ทำไมหนิงเสวี่ยถึงไม่เข้าร่วมการแข่งขันภาษาอังกฤษ เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สาเหตุดีที่สุด
ในฐานะผู้ที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้คะแนนอันดับหนึ่งของประเทศ ต่อให้วิชาภาษาอังกฤษจะไม่ได้คะแนนเต็ม แต่ก็คงไม่แย่อย่างแน่นอน
จี้เจียงหยวนเคยบอกว่าสมัยมัธยมปลายหนิงเสวี่ยเคยไปอเมริกา ทักษะการพูดของเธอไม่เลวเลยทีเดียว ดังนั้นที่เธอไม่เข้าร่วมการแข่งขันภาษาอังกฤษก็เพราะรู้สึกว่าการแข่งนี้ไม่มีคุณค่า หนิงเสวี่ยเหมือนยอดฝีมือที่โด่งดังอยู่ในยุทธภพมานานแสนนาน จึงไม่จำเป็ต้องใช้การแข่งขันพวกนี้มาพิสูจน์ตัวเอง หนิงเสวี่ยคงรอแข่งขันทักษะเฉพาะทางมากกว่า
แต่เซี่ยเสี่ยวหลานนั้นไม่เหมือนกัน เธอจำเป็ต้องคว้าชื่อเสียงและเกียรติยศมาให้ตัวเองมากกว่านี้ เพื่อเปลี่ยนแปลงความคิดที่ผู้อื่นมีต่อตัวเอง
หลังผ่านการฝึกทหารและเดินขบวนวันชาติแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานก็รู้สึกว่าตนได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นเล็กน้อย เธอปรับตัวเข้ากับยุคสมัยนี้ได้มากขึ้น ความภาคภูมิใจต่อส่วนรวมก็เพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน
เฉกเช่นที่หลิวหัวเจิงกล่าว หากเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้ มันไม่ใช่แค่เกียรติยศของตัวเอง แต่ยังเป็เกียรติให้กับชาวหัวชิงอีกด้วย!
มองดูรอบกายแล้ว ล้วนมีแต่ศัตรูมือฉมังทั้งนั้น มหาวิทยาลัยปักกิ่ง มหาวิทยาลัยเพื่อประชาชน มหาวิทยาลัยครุศาสตร์ปักกิ่ง มหาวิทยาลัยจิงเม่า… ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกรอบแรกมาได้หากลองนับอย่างคร่าวๆ แล้วมีประมาณสองร้อยกว่าคน
ต้องชิงโอกาสจากสองร้อยกว่าคนนี้ ทั้งยังมีนักศึกษาที่มาจากสาขาวิชาภาษาต่างประเทศด้วย แม้เซี่ยเสี่ยวหลานจะอยากผ่านเข้ารอบย่อมไม่ใช่เื่ง่ายๆ
เธอคาดว่าตนคงได้เปรียบเื่ทักษะการพูดกับการฟัง คนที่ผ่านเข้ารอบแรกมาได้ คะแนนสอบข้อเขียนคงไม่ต่างกันมากสักเท่าไร
จี้เจียงหยวนเดินมาหา “พวกเธอสองคนดูประหม่ามากเลยนะ”
หลิวหัวเจิงกลอกตาใส่เขา ก่อนจะพูดเสียงเบาว่า
“ฉันรู้ข่าวมาว่าคนที่ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศได้ ไม่ว่าสุดท้ายจะได้รางวัลหรือเปล่า อย่างไรก็มีโอกาสได้ทุนไปเรียนต่อต่างประเทศ”
“เธอบอกว่าทุนเรียนต่อต่างประเทศหรือ?”
อาจารย์หลินให้ความสำคัญกับการสอบแข่งขันภาษาอังกฤษครั้งนี้เป็อย่างมาก แต่เธอไม่ได้บอกรายละเอียดพวกนี้กับเซี่ยเสี่ยวหลาน
ข่าวของหลิวหัวเจิงไวกว่าเซี่ยเสี่ยวหลาน เห็นได้ชัดว่าจี้เจียงหยวนก็ได้ยินมาบ้างเหมือนกัน “ไม่นับว่าเป็ทุนเรียนต่อ แต่เป็นักเรียนแลกเปลี่ยนน่ะ”
นักเรียนแลกเปลี่ยน?
