสดชื่นขึ้นเพราะในที่สุดคนข้างๆก็จัดการงานของตัวเสร็จสักที
“ครับ คุณถามผมเื่นั้น”
“คุณว่าใครสนิทกับเขาที่สุดนะ” เดวิดเปิดลิ้นชักใต้โต๊ะก่อนจะคว้าสมุดคู่ใจที่จดรายละเอียดทุกอย่างเอาไว้
“ชื่อเคนโตะครับ จำได้ลางๆว่าพ่อของเคนเป็ตำรวจ แต่ไม่แน่ใจว่าอยู่แผนกไหน” เจย์ลีนทำท่าครุ่นคิดไม่ต่างจากเดวิดที่คุ้นๆอะไรสักอย่าง
“เคนโตะ มิลเลอร์หรือเปล่า”
“ใช่ ใช่ครับ เคนโตะนั่นแหละ” เจย์ลีนตาเป็ประกายทันทีที่เดวิดพูดชื่อเพื่อนสนิทของจูเลียนได้ถูกเผง
“จุดไต้ตำตอเสียจริง พ่อเขาน่ะซาโต้ ซาโตรุ มิลเลอร์ เป็หัวหน้าทีมสามนี่แหละ”
“จริงหรอ” น้ำเสียงของคนตัวเล็กดูตื่นเต้นจนเก็บอาการไม่อยู่ อันที่จริงเดวิดเองก็ตื่นเต้นที่โลกมันกลมเช่นนี้ ทว่าดูเหมือนคนข้างๆจะแสดงอาการแทนเขาไปหมดแล้ว เจย์ลียขยับเก้าอี้ล้อเลื่อนเข้ามาใกล้เขามากขึ้น กลิ่นน้ำหอมสะอาดสะอ้านราคาแพงโชยมาให้นายตำรวจหนุ่มได้กลิ่นจางๆ ช่างขัดแย้งกับกลิ่นบุหรี่หึ่งของเขาจริงๆ
“ถ้างั้นคงต้องเริ่มจากเขานี่แหละ” เดวิดจรดปลายปากกาด้วยลายมือเป็ระเบียบลงสมุด เจย์ลีนประหลาดใจเล็กน้อยที่คนแบบนี้มีลายมือสะอาดเรียบร้อยอ่านง่าย แทบจะลายมือสวยกว่าเขาด้วยซ้ำ
“คุณอยากไปบ้านเขามั้ย ผมรู้จักบ้านเขานะ” เจย์ลีนเอ่ยเสนอ นายตำรวจหนุ่มคิดในใจว่ามันก็ดูเข้าที แต่หากเป็แบบนั้น ก็แปลว่าเขาต้องออกไปกับเด็กนี่สองคนน่ะหรอ เดวิดเงยหน้ามองเพื่อนร่วมทีม คริสยังคงจดจ่อกับหน้าจอคอม โชคดีที่แมททิวสบตาเขาเข้าพอดี หมอนั่นพยักพเยิดสนับสนุนอยู่แล้วแหละเพราะไม่ใช่ตัวมันเอง เดวิดส่ายหน้าอย่างระอา
“ตามมา” เดวิดตอบรับอย่างเสียไม่ได้ คว้ากุญแจรถที่วางอยู่และลุกเดินนำออกไป เจย์ลีนรีบลุกและเดินตามไปทันที คนบ้าอะไรเดินเร็วจริงๆ รอกันสักหน่อยก็ไม่ได้
บุโรทั่งคันเก่าจอดสนิทหน้าร้านขายของชำเหมือนเดิมในทุกวัน เ้าของรถกำลังหยิบข้าวของทีละชิ้นอย่างชำนาญเพราะจำได้ดีว่าอะไรอยู่ตรงไหน เสียงคนคุยกันแว่วมาให้ได้ยิน ชะโงกหน้าดูก็พบว่าชายหนุ่มหลังเคาท์เตอร์กำลังคุยจ้ออย่างออกรสกับชายแปลกหน้าอีกคน ไม่เคยเห็นมาก่อนเหมือนกัน แต่ช่างเถอะ ไม่ใช่เื่ที่ต้องไปรู้จักอยู่ดี
