หลังจากยายเฒ่าตระกูลโจวพักรักษาตัวจนหายดี ครอบครัวของโจวย่าอวิ๋นก็ออกเดินทางไปยังหมู่บ้านอันชิ่ง จากการบอกทางของชาวบ้าน พวกเขามองเห็นบ้านมุงกระเบื้องก่อกำแพงสูงตรงสุดขอบของหมู่บ้านอยู่ไกลๆ พอเดินเข้าไปใกล้ ก็เห็นสองฝั่งของประตูบานใหญ่ปลูกต้นสนไว้สองต้น ตรงป้ายประตูแขวนคำว่าสกุลลั่วไว้
เพียงแต่ลายมือนี้ทำให้โจวย่าอวิ๋นเลื่อมใสยิ่งนัก
“ใช่ที่นี่แน่หรือ?” ยายโจวชี้ไปยังตัวบ้านอย่างไม่กล้าเชื่อ สมัยก่อน นางเองก็เคยอยู่บ้านนอกมาก่อน ไหนเลยจะมีบ้านที่ดีเช่นนี้ การที่จะมีบ้านดีเช่นนี้ได้ล้วนต้องเป็คนที่มีระดับต่างออกไป
โจวย่าอวิ๋นส่ายหน้า “หลานเองก็ไม่แน่ใจ ทว่าลองเคาะประตูถามก็คงรู้เอง”
อันที่จริง ไม่แปลกที่คนสกุลโจวไม่กล้ายอมรับ หากเป็ครึ่งปีที่แล้ว คนในหมู่บ้านก็คงไม่มีใครกล้าเชื่อว่าสกุลลั่วที่น่าสังเวชจะมีบ้านที่ดีเช่นนี้ได้ หลังจากผ่านการต่อเติมอย่างเร่งรัดมาสองเดือน ก็ไม่เหลือเค้าเดิมในตอนแรกแล้ว ถึงขั้นยังมีรถม้าในบ้านหนึ่งคันด้วย
แน่นอนว่ารถม้านี้เป็เพราะจ้าวจือชิงดื้อรั้นจะซื้อไว้ให้ได้ คำพูดที่พวกโจรพูดตอนจ้องเล่นงานชีเหนียง เขายังจำได้ดี ลั่วชีเหนียงรูปโฉมไม่ธรรมดา คนที่คิดไม่ซื่อมีมากเกินไป เพื่อเลี่ยงปัญหา รถม้ามีสิ่งกำบังและยังสามารถบังลมบังฝนได้ จึงดีกว่าเกวียนไม่น้อย
“ในบ้านมีรถม้าก็สะดวกเช่นกัน อาเฉิน ไหลไหล แล้วก็ตาเฒ่า ล้วนจำเป็ต้องใช้” คำพูดเดียวของจ้าวจือชิง ชีเหนียงก็ไม่มีแก่ใจโต้ตอบอีก
ต่อเติมบ้านแล้ว ซื้อที่บนูเาแล้ว กระทั่งมีคนรับใช้ แค่เงินซื้อรถม้าอีกสักคัน ขนหน้าแข้งคงไม่ร่วง
เมื่อเป็เช่นนี้ สกุลลั่วจึงมีรถม้าเพิ่มอีกคันไปโดยปริยาย
โจวย่าอวิ๋นเคาะประตู พอประตูเปิดออกก็เห็นใบหน้ายิ้มแย้มของลั่วชีเหนียง
“มาแล้วหรือ? ระหว่างทางราบรื่นดีหรือไม่?” ชีเหนียงรีบเข้ามาต้อนรับ เมื่อเห็นท่าทางของเด็กๆ ที่กะปลกกะเปลี้ย ส่วนหญิงชราก็ดูเหมือนจะเหนื่อยล้า ก่อนจะมองดูด้านหลังพวกเขาที่ไม่มีรถม้า
“พวกเ้าเดินมาหรือ?”
