ความมืดมิด ความมืดมิดที่หาที่สุดมิได้ ในความมืดมิด ส่วนหนึ่งของความทรงจำที่ฉันเคยลืมเลือน คล้ายกับว่าถูกปลุกให้ตื่นขึ้น
นั่นคือวันอะไรล่ะ? ฉันจำไม่ได้จริงๆ ……
พรุ่งนี้ ฉันรู้สึกว่าตนเองถูกมือที่อบอุ่นคู่หนึ่งโอบอุ้มไว้อย่างแน่น หลังจากนั้น ข้างๆ หูได้ยินเสียงร้องไห้อย่างโศกเศร้าเสียใจของผู้หญิงคนหนึ่ง เสียงร้องไห้นั้น เป็เสียงร้องไห้ที่คุ้นเคยมาก ใช่แล้ว เป็เสียงร้องไห้ของแม่
“จางเว่ย …… ลูกจะตายไม่ได้นะ …… ลูกจะตายไม่ได้นะ …… แม่ …… จะไม่ให้ลูกตาย …… ”
“เธอ …… เธอใจเย็นหน่อย …… เว๋ยเว่ย …… ตายแล้ว …… ” เสียงอีกเสียงหนึ่งพูดกับแม่ฉัน
นี่เป็เสียงของคนอีกคนหนึ่ง เป็ใครล่ะ? คล้ายกับว่าเป็เสียงของพ่อ
“ไม่ …… ฉันจะไม่ให้ลูกตาย …… งั้นก็ใช้ชีวิตฉันแลกสิ! …… ” น้ำเสียงของแม่ เด็ดขาดเป็อย่างมาก……
“ลูกชาย บางทีอาจจะอยู่ในกาลเวลาของอนาคต ลูกจะต้องเผชิญกับอันตรายและความยากลำบากด้วยตัวเอง บางที่ลูกอาจจะไม่มีทางเลือกเหมือนกับเด็กคนอื่นๆ ตลอดกาล ซึ่งได้รับการปกป้องและความอบอุ่นจากพ่อแม่ แต่ลูกต้องจำไว้ว่า ความรักต่างๆ ที่ลูกได้รับ จะไม่น้อยกว่าคนอื่นๆ เลย ชีวิตของลูก เดิมทีต้องใช้สิ่งที่ยิ่งใหญ่แลกมา” เสียงของผู้หญิงที่ลึกลับคนหนึ่งดังอยู่ข้างหูฉัน
ดังนั้น ฉันจึงตกตะลึงงัน และตื่นจากการเลอะเลือน แล้วเข้าสู่เป้าหมาย แต่กลับเป็สายตาที่เป็กังวลของหลี่โม่ฟ๋าน เวลานี้ฉันเพิ่งพบว่า ที่นี่คือห้องพยาบาลของโรงเรียน คิดไม่ถึงว่าฉันจะนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยของที่นี่
“ลูกพี่ นายไม่เป็ไรแล้วใช่ไหม?” หลี่โม่ฟ๋านถามด้วยความเป็ห่วง
ฉันส่ายหน้า หลังจากนั้นมองร่างกายตัวเองด้วยความสิ้นหวัง แต่กลับต้องใเมื่อพบว่า แขนของฉันยังอยู่ ขาทั้งคู่ของฉันก็ไม่ได้รับความเสียหาย ฉันถอนหายใจ แล้วลองลุกขึ้นนั่ง ฉันกลับพบว่าทั่วทั้งร่างกาย ไม่เ็ปเลย และยังครบ 32 แต่ทว่า ตอนที่ฉันลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก กลับพบว่าร่างกายของตนเองไม่มีรอยแผลใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งคล้ายกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น
“ไม่ใช่สิ ไม่ใช่ว่าฉันถูกฟันจนตายแล้วเหรอ?” ฉันมองแขนพลางบ่นพึมพำ ประสบการณ์เมื่อวานเหมือนกับนรกจริงๆ จนกระทั่งถึงตอนนี้ฉันยังคงจำได้อย่างลึกซึ้ง
ความเ็ปที่ลึกจนเข้ากระดูกเช่นนั้น และความสิ้นหวังที่ตกลงไปในนรก จนกระทั่งถึงตอนนี้ฉันยังหวาดผวาอยู่ในใจ