มันหอบของทั้งหมดวางหน้าเคาท์เตอร์หลังจากชายคนนั้นหลีกทางให้ มองปราดเดียวก็พอเดาได้ว่าคงเด็กกว่าเขาเกือบยี่สิบปีเสียมั้ง มันควักเงินจ่าย ไม่ต้องเงยมองก็รู้ว่าคนหลังเคาท์เตอร์กำลังพยักพเยิดให้ชายหนุ่มอีกคนดูมัน แต่มันไม่ได้สนใจ จ่ายเงินเรียบร้อยก็รวบของทั้งหมด ก่อนจะสตาร์ทรถเสียงดังสนั่นและขับออกไปพร้อมกลุ่มควันจากท่อรถคันเก่า
“นั่นไงที่ฉันเคยเล่าให้ฟัง” แซมรีบพูดทันทีหลังจากชายคนนั้นลับไปจากร้าน
“ก็ออกจะพิลึกแบบที่นายว่าจริงแฮะ แต่ช่างเขาเถอะ” อเล็กซ์ตอบอย่างไม่ยี่หระเท่าไหร่
“นั่นสิ มาเถอะ เดี๋ยวฉันจะเล่าให้ฟังต่อเื่ศพใหม่ที่พึ่งเจอเมื่อไม่กี่วันก่อนน่ะ เห็นเขาว่า…” แซมโน้มตัวมาใกล้คนฟังมากขึ้น อเล็กซ์ขยับเข้าไปยืนตำแหน่งเดิม ตั้งใจฟังเื่ที่แซมกำลังเล่าอย่างใจจดใจจ่อ
ระหว่างทางที่มัสแตงคันสีดำเคลื่อนตัวไปบนท้องถนน ร่างเล็กบนเบาะข้างคนขับไม่พูดอะไร เพียงแต่นิ่วหน้าเล็กน้อยเพราะรถคันนี้กลิ่นควันมะเร็งจากมวนบุหรี่หึ่งไปทั่ว เสนอแล้วว่าทำไมถึงไม่เอารถตำรวจไป เดวิดว่ามันใหญ่โตและอาจสร้างความใกับเพื่อนบ้านหรือคนแถวนั้นก็ได้ เจย์ลีนรู้ดีว่าไม่ควรแย้งอะไรออกไป ได้แต่นั่งยอมรับหนทางที่ไม่อาจเลือกอยู่ตรงนี้
พลันเ้าของรถหักเลี้ยวและจอดที่หน้าร้านกาแฟเล็กๆแห่งหนึ่ง ดับเครื่องยนต์และเปิดประตูออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ เจย์ลีนทำได้เพียงรีบลงรถตามไปเท่านั้น เพราะเช้านี้เขาเองก็ยังไม่ได้ดื่มอะไรเพื่อให้สมองกระปรี้กระเปร่าเช่นกัน
“ให้ผมจ่ายนะ” คนอายุน้อยกว่ายื่นการ์ดวงเงินสูงลิบลิ่วออกมาขณะที่เดวิดกำลังจะจ่ายเงิน แน่นอนว่านายตำรวจหนุ่มส่งสายตาขุ่นเคืองมายังเจย์ลีนทันที
“ของผมเท่าไหร่นะครับ” เดวิดถามย้ำกับแคชเชียร์สาวพร้อมทำท่านับธนบัตรในมือ ใบหน้ากลมของคนที่เสนอตัวจะเลี้ยงชาวาบไปทั้งแถบ แบบนี้มันทำให้เขาอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี ไม่น่าไปเสนอตัวแบบนั้นเลย
ดวงตาคมมองคนตรงข้ามแล้วก็ส่ายหน้าเบาๆ ดูท่าทางจะหงอยน่าดูที่เขาปฏิเสธน้ำใจแบบนั้น นิ้วเรียวของเจย์ลีนลูบแก้วกาแฟเย็นวนไปมาขณะสายตามองออกไปยังนอกร้าน ไม่ใช่ว่าอยากจะชมวิวหรอก แต่อายจนไม่กล้าสู้หน้าและไม่อยากมองเดวิดตอนนี้ซะมากกว่า
“ที่ปฏิเสธเพราะว่ามันดูไม่ดี…” เจย์ลีนหันหน้ามาสบตาเ้าของเสียงเรียบที่เอ่ยทำลายความเงียบระหว่างคนทั้งสอง
“ครับ?”
