โจวฉางซุ่นรู้ว่าบิดาของตนต้องทนทรมานเพราะอาการปวดหัวมานานหลายปีกินยาไปตั้งมากมายก็ไม่ดีขึ้น ยามอาการปวดหัวกำเริบ ท่านพ่อมักจะทุบข้าวของถึงขั้นเอาหัวโขกกำแพง ยามนี้ไม่ต่างจากฉวยเส้นฟางช่วยชีวิตเอาไว้ได้หนึ่งเส้นเขามองอวี๋เจียวด้วยสายตาฮึกเหิม “แม่นางเมิ่งมีวิธีรักษาโรคปวดหัวของท่านพ่อข้าหรือไม่?”
“มีวิธีรักษา”
อวี๋เจียวเอ่ยออกไปเช่นนี้ใบหน้าของสองพ่อลูกสกุลโจวฉายแววตื่นเต้นยิ่งนัก
《ตำราเหอจี้จวี๋ฟาง》มียาสมุนไพรพื้นเมืองสูตรหนึ่งชื่อว่า‘ไล่สลายลม’ ใช้ยาสมุนไพรนับสิบชนิดรวมกัน มีสรรพคุณช่วยรักษาโรคปวดศีรษะได้อย่างล้ำเลิศ
"รอจนลงจากเขาแล้ว ข้าจะเขียนเทียบยาให้ท่านอาโจวกินแล้วจะดีขึ้นเ้าค่ะ" อวี๋เจียวกล่าว
โจวเสียงดีใจอย่างยิ่ง “ได้ผลมหัศจรรย์เช่นนี้จริงๆ หรือ? ถ้าสามารถรักษาโรคปวดหัวที่แทบจะคร่าชีวิตข้าได้จริงๆ ข้าคงต้องขอบพระคุณแม่นางเมิ่งล่วงหน้าแล้ว!”
น้ำเสียงของอวี๋เจียวสุขุม วาจาเอ้อระเหย"ขอเพียงท่านกินยาตามเทียบยาของข้าจะต้องรักษาให้หายขาดได้อย่างแน่นอนเ้าค่ะ"
ครั้นโจวเสียงได้ฟังน้ำเสียงเช่นนี้ของนางคล้ายกับไม่ต้องเอ่ยถึงโรคปวดหัว ภายในใจก็ปักใจเชื่อโดยสิ้นเชิงเสียแล้วเขาถูมือไปมาด้วยสีหน้าตื่นเต้น “จะว่าไปแล้วข้าก็ไม่รู้เช่นกันว่าเป็โรคปวดหัวนี้ได้อย่างไรทุกครั้งที่อาการกำเริบรู้สึกปวดหัวจนเหมือนจะแตกออกเป็เสี่ยงๆเรียกได้ว่าเกือบเอาชีวิตชราของข้าเลยทีเดียว!”
อวี๋เจียวอธิบาย “โรคปวดหัวเรื้อรังเกิดขึ้นเพราะเชื้อโรคแฝงภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยจะบกพร่องเป็อันดับแรก ตามด้วยเชื้อโรคแฝงทั้งหก [1] จากภายนอกเข้าจู่โจมภูมิคุ้มกันไร้เรี่ยวแรงขับเชื้อโรคแฝงออกสู่ภายนอก ทำให้ยังคงอยู่ภายในไม่หายไปเมื่อนานวันเข้าจะอยู่ตามิั ค่อยๆ ซึมเข้าสู่อวัยวะภายในทำให้สั่งสมความชื้นจนก่อเกิดเสมหะและเืคั่งสร้างรังฝังลึกไม่ยอมออกไปจนกลายเป็โรคเรื้อรังเ้าค่ะ”
โจวเสียงและคนอื่นๆ ไม่ค่อยเข้าใจวิชาหมอเท่าใดพวกเขาฟังแล้วเข้าใจแค่ครึ่งเดียวแต่ก็ไม่กล้าถามซักไซ้
อวี๋ฝูหลิงเคยแอบดูอวี๋หรูไห่ตรวจไข้จึงฟังเข้าใจ เอ่ยว่า“อาการปวดหัวของท่านอาโจวเกิดจากภายในไร้ภูมิคุ้มกันทำให้เชื้อร้ายภายนอกเข้าสู่ร่างกาย ผ่านไปนานวันถึงได้แสดงอาการออกมาเ้าค่ะเมิ่งอวี๋เจียว เ้าช่วยอธิบายเทียบยาให้ข้าฟังสักหน่อยได้หรือไม่?”
