เมื่อเห็นว่าหลัวชิงเยว่จากออกไป ฉินอวี่ก็รู้สึกโล่งใจอย่างแท้จริง หากไม่มีอะไรผิดพลาด หลัวชิงเยว่ก็คงจะเชื่อในคำพูดของตนเองแล้ว สิ่งนี้ทำให้ฉินอวี่โล่งใจไปได้ชั่วคราว เพียงแต่ เื่สามสิบหกขุนพล์ก็เป็สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่ไม่สบายใจอย่างมาก จึงไม่สามารถผ่อนคลายลงไปได้อย่างสมบูรณ์
่เวลาสามปี สามสิบหกขุนพล์... กล่าวได้ว่า เขาจะต้องสำเร็จเป็เจ็ดสิบสองอสูรธรณีเสียก่อนเท่านั้น จึงจะเป็ทางเดียวที่จะมีสิทธิ์ได้ร่วม่ชิงเป็สามสิบหกขุนพล์!
“พี่หลี่ ตอนนี้พวกเราจะทำอะไรต่อไป?” หลังจากหลัวชิงเยว่จากไป หวังจงและหลิวเจ๋อก็มองผู้ฝึกตนที่เดินอยู่รอบด้านอย่างหวาดกลัว และถามขึ้นมาอย่างกังวล
ผู้ฝึกตนเหล่านี้ส่วนมากจะอยู่ในขั้นกุมารทิพย์ขึ้นไป และหนึ่งในนั้นก็มีขั้นทลายวิถีอยู่ไม่น้อย พวกเขาสองคนในขั้นเทียนชุ่ยกำลังยืนอยู่ต่อหน้าคนกลุ่มนี้ เพียงพลังปราณของคนเหล่านี้สิ่งเดียวก็ทำให้พวกเขาต่างเปรียบเหมือนใบไม้ที่ล่องลอยในน้ำแล้ว
“เข้าเมืองก่อนค่อยว่ากัน” ฉินอวี่กล่าวอย่างเรียบเฉย และเดินตรงเข้าประตูเมืองไปทันที
เมืองเทียนโหมวชั้นนอกนั้นมีขนาดใหญ่มาก ฉินอวี่คอยสอบถามเื่ความเป็มาของรูปสลักหินเก้าสิบห้าชิ้นที่อยู่บนกำแพง และเื่ของสถานการณ์ในเมืองเทียนโหมวชั้นในมาตลอดเส้นทาง
“ได้ยินมาว่ารูปแกะสลักหินทั้งเก้าสิบห้าชิ้นคือเหล่าผู้แข็งแกร่งใต้ร่มกำลังของแดนต้าโหมวในยุคเริ่มต้น ในจำนวนนั้น มีสองตี้จวิน สี่เต้าจวิน แปดเต้าหวัง และแปดสิบเอ็ดโหวเหย่ น่าเสียดาย ตี้จวินทั้งสองล้วนแต่ตายในสนามรบ และเต้าจวินทั้งสี่ มีล้มตายมีาเ็ แต่สุดท้ายไม่นาน ทั้งหมดก็ล้วนเข้าสมาธิจากไปทั้งสิ้น และเต้าจวินในปัจจุบันทั้งสองคนก็คือลูกหลานรุ่นหลังในกลุ่มสี่เต้าจวินในอดีต ส่วนโหวเหย่ทั้งแปดสิบเอ็ดท่านนั้นส่วนมากจะตายในสนามรบ แต่ก็ยังรักษาชีวิตไว้ได้อีกมาก ส่วนมากจะกระจายกันซ่อนตัวอยู่ในส่วนต่างๆ ของต้าโหมวเทียน”
“แล้วลูกหลานรุ่นหลังของตี้จวินทั้งสองท่านล่ะ?” ฉินอวี่ถามออกไปอย่างแตกต่าง
“เื่นี้ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” หวังจงคิดอยู่นาน ก่อนจะส่ายศีรษะขึ้นมา จากนั้นเขาก็พูดขึ้นอีกว่า “ส่วนเื่เมืองเทียนโหมวชั้นใน ที่นั่นจะมีเพียงเจ็ดสิบสองอสูรธรณีเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้ ได้ยินมาว่าด้านในเต็มไปด้วยพลังิญญาฟ้าดินที่เข้มข้น หากได้ฝึกฝนในนั้นสักหนึ่งปี เทียบได้กับระยะเวลาสิบปีของภายนอก!”