“ผมแก่กว่าคุณตั้งหลายปีคงไม่เหมาะนักถ้าจะให้คุณเลี้ยง อีกอย่างรับของบ่อยๆผมคงหาว่ารับสินบนซะมากกว่าน้ำใจ” คนโตกว่าพูดกลั้วหัวเราะ เจย์ลีนเมื่อรู้แบบนั้นก็กล้าจะสบตาเขามากขึ้น รอยยิ้มบางๆปรากฏขึ้นบนใบหน้า ทว่ามันเป็รอยยิ้มที่ดูจะเหยียดหยันตัวเองเสียเหลือเกินในสายตาเดวิด
“ไม่ได้อยากจะติดสินบนคุณหรอก แต่คุณดูมีน้ำใจกับผม มีแค่คุณคนเดียวที่ยอมคุยด้วย คนอื่นเหมือนจะเห็นผมเป็อากาศธาตุด้วยซ้ำ” สุ้มเสียงดูน้อยเนื้อต่ำใจเสียเหลือเกิน เดวิดเองก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจเล็กน้อย จริงอยู่ที่แมททิวกับคริสไม่มีใครพูดกับเจย์ลีนสักคน แต่นั่นมันคงเป็เพราะว่าไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันถึงขนาดจะพูดคุย ซ้ำร้ายคดีของจูเลียนนั้นก็ดันเข้ามาแทรกงานใหญ่แบบไม่ชอบธรรมเสียด้วย
“ผมเองก็ไม่ได้อยากจะคุยกับคุณนักหรอก แต่คนที่เหลือมันโยนให้ผมมากกว่า อีกอย่าง เกิดคุณไปฟ้องพ่อคุณขึ้นมาผมก็ซวยแย่” นายตำรวจหนุ่มพูดจบก็จิบกาแฟพร้อมกับใบหน้าเซงอารมณ์เสียเต็มประดา
“ผมไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อย” เจย์ลีนเอ่ยเสียงแข็ง หลายครั้งที่ผู้คนภายนอกมักเข้าใจว่าลูกหลานตระกูลร่ำรวยแบบสองแฝดนั้นมักจะมีนิสัยเอาแต่ใจ อยากได้อะไรต้องได้ หรือแม้กระทั่งขี้ฟ้องแบบที่คนตรงหน้าเข้าใจผิด จริงๆมันไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย กลับกันออกจะตรงข้ามเสียด้วยซ้ำ
“นั่นมันก็เื่ของคุณ” คนผิวแทนยักไหล่ไม่ได้สนคำตอบของเจย์ลีนเลย มิหนำซ้ำยังลุกจากโต๊ะและเปิดประตูออกไปข้างนอกหน้าตาเฉย ทิ้งไว้ก็แต่แฝดพี่ที่ถูกจ้องมองด้วยสายตาประหลาดจากคนรอบข้าง ลูกค้าคนอื่นคงจะสงสัยว่าทำไมเขาถึงมานั่งต่อล้อต่อเถียงกับตำรวจแบบนี้ล่ะมั้ง
บรรยากาศในรถดูเหมือนจะคลายความกระอักกระอ่วนลงเล็กน้อย เจย์ลีนพยายามเริ่มบทสนทนาสั้นๆระหว่างคนทั้งสอง เขาคิดเพียงแต่ว่าไม่อยากให้เดวิดเข้าใจในสิ่งที่เขาไม่ได้เป็ เช่นคนเอาแต่ใจหรือขี้ฟ้อง เพราะฉะนั้นการสื่อสารที่มากขึ้นก็อาจเป็ผลดี เจย์ลีนดูท่าแล้วคงจะต้องพึ่งเดวิดไปอีกสักพักจนกว่าจะเจอจูเลียน