โจวย่าอวิ๋นก้มหน้าไม่กล้าพูด ก่อนจะมานายหญิงสั่งไว้ว่าให้พวกเขานั่งรถม้ามา หากแต่พวกเขารู้สึกว่าไม่เหมาะสม จึงตัดสินใจเดินเท้ามา
“นายหญิงท่านอย่าได้โทษอวิ๋นเอ๋อร์เลย เป็เพราะข้ายืนกรานที่จะเดินดูทิวทัศน์ไปด้วย นายหญิงอย่าตำหนิ หากจะตำหนิก็ แค่กๆ…” ยังพูดได้ไม่กี่คำ ยายโจวก็เริ่มไอ
ชีเหนียงมีหรือจะอ่านเื่ราวไม่ออก หลายวันมานี้นางก็พอดูออกว่า โจวย่าอวิ๋นเป็คนมีความคิด แต่นิสัยดื้อรั้นเอาการ เขาคิดว่าตนเองถูกขายเป็ทาส ไม่ควรให้เ้านายต้องจ่ายเงินมากเกินไป อันที่จริงแล้ว สุดท้ายก็คือกลัวตนเองจะโดนกล่าวโทษ ถึงเวลาจะขายพวกเขาออกไปอีก จึงใช้ชีวิตอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว
“ยายโจว อย่าพูดเช่นนี้ การเดินมาตลอดทางเช่นนี้ลำบากเกินไป รีบเข้ามาพักในบ้านก่อนเร็วเข้า”
คำว่าบ้าน ทำให้ยายที่ผมขาวโพลนถึงกับอดหลั่งน้ำตาไม่ได้
“…ได้” ลูกสะใภ้ตระกูลโจวประคองยายโจวเข้าบ้านไป เพียงแต่ตอนนี้ทั้งครอบครัวเป็บ่าวรับใช้ ตอนเดินเข้าไปจึงไม่รู้ว่าควรวางมือไม้อย่างไร
เพียงแต่อิงจากหลักการไม่พูดเรื่อยเปื่อย พร่ำเพรื่อ คนทั้งหมดจึงเอาแต่ก้มหน้าก้มตา มีเพียงสาวน้อยคนเล็ก โจวย่าเยวี่ย ที่ดวงตาทั้งคู่กวาดมองไปรอบทิศด้วยความสงสัยใคร่รู้
ชีเหนียงรู้ว่าพวกเขาระมัดระวังตัวกันอย่างมาก จึงไม่ได้รู้สึกแปลกอะไร
“นั่นคือจิ่งเฉิน ลูกชายคนโตของบ้านเรา” ชีเหนียงชี้ไปทางหน้าต่างห้องตะวันออก พวกเขาสามารถมองเห็นร่างของเด็กหนุ่มที่กำลังนั่งเรียนบนโต๊ะอย่างผ่าเผย เหมือนจิ่งเฉินจะรู้ตัวและหันมาพยักหน้าทักทายพวกเขา
คนสกุลโจวรีบคำนับกลับ จากนั้นชีเหนียงก็แนะนำจิ่งซีกับจิ่งไหลให้กับพวก
“นั่นคือเ้ารองจิ่งซี เ้าสามจิ่งไหล” ชีเหนียงแนะนำให้ยายโจวกับจูซิ่วเจินด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “วันหลัง พวกท่านทั้งสองต้องทำหน้าที่ดูแลการกินอยู่อาศัยของเด็กเหล่านี้ หากข้ากลับจากทำงานในอำเภอ พวกท่านก็พักผ่อนได้ หากข้ากลับมาไม่ทัน พวกเขาดื้อซนจนเกินกว่าเหตุ คงต้องรบกวนพวกท่านทั้งสองช่วยดูแลให้ที”
ยายโจวกับจูซิ่วเจินรีบตอบรับ “นายหญิงพูดอะไรกัน เดิมทีนี่เป็หน้าที่ของเราอยู่แล้ว”
ชีเหนียงส่ายหน้า “บ้านเราไม่ได้มีพิธีรีตองจอมปลอมเ่าั้ คิดเสียว่านี่คือบ้านของตนเองก็พอ”
จากนั้นก็นึกถึงจ้าวจือชิงที่พาหลิงชางไห่ออกไปข้างนอก จึงแนะนำบอกเล่าถึงสองคนนี้อย่างเรียบง่าย
“ข้าว่าโจวคังเยี่ย โจวคังเฟิงกับโจวคังอี้ อายุใกล้เคียงกับไหลไหลของข้าและบังเอิญพวกเขาเป็สามพี่น้องเหมือนกัน ไม่รู้ว่าอิงตามอายุที่ใกล้เคียงกับลูกชายทั้งสามคนของข้า จะให้เป็สหายร่วมเรียนดีหรือไม่?”
ชีเหนียงหารือกับพวกเขา โจวย่าอวิ๋นมีหรือจะปฏิเสธ โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าต่อไปสามพี่น้องสกุลลั่วจะเข้าเรียน อีกทั้งตอนนี้นายหญิงจะให้ลูกชายทั้งสามของตนติดตาม เช่นนั้นลูกๆ ของเขาก็จะได้รับการอบรมไปด้วยเช่นกัน เขาซาบซึ้งจนแทบทนไม่ไหว แล้วจะปฏิเสธได้เยี่ยงไร
“ดี เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้”
โจวย่าเยวี่ยเห็นว่าพี่ชายกับพี่สะใภ้และหลานชายล้วนถูกจัดแจงอย่างเหมาะสม ตนเองกลับไม่มีหน้าที่ จึงรีบเงยหน้าเล็กๆ ขึ้นก่อนจะออกปากถาม
“พี่สาวนายจ้าง เช่นนั้นข้าจะทำอะไร?”
