หากสามารถเอาใจเขามาใส่ใจเรา คิดในมุมมองของผู้อื่นได้ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์คงสงบสุขขึ้นมากโข!
ถ้าไม่เกิดเื่คราวนี้ กวนฮุ่ยเอ๋อคงไม่ถามไถ่เื่เหล่านี้กับเซี่ยเสี่ยวหลาน
พอคิดดูให้ดี หากเซี่ยเสี่ยวหลานไม่มีความทะเยอทะยานเช่นนี้ คนที่โจวเฉิงจะพาเข้าบ้านก็คงไม่ใช่จอหงวน [1] ที่มีอิสระทางการเงินเช่นนี้ แต่เป็เซี่ยเสี่ยวหลานที่มีดีเพียงหน้าตาสะสวย เกิดที่ชนบท ครอบครัวยากจน พ่อแม่หย่าร้าง ต้องอาศัยอยู่บ้านของคุณลุงเท่านั้น เซี่ยเสี่ยวหลานที่เป็เช่นนั้นคงไม่มั่นใจในตัวเอง ขี้กลัว และใจแคบอย่างแน่นอน นี่นับว่ากวนฮุ่ยเอ๋อพยายามคิดในแง่ดีที่สุดแล้ว
ซ้ำร้ายไปกว่านั้น คนเรายิ่งคุณภาพชีวิตย่ำแย่ก็ยิ่งเ้าแผนการ เพราะนอกจากจะใช้ความงามผูกมัดโจวเฉิงเพื่อแต่งเข้าตระกูลโจวแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานผู้นั้นคงไม่มีวิธีการอื่นเพื่อเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตน หากเป็เช่นนั้นจริง เซี่ยเสี่ยวหลานผู้นั้นย่อมพยายามประจบเอาใจคนตระกูลโจว แม้กวนฮุ่ยเอ๋อจะรู้สึกว่านิสัยของเซี่ยเสี่ยวหลานคนปัจจุบันนั้นแข็งกระด้างเกินไป แต่ถ้าโจวเฉิงจูง ‘เด็กน่าสงสาร’ ท่าทางไม่เอาอ่าวกลับมาบ้าน คนแรกที่จะเป็บ้าคงเป็เธอแน่นอน!
ถ้าเซี่ยเสี่ยวหลานมีพื้นเพครอบครัวดีกว่านี้สักนิด นิสัยคงอ่อนโยนขึ้นมากโข
แต่เพราะเธอไม่ได้โชคดีเช่นนั้น ดันเกิดในหมู่บ้านชนบท จึงจำเป็ต้องเพียรพยายาม ก่อนประสบความสำเร็จจะท้อถอยไม่ได้ และต้องรักษาจิตใจที่ทะเยอทะยานนี้เอาไว้เสมอ
กวนฮุ่ยเอ๋อเริ่มสับสน รับเสื้อขนเป็ดจากเซี่ยเสี่ยวหลานมาแค่ตัวเดียว ตนจะเปลี่ยนจุดยืนไวไปหน่อยหรือเปล่านะ?
ว่ากันว่ากินหรือรับของจากคนอื่นแล้วมักจะใจอ่อน คงหมายถึงสถานการณ์เช่นนี้สินะ!