อวี๋เจียวเห็นนางใฝ่รู้จึงเอ่ยต่อไปว่า"เทียบยาต้องใช้สมุนไพรที่มีฤทธิ์แห้งและแรง มีฤทธิ์ค่อนไปทางโจมตีเชื้อร้ายเพราะกำลังของภูมิคุ้มกันด้อยกำลังกว่าจำต้องเสริมภูมิคุ้มกัน เปิดจุดอุดตันชักนำให้เชื้อร้ายออกสู่ภายนอก อาการของโรคก็จะดีขึ้น หากพี่ฝูหลิงสนใจรอกระทั่งกลับไปแล้วค่อยศึกษาชนิดของสมุนไพรที่ข้าใช้ในเทียบยา"
อวี๋ฝูหลิงพยักหน้าระรัว "ได้!"นางมีใจอยากเรียนวิชาสมุนไพรดังนั้นจึงฉวยโอกาสนี้วนเวียนรอบอวี๋เจียวและซักถามถึงวิธีรักษาอาการป่วยทั่วไปจำนวนหนึ่ง
อวี๋เจียวอธิบายให้นางฟังอย่างละเอียดน้ำเสียงของนางราบเรียบและน่าฟัง เมื่อคลอไปกับเสียงสายฝนนอกถ้ำ อวี๋เฉียวซานและคนอื่นๆฟังไปฟังมาต่างเอนกายพิงกำแพงถ้ำแล้วหลับไปเสียแล้วมีเพียงอวี๋ฝูหลิงที่ยังซักถามหลายสิ่งหลายอย่างด้วยสีหน้าสนใจใคร่รู้
อวี๋เจียวเอ่ยตอบเสียงเบา คนทั้งสองเ้าถามข้าตอบสายฝนโหมกระหน่ำข้างนอกไม่มีหยุดหย่อน ท้องฟ้ามืดลงเรื่อยๆ ขณะไม่ทันรู้ตัวก็ได้พูดคุยกันจนฟ้ามืดสนิทเสียแล้ว
อวี๋ฝูหลิงได้รับความรู้อย่างมากนางรู้สึกเพียงว่าหลังจากฟังคำกล่าวของอวี๋เจียว นางเข้าใจหลายสิ่งเกี่ยวกับการตรวจไข้และรักษาโรคอย่างรวดเร็วได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างเสียยิ่งกว่าถามเื่การตรวจคนไข้จากท่านปู่เสียอีก
“พวกเราทำอาหารกันเถอะ” ท้องของอวี๋ฝูหลิงส่งเสียงร้องออกมานางเอ่ยเสียงเบากับอวี๋เจียว
อวี๋เจียวพยักหน้า ทั้งสองหยิบหม้อเหล็กขึ้นมาอย่างเบามือยิ่งนักตามด้วยต้มน้ำร้อนเอาข้าวสารหนึ่งกอบออกมาจากห่อผ้าและวางหม้อลงบนกองไฟเพื่อหุงต้ม
เสียงเดือดในหม้อและกลิ่นหอมของข้าวปลุกพ่อลูกสกุลโจวและอีกไม่กี่คนให้ตื่นขึ้นมาพบว่าข้างนอกมืดสนิท ฝนยังคงตกลงมา พวกเขากินอาหารแห้งและดื่มข้าวต้มหนึ่งชามจากนั้นพากันผิงไฟแล้วหลับไป
จู่ๆ มีพายุฝนตกลงมาเป็เวลาหนึ่งวันสตรีแซ่จางของครอบครัวใหญ่สกุลอวี๋เป็ห่วงอวี๋เฉียวซานสองพ่อลูกที่ขึ้นเขาไปล่าสัตว์สตรีแซ่ซ่งปลอบใจนางอยู่ครู่หนึ่งสตรีแซ่จางก็รู้ว่าเพราะฝนตกหนักทำให้พวกเขาไม่สามารถลงจากเขาได้ทำได้เพียงรอให้ฝนหยุดเท่านั้น นางพูดคุยกับสตรีแซ่ซ่งอีกครู่หนึ่งก็กลับห้องไป
สตรีแซ่ซ่งซ่อมแซมเสื้อผ้าใต้แสงตะเกียงพูดคุยเรื่อยเปื่อยกับอวี๋เมิ่งซานที่นอนอยู่บนเตียงว่า"ไม่รู้ว่าฝูหลิงกับแม่หนูเมิ่งจะเป็อย่างไรบ้าง ฝนตกหนักมาทั้งวันแล้วพวกนางสองคนต้องค้างแรมบนูเา ไม่รู้ว่าจะกลัวหรือไม่? เมื่อเช้านี้แม่หนูเมิ่งยังบอกให้ข้าหาร่มมาให้ หรือว่านางรู้ว่าวันนี้ฝนจะตก?"