“ในที่สุดนายก็ตื่นขึ้นแล้ว นายสลบไป 1 คืนแล้ว” หลี่โม่ฟ๋านพูดอย่างสบายใจ
“ฉันสลบไป 1 คืนแล้วเหรอ? เมื่อวานตอนเย็นเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ฉันอดไม่ได้ที่จะถาม
“เมื่อวานตอนเย็นเย่รั่วเซวี่ยวิ่งมาหาพวกเราอย่างกะทันหัน พวกเราก็รีบวิ่งไปหานาย กลับพบว่านายสลบอยู่ที่พื้นแล้ว โดยเฉพาะทั้งห้องเอกสารได้เกิดไฟไหม้ พวกเราไม่กล้าที่จะอยู่ที่นั่นนานนัก จึงได้พานายออกมาน่ะ” หลี่โม่ฟ๋านอธิบาย
“ไฟไหม้เหรอ? นายว่าในห้องเอกสารเกิดไฟไหม้เหรอ?” ฉันมองหลี่โม่ฟ๋านพลางถามด้วยความตกตะลึงจนตาค้าง
“ใช่ เอกสารทั้งหมดในนั้นถูกเผาทำลายหมด ไม่เหลืออะไรทั้งนั้น ตอนนี้ทั้งห้องเอกสารถูกยกเลิกใช้งานเรียบร้อยแล้ว” หลี่โม่ฟ๋านพูด
“เป็เช่นนี้เหรอ” ฉันพยักหน้าพลางพูด แล้วครุ่นคิด ตอนที่ฉันสลบอยู่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมห้องเอกสารถึงถูกเผาทำลายแล้วล่ะ?
หรือว่ามีคน้าจะทำลายความจริง? แต่ทำไมล่ะ ฉันกลับไม่ตาย ตอนนี้ฉันยังมีชีวิตอยู่ดีน่ะ? ทุกอย่างนี้ฉันไม่รู้อะไรเลย สุดท้ายฉันทำได้แค่ทอดถอนหายใจ
ความสับสนวุ่นวายในหัว ทำให้ฉันไม่มีทางรวบรวมความคิดได้ ในเวลานี้ประตูห้องพยาบาลได้เปิดออก หลังจากนั้นเย่รั่วเซวี่ยเดินเข้ามาด้านใน เห็นฉันไม่เป็อะไร เบื้องหน้าเธอมีแสงเป็ประกาย และเธอก็พุ่งตรงมาที่อ้อมอกฉัน
“จางเว่ย จริงๆ แล้วนายไม่เป็ไร ดีจริงๆ” เย่รั่วเซวี่ยกอดฉันไว้พลางพูด ฉันกอดเธอไว้อย่างเบาๆ แล้วมองใบหน้าน้อยๆ นั้นของเธอพลางพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “เธอไม่เป็ไรก็ดีแล้ว”
“ชาบซึ้งใจจริงๆ ลูกพี่ให้ความสำคัญกับความผูกพันจริงๆ” หยางย่าซินที่เดินเข้ามาพูด
เย่รั่วเซวี่ยมองฉันอย่างละเอียดแล้ว ถึงจะทอดถอนหายใจพลางพูดว่า “ดีจริงๆ ที่นายไม่เป็ไรแล้ว ตอนที่นายสลบอยู่ทำให้ฉันใแทบตาย”
“วางใจเถอะ ฉันไม่เป็ไรหรอก” ฉันส่ายหน้าพลางพูด
“เห้อ ยังจะอวดเก่งอีก ครั้งหน้าอย่าไปที่ที่อันตรายอีกล่ะ” เย่รั่วเซวี่ยมองฉันพลางพูดด้วยความเป็กังวล
ฉันพยักหน้า ทั้งจับมือเย่รั่วเซวี่ยไว้ และนั่งอยู่บนเตียงด้วยความเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง แล้วดูโทรศัพท์มือถือ ตอนนี้เป็เวลา 8 โมงแล้ว ซึ่งใกล้จะถึงเวลาเข้าเรียนแล้ว
“ลูกพี่ นายพบอะไรในห้องเอกสารเหรอ?” หลี่โม่ฟ๋านถามขึ้นมาทันที หลังจากนั้นหยางย่าซินก็ใช้สายตามองมาที่ฉัน
“พบนิดหน่อยน่ะ ในรุ่นก่อนก็เหมือนว่าเคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ก็แค่ทั้งโรงเรียนคล้ายกับว่าตั้งใจจะปิดบัง” ฉันพยักหน้าพลางพูด