ทั้งสองคนคุยกันอย่างไม่มีช่องว่างให้รู้สึกอึดอัด กวนฮุ่ยเอ๋อเองก็รู้สึกใกับสถานการณ์นี้เช่นกัน
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้อะไรไม่น้อยเลยทีเดียว ไม่ว่ากวนฮุ่ยเอ๋อพูดเื่ไหน เซี่ยเสี่ยวหลานก็สามารถคุยต่อได้ และไม่ใช่การพูดประจบอย่างขอไปทีเท่านั้น ทว่าเป็การพูดแบบสบายๆ แต่ตรงประเด็นอยู่เสมอ
ดูแล้วไม่เหมือนเด็กสาวที่เติบโตอยู่ในครอบครัวชนบทเลยจริงๆ
ไม่ใช่ว่ากวนฮุ่ยเอ๋อดูถูกการเกิดในครอบครัวชนบทของเซี่ยเสี่ยวหลาน ทว่ามันคือความเป็จริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ครอบครัวแร้นแค้นมีลูกหลานที่เก่งกาจ อาจจะเฉลียวฉลาดร่ำเรียนจนสามารถประสบความสำเร็จ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีเงินทองมากพอที่จะเรียนศาสตร์อื่นมากมายนัก ความสามารถโดยรวมจึงด้อยกว่าผู้อื่นอยู่บ้าง เพราะเด็กในเมืองมีสภาพแวดล้อมทางการศึกษาที่ดีั้แ่ยังเล็ก ทว่าในชนบทนั้นต่างออกไป กวนฮุ่ยเอ๋อได้เรียนภาษารัสเซียั้แ่สมัยวัยรุ่น แต่เซี่ยเสี่ยวหลานใช้ชีวิตอยู่ในชนบท จะหาคนพูดภาษารัสเซียด้วยได้หรือ?
คนชนบทแม้แต่ภาษาจีนกลางยังพูดไม่ชัด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงภาษารัสเซียเลย!
ความจริงกวนฮุ่ยเอ๋อเองก็ชมเกินไป ถึงอย่างไรเซี่ยเสี่ยวหลานก็มีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ นั่นแล ใครใช้ให้ชาติก่อนเธอมีชีวิตอยู่นานหลายสิบปีเล่า อีกทั้งยังอยู่ในยุคสมัยที่เต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสาร ขอเพียงมีสมาร์ทโฟนอยู่ในมือ ไม่จำเป็ต้องออกจากบ้านก็สามารถรู้เื่ราวทั่วโลกได้ เพราะเื่งานทำให้เซี่ยเสี่ยวหลานต้องหาข้อมูลที่เป็ประโยชน์ เพิ่มพูนความรู้ใหม่ๆ ให้กับตัวเองอยู่เสมอ
ในทางกลับกัน หากกวนฮุ่ยเอ๋อคุยเื่ทางศิลปะล่ะก็ เซี่ยเสี่ยวหลานคงไม่กล้าพูดอะไรที่เหลวไหล
โชคดีที่ตัวกวนฮุ่ยเอ๋อเองก็ไม่สนใจทางด้านศิลปะเท่าไรนัก ถึงได้เข้าใจอะไรบางอย่างผิดไปในทิศทางที่ดี
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกว่าหลังคุยจบ สายตาที่กวนฮุ่ยเอ๋อใช้มองเธอนั้นอ่อนโยนขึ้นไม่น้อย... จี้หย่าคอยตามรังควาน กลับกลายเป็โอกาสที่ทำให้เธอได้ทำความรู้จักกับแม่ของโจวเฉิงอย่างนั้นหรือ?
เซี่ยเสี่ยวหลานอยากยิ้มก็ไม่ใช่ ร้องไห้ก็ไม่เชิง
โจวกั๋วปินกลับมาอีกทีก็เป็เวลาเที่ยงตรงแล้ว เขาทุ่มเทให้กับงานอย่างเต็มที่ สำหรับเขาวันอาทิตย์ไม่ได้มีไว้เพื่อพักผ่อน แต่ที่เขากลับมาบ้านก็เพื่อทานข้าวกับเซี่ยเสี่ยวหลานโดยเฉพาะนั่นเอง พี่เจิงทำอาหารอร่อยๆ ไว้เต็มโต๊ะ กวนฮุ่ยเอ๋อยังคงเหมือนวันที่เลี้ยงอาหารชาวห้อง 307 รู้ว่าอาหารที่โรงอาหารมหาวิทยาลัยไม่ดีนัก จึงบอกให้พี่เจิงเตรียมรายการอาหารรสเด็ดไว้ทั้งนั้น
ขาหมูน้ำแดงถูกวางไว้ตรงหน้าเซี่ยเสี่ยวหลาน กวนฮุ่ยเอ๋อกระแอมเล็กน้อยก่อนจะพูดออกไป
“กินเยอะๆ ล่ะ”
โจวกั๋วปินหันมองภรรยาด้วยสายตาแปลกใจ เขากลับมาช้าแค่สองชั่วโมงเท่านั้น ระหว่างนี้เกิดอะไรขึ้น?