ฉินอวี่ใอย่างมาก ฝึกฝนภายในนั้นหนึ่งปี เทียบเท่ากับสิบปีของภายนอกหรือ? เกรงว่า ในเมืองเทียนโหมวคงไม่เพียงแต่จะเต็มไปด้วยพลังิญญาฟ้าดินเท่านั้น แต่น่าจะมีพลังิญญาเต๋าระดับสูงอีกด้วย!
เมื่อทอดสายตาไปยังฝูงชนที่พลุกพล่านในเมืองเทียนโหมวชั้นนอก และมองไปยังส่วนของเมืองชั้นในที่เหมือนกับหมูู่เาซึ่งอยู่ไกลออกไปสุดสายตา ในใจของเขาก็ไม่อาจสงบนิ่งอยู่ได้เลย ในเมืองเทียนโหมวชั้นในที่กว้างใหญ่แห่งนั้นจะมีผู้แข็งแกร่งหลบซ่อนอยู่อีกสักกี่คนกัน? หลายปีมานี้ เกรงว่าคงจะมีจำนวนที่น่ากลัวมาก ไม่ว่าจะตายแล้ว หรือจะมีชีวิตอยู่!
มิน่าล่ะ เผ่าหยาจื้อที่เข้ามาในเหวลึกแห่งนี้ล้วนแต่ไม่มีใครได้กลับออกไปเลย พลังที่น่ากลัวเช่นนี้ หลังจากเข้าด้านในก็ยากที่จะออกไป!
ฉินอวี่ยังคงรู้สึกอย่างคลุมเครือว่าดูเหมือนส่วนของต้าโหมวอันเงียบสงบ ได้รวบรวมพละกำลังอันแข็งแกร่งเอาไว้ตลอดเวลา และเตรียมพร้อมทำลายค่ายกลพลังเวทที่ถูกวางไว้โดยบรรพชนของหยาจื้อสิบสามฝ่าย
เมื่อหลุดพ้นจากสิ่งกักขังไปได้ ไม่เพียงแต่หยาจื้อสิบสามฝ่าย แม้แต่สำนักยุทธ์ว่าจ้ง หรือแดนคุ่นหลงซิงเฉิน ก็ล้วนแต่ต้องถูกโจมตีทั้งสิ้น
“่เวลาอันวุ่นวายกำลังเริ่มต้นขึ้น” ฉินอวี่พึมพำกับตนเอง แต่ก็รีบกำจัดความคิดที่มีในใจเช่นนี้ออกไป ภารกิจที่เร่งด่วนที่สุดในตอนนี้คือ การหาวิธีเพื่อให้ได้เป็เจ็ดสิบสองอสูรธรณี ไม่เช่นนั้น สามปีหลังจากนี้ก็คงเป็่เวลาแห่งความตายแล้ว
“ไสหัวไป!” ขณะที่ฉินอวี่กำลังทอดสายตาออกไปมองเมืองเทียนโหมวชั้นในที่อยู่ไกลออกไปนั้น ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างกะทันหัน ส่วนหวังจงและหลิวเจ๋อที่อยู่ข้างๆ ฉินอวี่ก็ส่งเสียงกรีดร้องขึ้นมา ฉินอวี่รีบหันกลับไป ภาพที่ปรากฏเข้ามาในสายตาของเขาคือโซ่สีดำขนาดใหญ่ที่กำลังส่องประกายแสงสีคราม กำลังฟาดผ่านพื้นที่อากาศเข้ามาอย่างดุเดือด
ดวงตาของฉินอวี่สั่นไหว เขายื่นมือทั้งสองข้างออกไปคว้าจับโซ่ที่กำลังพุ่งผ่านอากาศเข้ามา จึงไม่ทันระวังจนโซ่บาดผิวของมือทั้งสองจนเปิดออก ขาข้างขวาก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง และกระชากโซ่ไปด้านหลัง ก่อนจะออกแรงดึงโซ่เข้ามาอย่างรุนแรง
“โฮก!” อสูรร้ายตนหนึ่งส่งเสียงคำรามดังขึ้นมาอย่างดุร้าย
ชายหนุ่มร่างกำยำที่นั่งอยู่บนอสูรร้ายไม่นึกมาก่อนเลยว่าจะเจอการตอบโต้ของฉินอวี่ ร่างของเขาเอนตัวมาด้านหน้า และร่วงหล่นลงมาจากหลังของอสูรร้ายทันที หลังจากลากตัวกลิ้งไปได้ครู่หนึ่ง เขาจึงรีบะโขึ้นอย่างรวดเร็ว และพูดอย่างโกรธเคือง “รนหาที่ตาย!”