“รุ่นก่อนก็เคยเกิดเหรอ?” หยางย่าซินถามขึ้นมาทันที คำถามของเขาทำให้ฉันตะลึงเล็กน้อย เวลานี้ฉันเพิ่งพบว่า สายตาของคนที่อยู่รอบๆ ล้วนมารวมกันอยู่ที่ตัวฉัน
“ไม่รู้สิ” ฉันส่ายหน้าพลางพูด แน่นอนว่าฉันไม่กล้าบอกความจริงกับพวกเขาว่า รุ่นก่อนเหมือนกับว่ามีเพียงแค่คนเดียวที่มีชีวิตอยู่ คนอื่นๆ ล้วนกลายเป็คนตายไปหมด
“อ่อ” หลี่โม่ฟ๋านมีอาการหมดหวังอยู่บ้าง ในเวลาเดียวกันกลับพูดด้วยความฮึกเหิมว่า “หากเป็เช่นนี้แล้วล่ะก็ เพียงแค่หาช่องทางการติดต่อของนักเรียนรุ่นก่อน ไม่แน่ว่าอาจจะหาวิธีการแก้ไขได้”
“ไม่เลว ในเมื่อรุ่นก่อนก็เคยผ่านมาแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะรู้ว่าควรจะทำอย่างไร” หยางย่าซินก็พูดเหมือนกัน ฉันพยักหน้าแต่กลับไม่พูดอะไร รุ่นก่อนมีเพียงนักเรียนหญิงแค่คนเดียวที่โชคดียังมีชีวิตอยู่
นักเรียนหญิงคนนี้เป็ผู้ที่โชคดียังมีชีวิตอยู่ในที่สุด แน่นอนว่าจะต้องรู้อะไรบางอย่าง หากสามารถหาเธอเจอ ไม่แน่ว่าอาจจะหาจุดอ่อนของเกมนี้เจอ แต่ทว่าห้องเอกสารได้ถูกเผาทำลายไปแล้ว ที่อยู่ที่สามารถติดต่อได้ก็ล้วนสูญหายไปหมดแล้ว
เบาะแสที่เดิมทีได้ปรากฏขึ้น แต่ตอนนี้ได้ถูกตัดขาดไปหมดแล้ว ดูแล้วมือมืดที่อยู่เื้ัจะรู้จุดประสงค์ของฉันแล้ว รวมทั้งได้เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว การทำลายห้องเอกสาร ซึ่งแสดงว่าเบาะแสทุกอย่างล้วนสูญหายไปหมดแล้ว
ฉันทอดถอนหายใจเบาๆ แล้วฝืนใจยืนขึ้น พูดด้วยเสียงต่ำว่า “พวกเราไปกันเถอะ แบบสอบถามครั้งใหม่ใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว” เย่รั่วเซวี่ยจูงมือฉัน หลังจากนั้นพวกเราสองสามคนก็กลับมาที่ห้องเรียนแล้ว
ครูประจำชั้นได้อยู่ในห้องเรียนแล้ว ซึ่งมองท่าทางเช่นนี้ของฉันแล้ว เธอจึงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “จางเว่ย เธอไม่สบายอย่างนี้ ทำไมไม่ลาหยุดล่ะ? ตอนนี้เธอสามารถกลับบ้านได้แล้ว”
“ไม่จำเป็ ผมรักที่จะเรียนมาก” ฉันพูดกับครูประจำชั้น หลังจากนั้นก็เดินก้มหน้าไปที่โต๊ะ ครูประจำชั้นไม่มีทางที่จะทำไรได้ ทำได้แค่เริ่มสอนต่อ
คาบเรียนนี้ยังคงเรียนอย่างกลัดกลุ้มเหลือเกิน และก็ไม่มีใครตอบคำถาม ซึ่งทำให้สีหน้าของครูประจำชั้นหม่นหมองอยู่บ้าง ในที่สุดครูก็ทนไม่ได้ จึงปริปากพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาๆ ว่า “เป็อะไรกันเหรอ? ทุกคนไม่พอใจอะไรครูเหรอ?”
