ระยะทางจากโรงเรียนของพวกเด็กๆ ถึงบ้านใช้เวลาเดินเพียงสิบนาทีเท่านั้น ซ่งหานเจียงยังป้อนอาหารซิงซิงไม่ทันเสร็จลูกทั้งสองคนก็กลับมาถึงบ้านแล้ว
เด็กทั้งสองคนรู้ว่าวันนี้อาสามจะมาบ้าน พวกเขาก็เลยวิ่งกลับบ้านกันมา
ซ่งวั่งซูวิ่งเร็วกว่าซ่งตงซวี่เธอผลักประตูให้เปิดออกแต่กลับไม่เห็นใครสักคนจึงเริ่มะโเรียกคนในบ้าน “อาสาม! อาสาม!” เธอรีบวิ่งเข้าไปในบ้านพร้อมกับะโเรียกอาสามของเธอ
ส่วนซ่งตงซวี่เองก็ตามหลังพี่สาวมาติดๆ เขามาถึงบ้านก็ะโเรียกอาสามเช่นกัน “อาสาม!”
เมื่อซย่าซานนีได้ยินเสียงเรียกดังกล่าวเธอก็เปิดประตูห้องโถงหลักแล้วเดินมาที่หน้าประตูเพื่อต้อนรับเด็กทั้งสองคน เธอย่อตัวลง หลังจากที่ซ่งวั่งซูวิ่งเข้ามาหาเธอ นั่นทำให้ซานนีดึงซ่งวั่งซูเข้าสู่อ้อมกอดของตน “เสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์!”
วินาทีต่อมาซ่งตงซวี่ก็รีบพุ่งตัวเข้ามาอีกคน ซย่าซานนีก็อ้าแขนอีกข้างออก แล้วดึงเด็กชายเข้ามาในอ้อมแขนของเธออีกคน “หยางหยาง! อาคิดถึงพวกเธอสองคนแทบแย่เลย!”
“อาสามๆ หนูก็คิดถึงอาสามมากๆ เลยค่ะ!” ซ่งวั่งซูมีความสุขมาก เธอะโโลดเต้นไปมาอยู่ในอ้อมแขนของซย่าซานนี
“ไปๆๆ ข้างนอกอากาศเย็นนัก พวกเราเข้าข้างในกันเถอะ” ซย่าซานนีหยิบกระเป๋านักเรียนของเด็กทั้งสองขึ้นมาแล้วเดินโอบไหล่เด็กน้อยสองคนเข้าไปในบ้าน
ซ่งวั่งซูเงยหน้าขึ้นมองซย่าซานนีพลางกล่าวว่า “อาสามคะ อาสามอยู่ที่นี่กับพวกเราเถอะนะ มาอยู่ที่ปักกิ่งด้วยกันอย่าไปไหนอีกเลย ถ้าอาสามอยู่ที่นี่ค่อยให้แม่พาอาสามไปทำธุรกิจด้วยกันก็ได้”
ซย่าซานนีได้เห็นความเจริญรุ่งเรืองของกรุงปักกิ่งแล้ว ในใจย่อมไม่อยากกลับไปที่หมู่บ้านเล็กๆ ที่ชนบทอีกต่อไป แน่นอนว่าหากจะพูดแบบนี้ตอนนี้ก็คงจะเร็วไปเพราะตอนนี้เธอต้องฟังคำพูดของพี่หญิงใหญ่เป็หลัก
ซย่าซานนีลูบหัวซ่งวั่งซูพร้อมกับกล่าวว่า “ได้ อาจะลองเก็บไปคิดดูนะ”
“พ่อ?” จู่ๆ ซ่งตงซวี่ร้องอุทานขึ้นมา
“พ่อหรือ?” ซ่งวั่งซูได้ยินเสียงนั้นก็หันหน้าไปมองแล้วเธอก็เห็นซ่งหานเจียงจริงๆ วันนี้มีเื่ให้เธอตื่นเต้นดีใจเพิ่มขึ้นอีกเื่แล้ว จากนั้นเด็กสาวก็วิ่งไปข้างกายซ่งหานจียงและถามว่า “พ่อๆ พ่อมาได้อย่างไรกันคะ?”