ฉินอวี่เมินเฉย จากนั้นจึงสะบัดโซ่ที่ดึงมาออกไปโดยตรงมุ่งไปทางชายหนุ่มคนนี้
“อย่าเลย!” หวังจงส่งเสียงดังขึ้นมากะทันหัน ฉินอวี่ขมวดคิ้วขึ้นทันที และดึงโซ่เส้นนั้นกลับเข้ามาทันที
แต่ชายหนุ่มคนนี้กลับยังไม่ยอมรามือ พุ่งเข้ามาพร้อมกับอสูรร้ายที่แข็งแกร่ง
“ฮึ!” ฉินอวี่อุทานอย่างเ็า แก่นปราณที่หนาทึบก็ควบแน่นอยู่นอกร่างกายของเขา
“ตูม!” ทันทีที่แก่นปราณปรากฏขึ้นก็ะเิออกทันที เมื่อมองออกไปจึงพบกำปั้นขนาดใหญ่ ฉินอวี่ถือโซ่เอาไว้ในมือซ้าย ปล่อยพลังออกจากมือขวาอย่างรุนแรง
หมัดะเิฟ้า!
หมัดอันหนักอึ้งจำนวนหกหมัดถูกชกออกไปอย่างต่อเนื่อง แก่นปราณพลุ่งพล่านขึ้น หมัดต่อหมัดปะทะเข้าด้วยกันจนเกิดเป็พลังพายุที่บ้าคลั่ง
ร่างกายของชายหนุ่มคนนั้นถอยห่างออกไปหลายก้าว จ้องมองฉินอวี่ด้วยสีหน้าที่หวาดกลัว
ฉินอวี่ก็ถอยหลังออกไปหลายก้าว มือขวาชาไปทั่วทั้งแขน จ้องตรงไปยังชายหนุ่มร่างกำยำอย่างเ็า และพูดอย่างเยือกเย็น “ยังคิดจะสู้อีกหรือไม่?”