เซี่ยเสี่ยวหลานปฏิบัติตามอย่างเชื่อฟัง
คนหนุ่มสาวอาหารย่อยไว อาหารที่โรงอาหารไม่ค่อยมีน้ำมันสักเท่าไร เธอเองก็ไม่อาจทำตัวแปลกแยกให้เป็ที่วิพากษ์วิจารณ์อีก เมื่อกินเนื้อผัดซอสแดงทุกมื้อไม่ได้แน่นอนว่าเธอไม่มีทางอ้วนขึ้นอยู่แล้ว แต่ถ้าจะไม่ผอมลงก็คงเป็เพราะเธอมักจะแอบออกไปกินร้านอาหารข้างนอกคลายความอยากเป็ประจำมากกว่า
ฝีมือการทำอาหารของพี่เจิงดีกว่าเถ้าแก่ร้านอาหารหน้ามหาวิทยาลัยมาก เซี่ยเสี่ยวหลานจึงไม่เกรงใจอีกต่อไป
เธอกินข้าวไม่มูมมาม และไม่ดูดตะเกียบ แม้จะกินไปไม่น้อยทว่ากลับไม่ได้ดูน่ารังเกียจแต่อย่างใด
ทานข้าวที่บ้านโจวคราวนี้ สบายใจกว่าครั้งที่มีหร่านซูอวี้อยู่ด้วยมากโข!
หลังมื้ออาหาร โจวกั๋วปินก็กล่าวอย่างเป็ทางการว่า
“เื่ของตระกูลจี้เธอไม่ต้องกลัวไปหรอก ที่บ้านเราไม่มีทางปล่อยให้คนอื่นมารังแกเธอได้แน่นอน ผิดถูกอย่างไร เื่นี้พวกเราต้องคุยกับเขาให้รู้เื่!”
โจวกั๋วปินเงียบไปสักพัก “พรุ่งนี้กระทรวงการต่างประเทศจะมีงานเลี้ยงเชื่อมสัมพันธ์ คุณพาเสี่ยวหลานไปด้วยสิ”
งานเลี้ยงเชื่อมสัมพันธ์ของกระทรวงการต่างประเทศ?
คุณลุงของจี้เจียงหยวนทำงานอยู่ที่กระทรวงการต่างประเทศมิใช่หรือ?
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้ว่าโจวกั๋วปินให้เธอไปงานเลี้ยงเพราะมีสาเหตุนั่นเอง นั่นเพราะคุณลุงของจี้เจียงหยวนคงไปร่วมงานด้วยสินะ
ถ้าเช่นนั้นจี้หย่าจะไปด้วยหรือเปล่า?
“ได้สิ”
กวนฮุ่ยเอ๋อตอบรับอย่างไม่อิดออด เซี่ยเสี่ยวหลานเดาว่าพวกเขาคงปรึกษากันแล้วก่อนหน้านี้ โจวกั๋วปินกับกวนฮุ่ยเอ๋อกำลังช่วยเธอ แล้วเธอจะปฏิเสธความช่วยเหลือของพวกเขาได้อย่างไร
“คุณน้าคะ งานนี้มีข้อกำหนดเื่การแต่งกายไหมคะ”
กวนฮุ่ยเอ๋อคิดดูแล้ว หลายครั้งที่พบกันเซี่ยเสี่ยวหลานนั้นแต่งตัวไม่เลวเลยทีเดียว
หลักๆ อาจเป็เพราะเซี่ยเสี่ยวหลานเป็คนสวย เสื้อผ้าเ่าั้เมื่ออยู่บนตัวเธอ อยากน่าเกลียดก็ยังยาก
“ใส่ชุดตามปกติที่เธอใส่ก็พอแล้วล่ะ แต่ในห้องจัดงานมีเครื่องทำความร้อน เข้าไปแล้วต้องถอดเสื้อนอกออก”
เสื้อไหมพรมด้ายรุ่ยไม่ควรใส่ กวนฮุ่ยเอ๋อเตือนเซี่ยเสี่ยวหลานด้วยความหวังดี สถานที่เช่นนั้นอากาศในห้องย่อมอบอุ่น สามารถถอดเสื้อนอกออกได้สบาย แต่หากถอดเสื้อนอกแล้วเสื้อด้านในมีรอยปะ เธอกลัวว่าถึงตอนนั้นเซี่ยเสี่ยวหลานจะรู้สึกอับอายน่ะสิ
ตัวกวนฮุ่ยเอ๋อนั้นไม่เป็ไร ต่อให้เธอสวมเสื้อมีรอยปะไปร่วมงานเลี้ยง ใครบ้างจะกล้าหัวเราะเยาะ?