ซ่งหานเจียงยิ้มเบาๆ “พ่อมากินข้าวน่ะ วันนี้แม่ของลูกทำอาหารอร่อยๆ ไว้เยอะเลย”
เด็กทั้งสองเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าบนโต๊ะมีจานอาหารวางอยู่ทั้งหมดสี่จาน แล้วยังมีจานเกี๊ยวพูนๆ อีกรวมกันเป็ห้าจาน
พวกเด็กๆ เดาว่าวันนี้น่าจะมีอาหารเยอะแต่คิดไม่ถึงว่าที่บ้านจะทำเกี๊ยวด้วย เด็กทั้งสองคนชอบกินเกี๊ยวเป็ที่สุด สองปีมานี้ถึงพวกเขาจะได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงก็ใช่ว่าพวกเขาอยากกินเกี๊ยวแล้วจะได้กินตามใจ้าได้
“รีบไปล้างมือกันเลย เดี๋ยวจะเริ่มกินข้าวกันแล้วนะ” ซย่านีถือเกี๊ยวเข้ามาเพิ่มอีกสองจาน
หลังจากเริ่มมื้ออาหารแล้ว คนเหล่านี้ก็นั่งล้อมเป็วงกลมรอบโต๊ะอาหาร ซิงซิงถูกซ่งหานเจียงอุ้มเอาไว้ เด็กน้อยเพิ่งจะกินน้ำแกงปลาไปเลยทำให้ไม่หิว แม้ว่าเขาจะอยากกินอาหารบนโต๊ะด้วยแต่เด็กน้อยก็ทำได้เพียงจ้องมองปากของทุกคนปริบๆ ไม่ได้ก่อความวุ่นวายแต่อย่างใด
ซย่าซานนีเห็นภาพนี้เข้าก็ร้องอุทานขึ้นมา “โอ้ ์เอ๋ย พี่หญิงใหญ่ ลูกชายคนเล็กของพี่ออกจะเป็เด็กดีเกินไปหรือเปล่า? ฉันจำได้ว่า ตอนที่หยางหยางยังเด็กเขาไม่สามารถทนนั่งมองปากคนอื่นขยับได้เลย ถ้าเห็นเมื่อไหร่เป็อันต้องยื่นมือไปจับเมื่อนั้น ถ้าไม่ให้เขากินหน่อยเขาก็จะโวยวายเสียงดังแล้ว”
ซย่านีมองไปทางซ่งตงซวี่ด้วยรอยยิ้มแล้วกล่าวว่า “ตอนนี้เขาก็ตะกละเหมือนเดิมนะ”
เมื่อซ่งตงซวี่ถูกคนแฉเข้าหน่อยเขาก็โมโหขึ้นมาและพูดว่า “ผมเป็แบบนี้ที่ไหนกัน! ผมไม่เคยทำแบบนั้นสักหน่อย!”
ซย่านีบีบแก้มของเขา “ความตะกละไม่ได้เป็ข้อบกพร่องอะไรสักหน่อย ลูกตะกละก็ดีเหมือนกันนะ คนตะกละมักจะรู้จักวิธีลิ้มรสอาหารสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตคนเราก็คือการกินนี่แหละ กินข้าวอิ่มดื่มน้ำเพียงพอเท่านี้ก็ทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้วจ้ะ”
ซ่งตงซวี่ถูกปลอบโยนจึงสงบลงแล้ว “ก็จริงผมกินเยอะๆ จะได้แข็งแรง!”
ซย่าซานนีรู้สึกขบขัน ในใจคิดว่าเด็กโง่คนนี้ช่างพูดปะเหลาะด้วยง่ายจริงๆ จากนั้นเธอก็จงใจคีบปลาผัดเผ็ดให้แก่ซ่งตงซวี่และกล่าวกับหลานชายว่า “ถ้าอย่างนั้นหนูก็กินเยอะๆ นะ”
เมื่อครู่นี้ซ่งตงซวี่อยากกินปลาผัดเผ็ดมาโดยตลอดแต่ซย่านีไม่ให้เขากิน แต่ตอนนี้อาสามเป็คนคีบปลาผัดเผ็ดให้เขาแล้ว มันเป็ของที่เขาอยากกินพอดี เด็กชายจึงคีบปลาเข้าปากอย่างมีความสุข วินาทีต่อมาเขาก็ร้องลั่น “โอ้ยๆๆ! น้ำ!”