“หลังนี้นะ” เดวิดชะลอรถเทียบกับฟุตบาท หันหน้าถามคนที่นั่งอยู่ข้างๆเพื่อความแน่ใจ
“ใช่ครับ หลังนี้แหละ”
เดวิดจอดเทียบให้เข้าที่เข้าทาง ยังไม่ดับรถหากแต่สังเกตการณ์สักหน่อยก่อนจะลงไป บ้านเดี่ยวสองชั้นหลังไม่เล็กไม่ใหญ่สำหรับอยู่กันสองคนพ่อลูก สีเทาอ่อนทั้งหลังเดาว่าคนลูกคงเลือก แต่ต้นไม้น้อยใหญ่หน้าบ้านทั้งนอกแปลงในแปลงนี่คงของพ่อชัวร์
“ยังไม่ลงหรอครับ” เจย์ลีนเอ่ยถามหลังจากเห็นว่าคนหลังพวงมาลัยนิ่งไป มีเพียงแต่ดวงตาคมที่สอดส่องไปมาเท่านั้น
“รถซาโตรุไม่มี น่าจะออกไปกรมแล้ว เกิดมาหาลูกเขาสุ่มสี่สุ่มห้าโดยไม่บอก ตาแก่นั่นโวยวายด่าเป็ภาษาญี่ปุ่นแน่” คำพูดคำจานั้นน่าขบขันจนเจย์ลีนแอบหัวเราะในลำคอเพราะใบหน้าคนพูดดูจริงจังเหลือเกิน
คนในเครื่องแบบผายมือให้เจย์ลีนเดินไปยังประตู ส่วนตัวเขานั้นเดินไปอีกฝั่งเพื่อสำรวจรอบบ้านแทน เจย์ลีนหยุดอยู่หน้าประตูครู่หนึ่งก่อนจะกดกริ่งเรียก สักพักเสียงกุกกักแว่วมาจากอีกฝั่งก็ดังขึ้น ประตูไม้ถูกเปิดออกพร้อมชายหนุ่มที่ทั้งสอง้าจะเจอในชุดนอนเสื้อกล้ามกางเกงขายาว
“มีอะไรหรือเปล่าครับ?” เคนโตะดูสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย ทว่าก็แปรเปลี่ยนเป็เข้าใจแต่โดยดีเมื่อมองผ่านไหล่บางของเจย์ลีนไป นายตำรวจนายหนึ่งยืนหน้านิ่งอยู่ทางด้านหลัง
“ขอรบกวนเวลาสักครู่นะครับ” บานประตูเปิดกว้างจนเต็มบานอย่างง่ายดายหลังเสียงอ่อนนุ่มผิดปกติของเดวิดเอ่ยขึ้น เคนโตะหลีกตัวไปอีกทางให้คนทั้งสองเข้ามาโดยไม่มีข้อกังขาใดๆ เขารู้ดีว่าทำไมเจย์ลีนและตำรวจถึงมาที่นี่ คงจะเื่จูเลียนไม่ผิดแน่
“ดื่มอะไรมั้ยครับ” เ้าของบ้านเอ่ยถามคนทั้งคู่ที่นั่งอยู่ในห้องรับแขก นายตำรวจหนุ่มส่ายหน้าขณะมองสอดส่องไปรอบในบ้าน เจย์ลีนขอเพียงชาหนึ่งแก้ว เคนโตะพยักหน้ารับและผลุบหายเข้าไปในครัว
ภายในบ้านตกแต่งแบบไม่ต้องเดาก็รู้ว่าต้นตระกูลมาจากไหน มู่ลี่สีอ่อนและกระถางต้นไผ่ตรงมุมหนึ่งของบ้าน แต่ห้องรับแขกนี่เป็โซฟาปกติ เดาว่าคนลูกคงไม่ชอบแบบเสื่อนั่งพื้น แต่ก็ยังไม่วายเลือกเบาะรองนั่งลายที่ดูมีกลิ่นอายจากประเทศกำเนิดของตัวเองอยู่ดี เดวิดเองก็ไม่รู้ว่ามันคือลายอะไร หากแต่นึกชมในใจว่าทั้งซาโตรุและเคนโตะมีรสนิยมในการเลือกเฟอร์นิเจอร์ได้ดีอยู่พอสมควร