ชายหนุ่มคนนี้สูงเจ็ดฉื่อ มีผมสีน้ำตาล ร่างกายแข็งแกร่ง กล้ามเนื้อดูแข็งแกร่งจนเกือบสามารถมองเห็นได้ผ่านเสื้อผ้าสีน้ำตาลที่สวมใส่อยู่ สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่ต้องมองไปอีกเล็กน้อยคือ ดวงตาของชายหนุ่มคนนี้มีสีน้ำตาลทั้งสองข้าง ั์ตาเปล่งประกายแสงสีน้ำตาล ทั่วทั้งตัวมองดูแล้วจึงคล้ายกับหมีสีน้ำตาลตัวหนึ่ง
“เ้าเป็ใคร!” ชายหนุ่มคนนี้มองไปทางฉินอวี่ด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมและดูไม่แน่นอน พลางะโออกไปอย่างฉุนเฉียว เขานึกไม่ถึงเลยว่าในเขตเมืองเทียนโหมวชั้นนอก จะมีชายหนุ่มเช่นนี้เข้ามาตอบโต้ตนเอง และยิ่งนึกไม่ถึงว่าชายหนุ่มคนนี้ยังมีระดับการฝึกฝนขั้นกุมารทิพย์ระดับต้น แต่พลังของเขากลับสามารถโจมตีตนเองได้รุนแรงเช่นนี้
อสูรร้ายที่อยู่เื้ัจ้องตรงมาทางฉินอวี่และส่งเสียงคำรามดังออกมา แต่ในตาที่ดูเหี้ยมโหดคู่นั้น กลับแฝงไปด้วยความหวาดกลัว ราวกับว่ามันสามารถััได้ถึงพลังปราณของหยาจื้อและเสวียนอู่ที่อยู่ในร่างกายของฉินอวี่
“พี่หลี่ คนผู้นี้สามารถขี่สัตว์อสูรอยู่ในเมืองเทียนโหมวชั้นนอกได้เช่นนี้ เขาจะต้องมีสถานะที่เกี่ยวข้องกับโหวเหย่โดยตรงแน่นอน!” หวังจงรีบพูดขึ้นมา เพราะกังวลว่าฉินอวี่จะลงมือออกไปอีก และตอนนี้หวังจงก็ยังไม่ทันนึกถึงสถานะของฉินอวี่ ในมุมมองของเขา ทายาทสายตรงของโหวเหย่ย่อมมีสถานะสูงส่ง แต่กลับลืมไปว่าในตอนนี้ฉินอวี่ก็เป็อสูรอารักขาของชิงเยว่หวัง
เมื่อชายหนุ่มได้ยินคำพูดของหวังจง การแสดงออกที่สง่างามบนใบหน้าก็เริ่มดูดุร้ายขึ้น ในคำพูดของหวังจงเผยให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพวกเขามีสถานะเป็เพียงคนธรรมดา
ผู้ฝึกตนที่หยุดลงเพราะการประมือกันของฉินอวี่และชายหนุ่มต่างพากันส่ายหน้าและเดินจากไป ในแดนต้าโหมวเทียนมีลำดับขั้นที่เข้มงวด สถานะนั้นบ่งบอกถึงพละกำลัง คนธรรมดาคนหนึ่งกล้าต่อต้านลูกหลานของโหวเหย่ นี่จึงเรียกว่ารนหาที่ตายอย่างไม่ต้องสงสัย
และในขณะที่เดินไปกับชายหนุ่มผมสีน้ำตาล ชายหนุ่มที่โเี้ในชุดดำที่ขี่อยู่บนอสูรร้ายที่มีแผงขนสีทองทั่วทั้งตัวได้จ้องไปทางฉินอวี่ และพูดเบาๆ “เ้าไปรับโทษจากแส้ฟาดัสักทีเถอะ สยงถู พวกเราไปกันเถอะ!”
หวังจงและหลิวเจ๋อหน้าซีดขึ้นมาทันที เห็นได้ชัดว่าพวกเขาแย่เข้าแล้ว พวกเขาเคยได้ยินชื่อเสียงของแส้ฆ่าัมาก่อน ได้ยินมาว่า เพียงฟาดไปครั้งเดียวก็สามารถสังหารผู้ฝึกตนขั้นกุมารทิพย์ได้เลยทีเดียว แม้ว่าฉินอวี่จะมีพละกำลังแข็งแกร่ง แต่หากถูกโซ่นี้ฟาดใส่สักครั้ง ต่อให้ไม่ตายก็คงพิการไปจนตาย
ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลที่ชื่อสยงถูจ้องมองฉินอวี่ และะโขึ้นไปขี่บนอสูร พร้อมพูดอย่างเ็า “เอามานี่!”