เมื่อเห็นว่าแผนการแกล้งซ่งตงซวี่สำเร็จแล้ว ซย่าซานนีก็หัวเราะลั่น
ซย่านีไม่ทันได้มอง พริบตาเดียวลูกชายของเธอก็ถูกน้องสาวของตนแกล้งเสียแล้ว เธอชี้หน้าซย่าซานนีอย่างรู้สึกตลกปนโกรธๆ “เธอนี่มันจริงๆ เลยนะ!” จากนั้นเธอก็หันไปสั่งซ่งตงซวี่ว่า “เร็วเข้า กินอย่างอื่นเข้าไปก่อน เกี๊ยวไม่ร้อนมาก ลูกกินอันนั้นเข้าไปก่อนเลย”
ซ่งตงซวี่กินเกี๊ยวหมดไปหลายลูก จนในที่สุดเขาก็หายเป็ปกติสักที พอหายเผ็ดแล้วเขาก็ััได้ถึงรสชาติของอาหารจานนั้นขึ้นมา “แม่ฮะ ผมยังอยากกินอีก”
ซย่านีปฏิเสธทันที “ไม่ได้ ลูกยังเด็กควรกินอาหารรสเผ็ดให้น้อยๆ หน่อย”
“งั้นผมต้องโตแค่ไหนถึงจะกินได้ฮะ?”
ซย่านีมองซย่าซานนีแล้วจึงกล่าวว่า “ไว้ลูกโตเท่าอาสามก่อน แม่ถึงจะให้ลูกกินได้”
“ห๊า?” ซ่งตงซวี่ส่งเสียงร้องขึ้นมาอย่างน่าสงสาร อาสามอายุสิบห้าแล้ว เขาเพิ่งอายุหกขวบเองยังอีกตั้งเกือบสิบปีนู้นเลยนะ!
ทางด้านซย่าซานนีก็นั่งกินเกี๊ยวอยู่เหมือนกันเธอค่อยๆ เคี้ยวอาหารอย่างพินิจพิเคราะห์ แล้วจู่ๆ ความคิดหนึ่งก็แว็บขึ้นมาในสมองของเธอ “พี่หญิงใหญ่ นี่...นี่มัน...”
ซย่านีมองหน้าน้องสาวด้วยรอยยิ้ม
“มันใช่ไส้จี้ไฉ่ไหมจ๊ะ?!” ซย่าซานนีทำตาโตพลางเอ่ยถามพี่สาว
“ใช่จ้ะ” ซย่านีตอบ “เธออยากลองกินเกี๊ยวไส้จี้ไฉ่มาตลอดไม่ใช่หรือไง พี่ก็เลยทำเกี๊ยวไส้หมูกับผักจี้ไฉ่ให้เธอ เป็ไงบ้างอร่อยไหม?”
ซย่าซานนีพยักหน้ารัวๆ “อร่อยๆ! มันอร่อยมากเลยจ้ะ!” เธอคิดไม่ถึงเลยว่าพี่หญิงใหญ่จะยังจำสิ่งที่เธอพูดเมื่อตอนยังเป็เด็กได้อีก นั่นทำให้เธอรู้สึกซาบซึ้งใจเหลือเกิน
พวกเขารับประทานอาหารมื้อนี้กันอย่างมีความสุข แล้วซ่งหานเจียงก็เห็นโอกาสเหมาะๆ พอดี จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมาว่า “ซย่านี เงินที่คุณให้ผมก่อนหน้านี้ ผมวางไว้ในลิ้นชักที่โต๊ะด้านในนะ”
ซย่านีขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม “คุณไม่มีเงินแล้วไม่ใช่หรือ?”
ซ่งหานเจียงกล่าวกับซย่านี “ผมไม่้าเงินหรอกแค่คุณช่วยดูแลเื่อาหารการกินให้ผมก็พอแล้ว” เขาไม่รอให้ซย่านีได้ทันปฏิเสธ ชายหนุ่มก็หันหน้าไปหาพวกลูกๆ ทันทีแล้วเอ่ยถามกับพวกเขาว่า “ต่อไปนี้ พ่อจะมากินข้าวเที่ยงกับพวกลูกทุกวันเลยดีไหม?”