ไม่นานนักชายหนุ่มในเสื้อกล้ามสีขาวก็เดินออกมาจากครัว นั่งลงบนโซฟาเดี่ยวตรงข้ามกับทั้งคู่ วางแก้วชาควันฉุยตรงหน้าเจย์ลีน คนตัวเล็กก้มหัวขอบคุณ ความเงียบปกคลุมอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่นายตำรวจหนุ่มจะหยิบปากกาและสมุดจดประจำตัวเล่มเล็กขึ้นมา
“ผมเดวิด ลี มาจากฝ่ายสืบสวนสอบสวนแผนกคดีฆาตกรรม” เดวิดเริ่มแนะนำตัว ทันทีที่เคนโตะได้ยินชื่อแผนกของคนตรงหน้า ดวงตาคมเบิกกว้างทันที
“คุณไม่ได้พัวพันกับคดีฆาตกรรมหรอกครับ พอดีว่าผมกำลังทำคดีคนหาย คุณน่าจะพอเดาไม่ยากว่าใครกันที่หายไป” เคนโตะถอนหายใจอย่างโล่งอก เขารู้ดีว่าที่เจย์ลีนมาด้วยเพราะคงเป็คดีจูเลียนแน่ๆ แต่ไอ้คำว่าฆาตกรรมมันทำเอาเขาใจเสียเหลือเกิน นึกว่าจะเกิดเื่ร้ายๆกับจูเลียนขึ้น
“ครับ” ชายหนุ่มตอบรับเพียงสั้นๆ เดวิดพยักหน้าและเริ่มเข้าคำถามทันที
“ผมอยากทราบความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับจูเลียน เมอติเนซ” เคนโตะพยักหน้า ยกแก้วกาแฟในมือขึ้นจิบและเริ่มจะเปิดปากพรั่งพรูออกมาทีละน้อย
“ผมกับจูเลียนเรารู้จักกันมานานมากั้แ่สมัยไฮสคูล สนิทกันมากมาตั้งนานแล้ว ที่จริง…” สีหน้าลังเลปรากฏ ทว่าเดวิดจ้องหน้าเคนโตะตาไม่กะพริบ เจย์ลีนเองก็พลอยใจเต้นไปด้วย เพราะอยู่ดีๆเขาก็หยุดพูดไปเสียดื้อๆ
“ที่จริงเราเคยคบกัน แต่เลิกกันไปแล้วและกลับมาเป็เพื่อนสนิทกันเหมือนเดิม เอ่อ ผมขอโทษนะเจย์ที่ไม่เคยบอก” เจย์ลีนเบิกตากว้างด้วยความใ มันเป็เื่ที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลย เข้าใจมาตลอดว่าทั้งสองเป็เพื่อนสนิทกันธรรมดา
“่นี้จูเลียนติดต่อใครเป็พิเศษมั้ยครับ เขาพอมีเพื่อนคนอื่นอีกมั้ยนอกจากคุณ” เดวิดเอ่ยดึงความสนใจก่อนที่การใจะทำให้เสียเวลาไปกว่าเก่า ชายหนุ่มเตรียมจรดปากกาลงสมุดจดทุกคำพูดลงไป