“หากอยากได้ ก็มาเอาเองสิ!” ฉินอวี่โบกมือขวา โซ่สีดำสนิทก็วกกลับขึ้นไปพันอยู่กับแขนของเขาทันที
หวังจงและหลิวเจ๋อต่างอ้าปากค้าง แม้แต่ผู้ฝึกตนที่อยู่รอบด้านต่างก็มองดูฉินอวี่พลางเลิกคิ้วขึ้น มองฉินอวี่ด้วยสายตาที่แปลกไปอย่างมาก โดยไม่รู้ว่ากำลังชื่นชมหรือกำลังตำหนิว่าฉินอวี่ไม่รู้จักเจียมตัว
ชายหนุ่มเหี้ยมโหดในชุดดำเหล่ตามองฉินอวี่ ขมวดคิ้วขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ และพูดอย่างเ็า “ต้องเจอแส้ฆ่าัฟาดสักสามหน!”
“แส้ฆ่าัคืออะไร ทำไมเ้าไม่ไปรับเองล่ะ?” ฉินอวี่พูดอย่างเรียบเฉย เขาสามารถเดาได้เลยว่าแส้ฆ่าัที่พูดถึงนั้นจะต้องเป็อาวุธที่ใช้ลงทัณฑ์ในแดนต้าโหมวเทียน แต่ฉินอวี่จะไปรับมันทำไมล่ะ? ขอเพียงชิงเยว่หวังเชื่อในสถานะของตนเองในแดนต้าโหมวเทียน ฉินอวี่ก็ไม่เกรงกลัวต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับโหวเหย่ ฉะนั้นจึงไม่มีอะไรต้องกลัวกับพวกลูกหลานของโหวเหย่
“รนหาที่ตาย!” สยงถูตะคอกอย่างโกรธจัด ะโขึ้นไปในอากาศ ยกเท้าขวาย่างอย่างรวดเร็ว ราวกับรวบรวมขึ้นด้วยพลังทั้งหมดในร่างกาย เกิดลำแสงสีครามส่องประกายเจิดจ้า ราวกับเปี่ยมไปด้วยพลังที่ตัดแยกผืนฟ้า ก่อนจะกดลงมาอย่างรุนแรง
“อือ!” ฉินอวี่ส่งเสียงอย่างเยือกเย็น จากนั้นหอกศึกก็ปรากฏขึ้นในมือ อสุนีลึกลับสายหนึ่งก็ถ่ายเทเข้าไปภายในหอกทันที หอกศึกเปลี่ยนรูปเป็สายฟ้าที่กลืนกินอสุนีลึกลับ
ขณะที่ฉินอวี่กำลังเตรียมโจมตี ชายหนุ่มโเี้ที่นั่งอยู่บนสัตว์อสูรขนสีทองก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที และพูดด้วยน้ำเสียงใ “อสุนีลึกลับ? ช้าก่อน เ้าเป็คนของตระกูลเหลยแห่งตี้หวังหรือ?”
ทันใดนั้น ฉินอวี่ก็รู้สึกถึงพลังของมโนจิตจำนวนมากกำลังปกคลุมร่างกายของตนเองอยู่
ผู้ฝึกตนที่มองดูอยู่จากรอบด้าน ต่างจ้องมองฉินอวี่อย่างหวาดกลัว
แม้แต่สยงถูก็รีบระงับพลังการโจมตีของตนเองไว้ทันที และมองฉินอวี่ด้วยความเหลือเชื่อเช่นกัน
ตระกูลเหลยของตี้หวัง?
ฉินอวี่ขมวดคิ้ว แต่เขาก็พอจะดูออกจากชื่อที่พวกเขาพูดมา ตระกูลเหลยของตี้หวังนี้ จะต้องเป็หนึ่งในสองตระกูลของตี้หวังในอดีต แต่นึกไม่ถึงเลยว่า ในส่วนที่หลงเหลือของจอมอสูรจะยังมีตระกูลที่สามารถควบคุมสายฟ้าได้หลงเหลืออยู่
ฉินอวี่เหลือบมองชายหนุ่มที่โเี้คนนั้นอีกครั้ง แต่กลับได้ยินสิ่งอันเยือกเย็นที่ดังขึ้นมาเหมือนเสียงฟ้าร้อง “ใครกล้ารังแกคนในตระกูลเหลยของข้า?”