แต่เซี่ยเสี่ยวหลานเพิ่งเคยไปงานลักษณะนี้เป็ครั้งแรก และนับว่าเป็การปรากฎตัวในฐานะแฟนสาวของโจวเฉิงอย่างเป็ทางการในแวดวงสังคม กวนฮุ่ยเอ๋อจึงต้องเตือนเอาไว้ั้แ่เนิ่นๆ
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่รู้สึกขัดเขินแต่อย่างใด และเธอก็ไม่เคยร่วมงานเลี้ยงเช่นนี้จริงๆ
งานเลี้ยงสังสรรค์เธอเองก็เคยไปมาไม่น้อย โดยส่วนใหญ่จะเป็งานเลี้ยงเชิงธุรกิจหรือไม่ก็งานการกุศล งานแบบที่กวนฮุ่ยเอ๋อจะพาเธอไปนี้ เซี่ยเสี่ยวหลานไม่เคยไปสักครั้ง ปลายปี 1984 เธอจะได้ร่วมงานเชื่อมสัมพันธ์ของกระทรวงการต่างประเทศอย่างนั้นหรือ?
กวนฮุ่ยเอ๋อร่วมงานได้ แสดงว่างานนี้ไม่ได้จำกัดว่าผู้เข้าร่วมจะต้องเป็คนของกระทรวงการต่างประเทศเท่านั้นสินะ
โจวกั๋วปินเป็คนงานยุ่ง กินข้าวเสร็จไม่นานก็ขอตัวไปทำงาน ก่อนออกจากบ้านเขาบอกให้เซี่ยเสี่ยวหลานอยู่ต่ออีกสักพักแล้วค่อยกลับ
“ให้น้ากวนของเราพาเดินรอบๆ ระแวกบ้าน ทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมเอาไว้เสียสิ”
เดินรอบระแวกบ้าน?
เท่ากับรอให้คนอื่นเข้ามาซักถามมิใช่หรือ
กวนฮุ่ยเอ๋อพาเซี่ยเสี่ยวหลาน ‘เดินเล่น’ อยู่ครึ่งชั่วโมง ก็เจอชาวบ้านห้าหกคนเข้ามาทักทาย
ได้ยินมานานแล้วว่าโจวเฉิงพาคู่ครองกลับบ้าน แถมยังเป็สาวสวยหาตัวจับยากอีกด้วย ทว่าตระกูลโจวไม่เคยประกาศสู่โลกภายนอก ทุกคนจึงไม่กล้าถาม กวนฮุ่ยเอ๋อกับเซี่ยเสี่ยวหลาน ‘เดินเล่น’ รอบบ้านคราวนี้เท่ากับเป็การส่งสัญญาณบอกว่า ตระกูลโจวยอมรับคู่ครองของโจวเฉิงคนนี้แล้วนั่นเอง
“คนรักของโจวเฉิงสวยมากจริงๆ ฉันได้ยินคนลือกันว่าตระกูลโจวไม่ยอมรับ ดูท่าไม่น่าจะใช่เื่จริงนะ ภรรยาโจวกั๋วปินพาเดินไปเดินมาเช่นนี้ ยังเรียกว่าไม่ยอมรับอีกหรือ?”
เชิงอรรถ
[1]ชื่อเรียกผู้ที่สอบได้คะแนนเป็อันดับหนึ่ง