“ไม่เลยครับ จูเลียนกับผมสนิทกันแค่นั้น เขาพอจะมีเพื่อนบ้างเล็กน้อย แต่ไม่เคยไปไหนมาไหนด้วยกันขนาดที่ว่าจะพากันหายไปได้” เดวิดพยักหน้ารับ เหลือบมองท่าทางของคนตรงข้ามบ้างเล็กน้อยขณะมือขวาเองก็จดทุกอย่างลงไปด้วยเช่นกัน
“แล้วเขาพอจะมีเื่ที่สนใจใน่นี้ หรือสถานที่ที่ชอบไปมั้ยครับ”
“เขาชอบนั่งเขียนคอลัมน์ที่ร้านกาแฟตรงมุมตึกใกล้ๆกับสวนสาธารณะ เท่าที่ผมรู้ก็มีแค่นี้นั่นแหละครับ” เคนโตะหันไปสบตากับคนพี่ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขา แวบเดียวก็ต้องแสร้งมองไปทางอื่น ทั้งสองคนเหมือนกันมากต่างแค่สีผม เหมือนราวกับเป็คนคนเดียวกัน นั่นมันยิ่งทำให้เขาไม่กล้าจะมอง เคนโตะคิดถึง คิดถึงจูเลียนเหลือเกิน
นายตำรวจหนุ่มเงยหน้าหลังจากบันทึกข้อมูลด้วยลายมือเป็ระเบียบจนครบ ความเงียบปกคลุมอีกครั้ง ไม่มีใครเอ่ยอะไรสักอย่าง เดวิดเองมีความคิดบางอย่างอยู่ในหัว กลับกันเจย์ลีนเองไม่รู้เลยว่าต้องไปทางไหนต่อ ไม่รู้ว่าควรจะถามอะไรให้มีประโยชน์มากขึ้น หรือควรนั่งเงียบๆแบบนี้ต่อไปกันนะ ถ้าเป็แบบนั้นเดวิดจะคิดว่าเกะกะมั้ย
“คุณคิดว่าผมควรรู้อะไรอีกมั้ย ข้อมูลสำคัญอะไรที่คุณยังไม่ได้บอกผม บอกมาได้เลยนะ” เดวิดใช้น้ำเสียงโน้มน้าวจนคนฟังอย่างเจย์ลีนรู้สึกได้ ไม่ใช่น้ำเสียงกระโชกโฮกฮากแบบที่ใช้ตอนอยู่กรม หรือแม้กระทั่งคุยกับเขาในบางที
เคนโตะทำท่าครุ่นคิด ในหัวประมวลผลตีกันเละเทะว่าควรจะทำยังไงต่อ บางอย่างที่ซ่อนหรือเก็บเอาไว้เขาควรพูดมันออกไปมั้ย แล้วถ้าพูดออกไปกลายเป็ว่ามันไม่ได้มีประโยชน์แต่กลับมีโทษให้เดือดร้อนไปถึงคนที่เขารักสุดหัวใจอย่างจูเลียนล่ะ เขาจะทำยังไง แบบนั้นเขาคงเสียใจมากแน่
“ฟังให้ดีนะเคนโตะ ตอนนี้คุณคือหมากตัวแรกบนกระดานของเรา เราต้องเดินหมากตัวแรกให้ถูกช่อง เพราะเราเริ่มทุกอย่างจากศูนย์ ชีวิตของจูเลียนคืออีกฝั่งของกระดาน เป็ตายมีโอกาสเท่ากันหมด มันอยู่ที่หมากตัวแรกแล้วนะ” เดวิดโน้มตัวเข้าใกล้และเอ่ยด้วยน้ำเสียงเดิมที่ดูจะปลอบประโลมมากขึ้น เคนโตะสบตากับนายตำรวจหนุ่ม