อวี๋เมิ่งซานปลอบใจภรรยา "พี่ใหญ่จะดูแลพวกนางสองคนอย่างดีมีสหายเสียงจื่ออยู่ด้วย จะไม่เกิดเื่อะไรขึ้นแน่นอน"
เพราะกลัวว่าแสงไฟจะสลัวเกินไปสตรีแซ่ซ่งทำงานเย็บปักแล้วจะรู้สึกปวดตา อวี๋เมิ่งซานเอ่ยต่อไปว่า “ไม่ต้องซ่อมแล้วไม่ได้รีบร้อนใส่ ตอนกลางวันค่อยเย็บ พักผ่อนเร็วสักหน่อยเถิด”
สตรีแซ่ซ่งยิ้มอย่างอ่อนโยน "ไม่เป็อะไรเ้าค่ะซ่อมเสร็จค่อยนอน"
อวี๋ฉี่เจ๋อนั่งคัดคัมภีร์อยู่หน้าโต๊ะพลางฟังเสียงสนทนาของบิดามารดาที่อยู่ด้านนอกเขาวางพู่กันในมือลง ลุกขึ้นเดินไปยังขอบหน้าต่างยกมือขึ้นผลักบานหน้าต่างทั้งสองด้านออก สายลมหนาวระลอกหนึ่งพัดโชยเข้ามา
ร่างโปร่งบางของอวี๋ฉี่เจ๋อยืนอยู่ริมหน้าต่างอาภรณ์ตัวยาวสีเขียวถูกซักจนสีขาวซีดลอยพลิ้วไหวไปตามสายลมหนาวเคล้าสายฝนแผ่นหลังของเขาผอมบางและโดดเดี่ยว แฝงไว้ซึ่งความอ่อนโรยแรงจากอาการป่วยสามส่วน
ูเาชิงเหยียนอันมืดมิดที่ตั้งอยู่ไกลออกไปในคืนฝนตกช่างไม่ต่างสัตว์ประหลาดที่มีปากขนาดใหญ่เบื้องหน้าอวี๋ฉี่เจ๋อมีภาพรอยยิ้มสดใสของอวี๋เจียววูบผ่านน้ำเสียงอ่อนหวานและขี้ขลาดเอ่ยกับเขาว่า นางจะขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรให้เขา
ริมฝีปากของอวี๋ฉี่เจ๋อเผยรอยยิ้มออกมาเขายื่นฝ่ามือเรียวยาวขาวผ่องที่เห็นกระดูกอย่างชัดเจนออกไปสายฝนเย็นะเืร่วงหล่นลงบนฝ่ามือของเขา แม้จะเป็ฤดูร้อนแต่หยาดฝนกลับหนาวเย็นจนทำให้ผู้คนสั่นสะท้าน
สายลมเย็นในคืนฝนตกพัดพาไอเอ็นเจือหยาดฝนเข้ามาปะทะอย่างฉับพลันใบหน้าหล่อเหลาของอวี๋ฉี่เจ๋อเปียกชุ่มไปด้วยหยาดฝน ยิ่งทำให้แลดูงดงามตระการตาท่ามกลางดินฟ้าและป่าเขา
เพียงแต่สายลมเย็นซอกซอนเข้าไปในลำคอของเขาเช่นกันอวี๋ฉี่เจ๋อรู้สึกคันลำคอของตนอยู่ครู่หนึ่งเพราะกลัวว่าจะทำให้ท่านพ่อกับท่านแม่เป็ห่วง เขายกมือขึ้นปิดปากเรียวนิ้วขาวราวกับหยกกำเข้าหากันเล็กน้อย เขากดลงเรียวนิ้วลงบนขอบริมฝีปากคิ้วใสสะอาดขมวดเข้าหากัน คิดจะฝืนกลั้นไอเอาไว้ แต่ท้ายที่สุดกลับทนไม่ไหวทำได้เพียงพยายามเบาเสียงไอลงเท่านั้น
เพียงแต่เมื่อไอออกมากลับไม่อาจควบคุมเสียแล้วเขากระอักไอจนร่างทั้งร่างหายใจไม่ทันและสั่นสะท้านไปทั้งกาย
สตรีแซ่ซ่งที่อยู่ด้านนอกได้ยินเสียงไอจึงวางตะกร้าเย็บปักในมือลงนางรีบเดินไปที่ประตูห้อง เคาะประตูแล้วเอ่ยด้วยความใว่า "ฉีเจ๋อทำไมเ้าถึงไอรุนแรงขนาดนี้? ถูกอากาศเย็นหรือ? แม่จะเรียกท่านปู่ของเ้ามาตรวจดูเ้าสักหน่อย?"