“ไม่มี” นักเรียนที่อยู่ด้านล่างพูดอย่างไม่กระตือรือร้น โดยเฉพาะหลายคนก็ี้เีที่จะพูด ซึ่งทำให้ครูประจำชั้นยิ่งโมโหขึ้นอีก
“หากทุกมีข้อคิดเห็นอะไรต่อครู ก็สามารถคุยกับครูได้ ไม่จำเป็ต้องใช้วิธีการเช่นนี้ ทุกคนใกล้จะขึ้นม.6 กันแล้ว ปีนี้สำคัญเป็อย่างมาก หากไม่ตั้งใจฟังกัน เช่นนั้นอนาคตก็จบแน่” ครูประจำชั้นพูดเตือนอย่างปากเปียกปากแชะด้วยความหวังดี
แต่ทว่าไม่มีใครสนใจคำพูดของครูเลย นักเรียนส่วนมากยังคงมีท่าทางที่ไม่ใส่ใจ ไม่ใช่ว่าทุกคนไม่สนใจอนาคต แต่ว่าทุกคนล้วนรู้สึกท้อใจต่ออนาคตของตัวเอง
สำหรับคนที่ใกล้จะตายแล้ว อนาคตอะไรก็ตามจริงๆ ก็เป็แค่ภาพลวงตา จะมีชีวิตอยู่ถึงวันที่จบการศึกษาวันนั้นไหมก็ไม่รู้น่ะ
ในที่สุดครูประจำชั้นก็ทอดถอนหายใจ แต่กลับไม่พูดอะไร หลังจากเลิกเรียน เพื่อนๆ ที่อยู่โดยรอบก็รวมตัวกันแล้วค่อยๆ ตรวจดูโทรศัพท์ในมือ แบบสอบถามชุดใหม่เริ่มขึ้นแล้วจริงๆ
จะต้องเลือกข้อใดข้อหนึ่งจากตัวเลือก 2 ข้อนี้ หากผลโหวตเสมอกันจักต้องดำเนินการพร้อมกัน
ข้อ1 เฉินิหยางต้องจับหน้าอกของครูประจำชั้น
ข้อ2 หลิวเกาฉี๋ต้องมีความสัมพันธ์กับผู้ชายในชั้นเรียนอย่างน้อย 6 คน
มองแบบสอบถามที่อยู่ในกลุ่ม สีหน้าของหลิวเกาฉี๋ขาวซีดอย่างฉับพลัน เธอมีแฟนแล้ว หวางเมิ่งก็คือแฟนของเธอ ให้ผู้หญิงคนหนึ่งอย่างเธอมีความสัมพันธ์กับผู้ชายในชั้นเรียน โดยเฉพาะต้อง 6 คน ซึ่งนี่ก็เกินความคาดหมายของเธอ
สำหรับสีหน้าของเฉินิหยางก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน และเพื่อนๆ ที่อยู่โดยรอบก็เริ่มถกปัญหากัน การโหวตในทุกๆ ครั้งจะต้องผ่านความคิดเห็นของทุกคน ซึ่งก็เป็เื่ปกติไปแล้ว
“ครั้งนี้ควรจะเลือกใครล่ะ? ไม่งั้นก็เลือกข้อ2 เถอะ ฉันไม่ชอบอีตัวน้อยอย่างหลิวเกาฉี๋ขวางหูขวางตามานานแล้ว”
“เฮ้ยๆ พอดีเลย นายไปกระตุ้นให้ผู้ชายทั้งห้องเลือกข้อ2 สิ เช่นนี้อัตราที่พวกจะได้เป็ 1 ใน 6 ก็มีมาก”
“ได้ ฉันจะไปจัดการตอนนี้เลย”
หวางเมิ่งยืนขึ้นแล้วตวาดด้วยสีหน้าที่หม่นหมองว่า “ทั้งหมดเลือกเฉินิหยางเถอะ ใครกล้าเลือกหลิวเกาฉี๋คอยดูเถอะ” แต่ทว่าคำพูดของคำกลับไม่มีความหมายอะไร เพราะว่าหวางเมิ่งคือผู้ชายที่ตัวเตี้ยที่สุดในชั้นเรียน ถึงแม้ผลการเรียนค่อนข้างจะดี แต่พละกำลังในการต่อสู้ก็อยู่แค่ขั้นสอง ด้วยเหตุนี้ในชั้นเรียนจึงไม่มีใครกลัวเขา
การโหวตเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้นหลิวเกาฉี๋ก็มีผลโหวตถึง 12 เสียง ดูแล้วความคิดเห็นของนักเรียนชายจะเป็เอกฉันท์ ล้วนอยากให้หลิวเกาฉี๋ฉาวโฉ่
“ลูกพี่ พวกเราเลือกข้อไหนดี? จะเลือกหลิวเกาฉี๋ไหม?” หลี่โม่ฟ๋านถามด้วยสีหน้าที่ไม่สุภาพนัก
“งั้นจะรออะไรล่ะ?” ฉันก็หัวเราะพลางพูดอย่างแปลกประหลาดเหมือนกัน
“เฮ้ยๆ ลูกพี่รู้ใจฉันจริง ๆ” เมื่อหลี่โม่ฟ๋านพูดจบ ก็รีบโหวตให้หลิวเกาฉี๋ 1เสียง
หลักจากนั้นหยางย่าซินก็ได้ถามความคิดเห็นฉัน แล้วก็โหวตให้หลิวเกาฉี๋ 1เสียงเหมือนกัน ครั้งนี้หลิวเกาฉี๋ร้อนรนขึ้นแล้ว เธอะโในห้องเรียนว่า “ผู้ชายที่น่าเกียจอย่างพวกนายน่ะ อย่าคิดที่จะมาแตะต้องตัวฉันเด็ดขาด เพื่อนสาวทั้งหลาย ทุกคนโหวตให้เฉินิหยางเถอะ”
“นี่มันก็แน่นอนอยู่แล้ว”
“วางใจเถอะ ต้องโหวตแน่นอน”
“จะไม่ให้พวกเขาประสบผลหรอก”
และการระดมพลของหลิวเกาฉี๋ ทำให้ผลโหวตของเฉินิหยางเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ชั้นม.5/5 เป็ห้องเรียนสายศิลป์ จำนวนนักเรียนหญิงมีมากกว่านักเรียนชายเท่าตัว ด้วยเหตุถึงนักเรียนชายส่วนใหญ่จะเลือกหลิวเกาฉี๋แล้วก็ตาม
เพียงแค่นักเรียนหญิงล้วนอยู่ฝั่งของหลิวเกาฉี๋ แน่นอนว่าหลิวเกาฉี๋จะต้องเป็ผู้ชนะ
ซึ่งก็เป็เช่นนั้นจริงๆ และการโหวตก็ได้สิ้นสุดลง ผลโหวตของหลิวเกาฉี๋มีแค่ 13 เสียง แต่ผลโหวตของเฉินิหยางมี 34 เสียง เฉินิหยางทอดถอนหายใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ ใบหน้าของเขาก็ไม่มีคำพูดที่คับแค้นใจใดๆ แต่ทว่ากลับมีอาการที่ดูแล้วยังไงก็ได้ และพุ่งออกไปนอกห้องเรียน ดูแล้วครูประจำชั้นน่าจะโชคร้ายแล้ว
“เชี่ย แพ้อีกแล้ว” หลี่โม่ฟ๋านพูดด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ
“แน่นอนว่าจะต้องเป็เช่นนี้อยู่แล้ว สุดท้ายแล้วหลิวเกาฉี๋ก็ต้องเป็ผู้ชนะ” ฉันพูดด้วยสีหน้าธรรมดาๆ กลับไม่รู้สึกว่าแปลกอะไร
“งั้นนายยังจะให้พวกเราเลือกหลิวเกาฉี๋อีก” หลี่โม่ฟ๋านพูด
“ฉันก็แค่อยากจะดูอิทธิพลของนักเรียนหญิงน่ะ ตอนนี้เยี่ยมจริงๆ ฉันได้ล่วงเกินนักเรียนหญิงทั้งชั้นเรียนแล้ว หากไม่หาทางพลิกกลับแล้วล่ะก็ เกรงว่าตอนจบคงจะต้องเป็กังวลอย่างยิ่ง” ฉันบ่นพึมพำ