“ผมไม่รู้จริงๆ ผมรู้แค่เท่าที่จูลบอกกับผมนั่นแหละ มันก็มีแค่เท่าที่ผมบอกคุณไป” เจย์ลีนมองสลับกับคนทั้งสองอย่างสับสน เดวิดนิ่งเสียจนน่ากลัว เรียกว่าเขาใช้เพียงสายตาในการมอง แต่ทว่าสายตาคาดคั้นของเขามันน่ากลัวยิ่งกว่าคำพูดใดใดอีก ส่วนเคนโตะเองก็สบตาเขาอยู่เช่นกัน หากแต่ดวงตาคมดูส่ายไปมาอย่างแปลกๆ เจย์ลีนเองก็เดาไม่ออกว่ามันคืออะไร
“ถ้าคุณว่าแบบนั้นก็โอเคครับ งั้นผมก็รบกวนแค่นี้ ถ้ามีอะไรที่อยากจะให้ข้อมูลเพิ่มติดต่อกลับมาที่สถานีได้ครับ นี่เบอร์ผม” เดวิดจดเบอร์โทรศัพท์ของตัวเองใส่กระดาษหน้าหนึ่งและฉีกมันออกมาก่อนจะยื่นให้ชายหนุ่มตรงหน้า เคนโตะพยักหน้าและรับมันมาถือในมือ เดวิดลุกขึ้นทันทีและเดินไปทางหน้าประตูบ้าน เจย์ลีนรีบลุกตามอย่างรวดเร็ว หมอนี่นึกจะทำอะไรก็ทำไม่ส่งสัญญาณอะไรสักอย่าง
“ขอบคุณครับ” เดวิดกล่าวหลังจากเ้าของบ้านเปิดประตูให้ นายตำรวจหนุ่มเดินไปยังรถและเปิดประตูขึ้นนั่ง เสียงมัสแตงสีดำครางหึ่งหลังจากบิดสตาร์ท
“ถ้ามีอะไรรีบติดต่อมาเลยนะเคน พี่ขอร้อง” เจย์ลีนเอ่ยส่งท้ายด้วยแววตาร้องขอ เคนโตะทำเพียงพยักหน้า มองแผ่นหลังของแฝดพี่ลับขึ้นรถไป ไม่นานมัสแตงคันสีดำก็เคลื่อนตัวไปยังท้องถนนและหายไปจนสุดสายตา
“เขาดู…”
“ปิดบัง” ยังไม่ทันที่เจย์ลีนจะเอ่ยจบ คนหลังพวงมาลัยก็โพล่งขึ้นมาทันที ดวงตาคมมองไปยังเบื้องหน้าอย่างนิ่งเฉย เจย์ลีนหันขวับมองหน้าคนข้างตัว
“คุณดูออกหรอ” คำถามแสนซื่อจากคนตัวเล็กทำเอานายตำรวจผิวแทนหันขวับและหรี่ตามอง ดวงตากลมนั่นตั้งคำถามจนบางครั้งก็ทำเขาหงุดหงิด
“ตอนคุณยังไม่จบไฮสคูลผมเริ่มสอบปากคำแล้วครับคุณหนู ผมดูออก”
“ผมไม่ได้คิดว่าคุณจะดูไม่ออก แต่ผมหมายถึงว่าคุณก็คิดเหมือนกันใช่มั้ย” เสียงเพราะเอ่ยอย่างอ่อนยวบ เห็นทีคงจะต้องฝึกฝนการใช้คำใหม่ซะแล้ว แค่พูดผิดไปนิดหน่อยคนข้างๆก็แปลความหมายผิดไปเสียไกล
“เขากำลังซ่อนอะไรบางอย่าง เดาว่าคงจะเป็อะไรที่สำคัญ สายตาเขาดูลุกลี้ลุกลนผิดปกติ แถมท่าทางก็ดูกระวนกระวาย” น้ำเสียงเรียบนิ่งที่เปลี่ยนไปราวกับคนละคนเทียบกับเมื่อครู่ทำเอาเจย์ลีนรู้สึกชื่นชมเขาอยู่ไม่น้อย ลำพังคนทั่วไปแบบตัวเองคงดูไม่ออกหรอกว่าใครมีท่าทางยังไง ซ่อนอะไรไว้หรือเปล่า แต่เดวิดดูออกหมดทุกอย่าง แต่ก็จริงอย่างที่เขาว่า เขาเป็ตำรวจั้แ่เจย์ลีนยังไม่จบไฮสคูลด้วยมั้ง