ไม่แปลกใจที่สตรีแซ่ซ่งจะกังวลถึงเพียงนี้ เพราะร่างกายของอวี๋ฉี่เจ๋อทรุดโทรมไม่ต่างกับตะแกรงรั่วร่างกายอ่อนแอยิ่งนัก หากไม่ระวังตัวเพียงเล็กน้อยก็จะล้มป่วยครั้งใหญ่เมื่อไม่กี่วันก่อนเพิ่งจะหยุดดื่มยาต้ม ตลอดหลายวันที่อาการดีขึ้นสตรีแซ่ซ่งยังคอยระวังอยู่ตลอด เพราะกลัวว่าเขาจะล้มป่วยไปอีก
อวี๋ฉี่เจ๋อไอจนแทบหายใจไม่ออกเขารีบยกมือขึ้นปิดหน้าต่างอย่างรวดเร็ว ตอบกลับด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเล็กน้อย"ท่านแม่ ข้าไม่เป็อะไร ท่านรีบไปนอนเถิด”
กล่าวจบอวี๋ฉี่เจ๋อพยายามกลั้นไออย่างหนักเพื่อไม่ส่งเสียงไออีกครั้งเขาเป่าตะเกียงบนโต๊ะแล้วแสร้งทำทีจะพักผ่อน
สตรีแซ่ซ่งเห็นแสงไฟภายในรอยแยกประตูดับลงจึงแนบใบหูชิดกับประตูเมื่อไม่ได้ยินเสียงไอของอวี๋ฉี่เจ๋อดังขึ้นอีกถึงได้เบาใจลง
เช้าตรู่วันถัดมาสตรีแซ่ซ่งกับอวี๋เมิ่งซานถูกปลุกด้วยเสียงไอติดต่อกันจากห้องด้านในอวี๋เมิ่งซานเผยสีหน้าเป็กังวล สตรีแซ่ซ่งสวมเสื้อคลุมตัวนอกจากนั้นรีบร้อนไปเคาะประตูห้องด้านใน “ฉี่เจ๋อ เ้าป่วยแล้วใช่หรือไม่?”
อวี๋ฉี่เจ๋อคิดอยากจะกดข่มอาการคันภายในลำคอแต่กลับล้มเหลวเสียแล้ว
เพียงเพราะเมื่อวานเปิดหน้าต่าง สายลมเย็นเข้าสู่ร่างกายขณะนอนหลับอวี๋ฉี่เจ๋อรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวไปทั้งกาย เมื่อถึงยามรุ่งอรุณร่างกายของเขาไม่สบายและเริ่มมีอาการตัวร้อนเดิมทีไม่อยากเสียงดังให้อวี๋เมิ่งซานสองสามีภรรยาได้ยินแต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ควบคุมการไอไม่ได้ยังคงต้องรบกวนท่านพ่อกับท่านแม่อยู่ดี
''''''''''''''''''''
เชิงอรรถ
[1] เชื้อโรคทั้งหกจากภายนอกได้แก่ลม 风 ความเย็น 寒 ความร้อน 暑 ความชื้น湿 ความแห้ง燥 และไฟ火
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้