แน่นอนว่าแบบนี้มันก็ต้องดีอยู่แล้วสิ!
แล้วก็เป็ไปตามคาดซ่งวั่งซูต้อนรับเขาอย่างเต็มที่ เด็กหญิงรีบกล่าวว่า “ดีๆ! ดีมากเลยค่ะ! พ่อคะ พ่อไม่รู้หรอก ่นี้ที่บ้านเรามีแต่ของอร่อยๆ ให้กินกันทั้งนั้น! แม่ทำอาหารเยอะแยะทุกวันเลยแถมแต่ละวันยังทำอาหารไม่ซ้ำกันอีกนะ”
แต่ทางด้านซ่งตงซวี่เขากลับค่อนข้างเฉยเมยเสียมากกว่า สำหรับเขาแล้ว ไม่ว่าพ่อจะอยู่หรือไม่อยู่บ้านก็ได้ทั้งนั้น
นี่เป็กลวิธีข้อที่สี่ที่เฉินเจียซั่งสอนซ่งหานเจียง เขาพูดไว้ว่า “ถ้านายยื่นคำขอไปแล้วแต่ถูกภรรยาปฏิเสธ เช่นนั้นก็ไม่เป็ไรหรอกรอตอนลูกๆ อยู่ด้วยแล้วนายก็ค่อยพูดใหม่อีกครั้ง นายบอกเองไม่ใช่หรือว่าตอนนี้ภรรยาของนายไม่อยากให้ลูกๆ รู้เื่ที่ทั้งสองคนกำลังจะหย่ากัน นี่ก็แสดงให้เห็นว่าภรรยาของนายยังคงใส่ใจความรู้สึกของพวกเด็กๆ มากเลยทีเดียว ยามอยู่ต่อหน้าลูกๆ เธอจะต้องไม่ปฏิเสธนายอย่างแน่นอน”
ซ่งหานเจียงทำตามที่เฉินเจียซั่งสอนไว้ ตอนนี้เป็เวลาสรุปผลจากการที่เขาลงมือปฏิบัติตามคำสอนแล้ว
ซย่านีไม่อยากต้องคอยมาดูแลว่าที่อดีตสามีคนนี้เลยจริงๆ เธอพยายามขัดขืนคำขอของซ่งหานเจียงโดยกล่าวว่า “อย่าสร้างปัญหาสิ พ่อของพวกลูกยังต้องยุ่งกับเื่การเรียนอีกนะ พ่อจะเอาเวลาที่ไหนกลับมากินข้าวที่บ้านกัน”
ซ่งวั่งซูไม่พอใจ “พ่อเป็คนพูดเองนะคะว่าอยากจะกลับมากินข้าวที่บ้าน!”
ซย่าซานนีช่วยราดน้ำมันใส่กองเพลิงอีกแรง เธอกล่าวสนับสนุนว่า “ใช่แล้ว เป็พี่เขยที่พูดเองว่าอยากจะกลับมากินข้าวที่บ้านนะจ้ะ”
ซย่านีสูดหายใจเข้าลึกๆ เธอไม่เข้าใจเลยจริงๆ “ทำไมคุณต้องอยากกลับมากินข้าวที่บ้านด้วย? แต่ก่อนเพราะว่าคุณอยากทุ่มเทเวลาให้กับการเรียนก็เลยไม่ยอมกลับบ้านไม่ใช่หรือไง?”
ซ่งวั่งซูกล่าวขึ้นคนแรก “...เพราะว่าแม่ทำอาหารอร่อยหรือเปล่า?”
ซย่านีถึงกับพูดไม่ออกเลย “…” เธอก็แค่ทำพอได้หรือเปล่า
ดูท่าเ้าเด็กกินเก่งนี่ น่าจะสืบทอดพันธุกรรมมาจากบิดาของเขาแน่ๆ
ซ่งหานเจียงถอนหายใจอย่างโล่งอกเงียบๆ ดูท่าแล้วศิษย์พี่ใหญ่ก็ถือว่ามีฝีมืออยู่บ้างล่ะนะ