โจวย่าเยวี่ยอายุราวแปดเก้าหนาว ใบหน้าน่ารักไร้เดียงสาทำให้ชีเหนียงอดไม่ได้ที่จะหยิกแก้มนาง
“เ้าน่ะหรือ ช่วยงานพี่สะใภ้กับท่านย่าไปก่อนชั่วคราวดีหรือไม่?”
“เ้าค่ะ ข้ารับประกันว่าจะทำหน้าที่ให้เรียบร้อย!”
โชคดีตอนที่ชีเหนียงต่อเติมบ้านครั้งนั้น ได้เว้นพื้นที่ไว้สองหมู่ทั้งฝั่งขอบสุดของทิศตะวันออกกับทิศตะวันตก เดิมทีคิดว่าต่อไปจะเก็บห้องเหล่านี้ไว้ใช้ทำโรงเก็บของเพื่อตากผักแห้ง ตอนนี้ห้องทั้งสามมีไว้ให้คนสกุลโจวพักอาศัยได้พอดี แม้จะแออัดหน่อย แต่เด็กทั้งหลายยังเล็ก ค่อยต่อเติมบ้านเพิ่มเติมย่อมได้
......
คนสกุลโจวเข้าห้องไป พลันรู้สึกถึงความร้อน
“ท่านพ่อ เหตุใดห้องนี้จึงร้อนเช่นนี้?” ผู้ที่ถามคือโจวคังเยี่ย เขาคือลูกชายคนโตในบรรดาแฝดสาม
โจวย่าอวิ๋นสำรวจหนึ่งรอบ “ที่นี่ฝังหลุมดินไว้”
“หลุมดิน…นี่คือหลุมดินหรือ”
เหล่าเด็กน้อยทั้งหลายไม่รู้ว่าอะไรคือหลุมดิน เพราะถึงอย่างไรตอนที่เกิดเื่กับที่บ้าน พวกเขายังเล็กเกินไป จึงไม่รู้จักสิ่งนี้
ยายโจวคิดไม่ถึงว่าสกุลลั่วจะฟุ่มเฟือยเพียงนี้ ถึงขั้นสร้างหลุมดินไว้ในห้องของบ่าวรับใช้ด้วย ยายโจวกับจูซิ่วเจินที่ปกติเป็คนดูแลเื่ในบ้านมาก่อนจึงรู้ดีว่าค่าฟืนและถ่านที่ใช้นั้นถือเป็ค่าใช้จ่ายมากมายเพียงใด
“วันนี้ข้าขอพูดจากใจคนแก่กับพวกเ้าให้ชัดเจน ข้าคิดว่าครอบครัวเราคงเจอกับคนดีเข้าให้แล้ว เพียงแต่สกุลโจวของเรามิใช่สกุลโจวในอดีตอีกแล้ว ในเมื่อตอนนี้เราเป็บ่าวรับใช้ ก็ควรมีท่าทีของบ่าว” ยายโจวนั่งอบรมลูกหลานบนโต๊ะ
“เราจะไม่รู้กาลเทศะเพียงเพราะเราเจอกับคนดีไม่ได้ โดยเฉพาะเยวี่ยเยวี่ย เวลาคุยกับเ้านายนั้นใช้คำพูดตามใจเกินไป ต่อไปอย่าได้แทนตนเองต่อหน้าเ้านายว่าข้า ยิ่งกว่านั้นคืออย่าทำตัวไม่รู้จักผู้ใหญ่ไม่รู้จักเด็ก”
โจวย่าเยวี่ยเบะปากไม่พอใจและโต้ตอบเสียงค่อย “พี่สาวนายจ้างก็ไม่ได้บอกว่าไม่ได้นี่นา…”
“นายหญิงไม่ได้ต่อว่าเพราะเขาใจดีไม่ถือสา แต่เ้าจะไม่รู้ผิดชอบชั่วดีเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ ตอนนี้แม้ว่าเราจะมั่นคงสงบสุข แต่ห้ามให้เกิดข้อผิดพลาดเด็ดขาด”
ยายโจวเข้มงวดอย่างผิดปกติ เด็กทั้งหลายสามารถรับรู้ความสำคัญในคำพูดได้ โจวย่าอวิ๋นกับภรรยาย่อมเข้าใจความหมายของท่านย่าว่ากลัวพวกเขาจะเก็บความเคียดแค้นชิงชังและไม่อยู่อย่างสงบสุข
“ท่านย่าวางใจได้ ข้าจะดูแลน้องสาวและลูกๆ ให้ดี จะไม่สร้างปัญหาให้นายหญิงเด็ดขาด”
เมื่อได้ยินคำรับรองจากโจวย่าอวิ๋น ยายโจวจึงพยักหน้าตอบรับ
-----