“แล้วถ้างั้นมันคืออะไรหรอ เราควรต้องรู้มันให้ได้สิ”
“ยังไงเดี๋ยวก็คงได้รู้อยู่แล้ว…” เดวิดนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อ
“ถ้าเคยคบกันแล้วกลับมาเป็เพื่อนกันได้จนถึงทุกวันนี้ อย่างน้อยมันคงต้องมีความผูกพันซ่อนอยู่บ้าง แล้วคนที่เคยได้มี่เวลาดีๆด้วยกันกำลังตกอยู่ในอันตรายแบบนี้ ผมว่าตัวเขาเองก็คงไม่นิ่งเฉยหรอก” เดวิดร่ายยาว เจย์ลีนทำได้เพียงพยักหน้าเพราะเห็นด้วยกับที่เขาว่าทุกอย่าง แต่เื่ที่ทั้งสองคนเคยคบกันมันเป็เื่ใหม่สำหรับเจย์ลีนมาก ไม่เคยคิดมาก่อนเลยสักนิด มันยิ่งทำให้รู้สึกว่าบางทีจูเลียนเองก็อาจจะไม่ได้เปิดใจบอกอะไรเขาทั้งหมด หรือบางทีน้องชายฝาแฝดคนนี้อาจจะมีอะไรปิดบังเขาอยู่มั้ยนะ ตัวเขาเองก็ไม่รู้เลย
“คุณไม่เห็นหรือไง” เดวิดละสายตาจากบนท้องถนน หันมามองใบหน้ากลมที่สบตาเขาอยู่ก่อนแล้ว
“หือ” เจย์ลีนร้องขึ้นด้วยความสงสัย
“หน้าคุณน่ะเขายังไม่กล้ามองเลย ก็เพราะคุณเหมือนน้องชายคุณเป๊ะ เขาคงรู้สึกอะไรบางอย่างก็เลยไม่กล้าสบตา ผมเดาเอานะ แต่คิดว่าคงไม่ผิดไปจากนี้หรอก” เดวิดหันกลับไปมองที่ท้องถนนตามเดิม เจย์ลีนเองก็เห็นเช่นนั้นเหมือนกัน เพราะหลายครั้งที่พยายามสบตาเคนโตะ เขามักจะมองเพียงครู่เดียวก็หันไปทางอื่น ไม่เคยสบตาเจย์ลีนอย่างจริงจังด้วยซ้ำ
“แล้วเราจะเอายังไงต่อ” เจย์ลีนเอ่ยถาม
“พรุ่งนี้มีเื่ให้ต้องทำ คิดไว้แล้วแหละ”
“อะไรหรอ”
“โทรศัพท์น้องชายคุณน่ะ คุณว่าล่าสุดยังโทรติดใช่มั้ย”
“เอ่อ ครับใช่ ใช่ๆ” เจย์ลีนขมวดคิ้วสงสัยเล็กน้อย ก่อนที่คนข้างๆจะเอ่ยไขข้อสงสัยที่อยู่ในใจออกมา
“พรุ่งนี้ผมจะไปติดต่อแผนกไอทีที่ผมรู้จักคนนึง เขาเก่งมาก น่าจะพอแกะรอยโทรศัพท์น้องชายคุณได้” เจย์ลีนยิ้มกว้าง ดั่งน้ำเย็นรดลงหัวใจที่ห่อเหี่ยว กล่าวขอบคุณเดวิดเสียยกใหญ่ รู้สึกว่ามีหวังจนหัวใจมันพองโตขึ้นมา ชายหนุ่มข้างตัวลอบหันมองรอยยิ้มของคนอายุน้อยกว่าแล้วก็ส่ายหัวด้วยความระอา ยิ่งกว่าเด็กน้อยที่จะได้กินขนมซะอีก