ที่แท้ปี 1984 ก็มีโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนแล้วหรือนี่ เซี่ยเสี่ยวหลานพอจะจำได้ว่าในปี 1995 กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาเพิ่งอนุมัติให้ประเทศจีนเข้าร่วม ‘โครงการนิสิตแลกเปลี่ยนนานาชาติ’ เธอจำเื่นี้ได้ดีเพราะชาติที่แล้วในปีเดียวกันคือปีที่เธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยนั่นเอง
ปัจจุบันยังไม่มีโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษากับสหรัฐอเมริกา เช่นนั้นคงเป็ประเทศอื่นสินะ
ได้เป็นักเรียนแลกเปลี่ยนหรือไม่เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ค่อยสนใจสักเท่าไร ถ้าเธออยากไปต่างประเทศจริงก็คงไปเรียนต่อเลยเสียมากกว่า
หากไม่ได้ทุนจากรัฐบาลก็ออกทุนเรียนเองเสีย
ถึงอย่างไรตอนนี้การหาเงินให้มากไว้ก่อนย่อมไม่ผิด
ในบรรดาสามคนนี้ จี้เจียงหยวนกลับมาจากอเมริกาโดยตรง การเป็นักเรียนแลกเปลี่ยนไม่ดึงดูดความสนใจจากเขาเท่าไร มีเพียงหลิวหัวเจิงที่คาดหวังกับการแข่งขันในครั้งนี้ ทว่าสำหรับเซี่ยเสี่ยวหลานแล้วการรู้ข่าวนี้เป็แค่เื่เล่าฆ่าเวลาระหว่างรอเข้าห้องสอบเท่านั้น อย่างไรก็ตามควรทำข้อสอบอย่างไรก็ทำอย่างนั้นน่ะสิ
การสอบแรกคือการสอบข้อเขียน ซึ่งรวมการวัดระดับทักษะการฟังเอาไว้ ระยะเวลาสอบนั้นสั้นมาก แต่จำนวนข้อสอบเยอะเหลือเกิน มีบทความยาวเหยียดที่ต้องอ่านเต็มไปหมด แค่ทำข้อสอบให้ทันก็ดีมากแล้ว จึงยากมากที่จะหาเวลามาตรวจสอบคำตอบอีกครั้ง
ส่วนข้อสอบการฟังนั้นเรียงเต็มกระดาษหนึ่งแผ่น
และการสอบการพูด ผู้ทดสอบคืออาจารย์ผู้คุมสอบ นักศึกษาที่ผ่านเข้ารอบมาจะถูกแบ่งเป็เดี่ยวและคู่ โดยทุกกลุ่มจะมีอาจารย์สามคนเป็ผู้รับผิดชอบ
ทางสนามสอบเตรียมบทความภาษาอังกฤษเอาไว้จำนวนไม่น้อย พวกเขาจะให้นักศึกษาเดินขึ้นเวทีไปหยิบมาหนึ่งแผ่น และอ่านบทความนั้นให้ทุกคนฟัง หลังอ่านจบอาจารย์จะถามคำถาม ดังนั้นการอ่านแค่ผ่านๆ ย่อมใช้ไม่ได้ นักศึกษาต้องรู้ด้วยว่าบทความที่ตนหยิบมานั้นพูดถึงอะไร อีกทั้งยังต้องเรียบเรียงประโยคตอบคำถามที่ถูกถามอีกด้วย
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือด่านที่ยากที่สุดของการสอบรอบก่อนชิงชนะเลิศ
คนที่ทำข้อเขียนเก่ง ไม่แน่ว่าทักษะการพูดจะดี
และคนที่ทักษะการพูดดี ก็ไม่แน่ว่าจะเก่งข้อเขียนเช่นกัน จี้เจียงหยวนรู้ตัวดีว่าตนคงไม่ได้เข้ารอบชิงชนะเลิศอย่างแน่นอน เพราะเขาทำการอ่านได้ห่วยมาก ส่วนการพูดกับการฟังนั้นไม่มีปัญหาแม้แต่น้อย
พอถึงคราวของเซี่ยเสี่ยวหลาน เธอหยิบได้บทความที่เกี่ยวกับการรักษาสิ่งแวดล้อม
นอกจากคำศัพท์เฉพาะ เธออ่านบทความได้อย่างคล่องแคล่ว อาจารย์ผู้รับผิดชอบถามเธอถึงความคิดเห็นที่มีต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมในประเทศจีน เพราะบทความนี้กล่าวถึงมลภาวะทางสิ่งแวดล้อมของประเทศ แน่นอนว่าอาจารย์คงอยากได้ยินคำตอบว่าประเทศจีนแก้ปัญหามลภาวะทางสิ่งแวดล้อมได้ดีกว่าต่างชาติ เซี่ยเสี่ยวหลานหยุดคิดเล็กน้อย แต่สุดท้ายเธอก็ไม่สามารถทรยศต่อความคิดของตนได้
“ตอนนี้พวกเราเน้นพัฒนาด้านอุตสาหกรรมเป็ลำดับแรก อุตสาหกรรมสามารถมอบปัจจัยสี่ให้กับประชาชนทั้งประเทศ และทำให้ประเทศบ้านเกิดของพวกเราเจริญรุ่งเรือง ทว่าอีกแง่มุมหนึ่ง น้ำเสียที่เกิดจากระบบอุตสาหกรรมจะถูกปล่อยสู่แหล่งน้ำโดยตรง แน่นอนว่าสิ่งนี้ส่งผลกระทบต่อคุณภาพน้ำและดินเป็อย่างมาก ปัจจุบันปัญหาสิ่งแวดล้อมยังไม่เป็ที่สนใจในวงกว้าง หากไม่มีการบังคับใช้กฎหมายเพื่อควบคุมและป้องกันแล้วล่ะก็ ในอีกยี่สิบหรือสามสิบปีข้างหน้า มลภาวะทางสิ่งแวดล้อมจะกลายเป็ปัญหาร้ายแรงที่พวกเราต้องเผชิญ แหล่งน้ำที่ปนเปื้อนโลหะหนักเกินค่าวัดมาตรฐานย่อมไม่มีสัตว์น้ำอาศัยอยู่ ผืนดินที่ถูกสารปนเปื้อนย่อมเพาะปลูกพืชผักที่ดีต่อสุขภาพไม่ได้ ในอากาศก็จะเต็มไปด้วยฝุ่นละออง ออกจากบ้านก็จำเป็ต้องใส่หน้ากาก คงไม่มีใครอยากเห็นสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ดังนั้นหากปล่อยให้ปัญหาเกิดขึ้นแล้วต้องลงทุนลงแรงเป็ร้อยเท่าเพื่อแก้ไข สู้เริ่มให้ความสำคัญกับปัญหานี้ ช่วยกันป้องกันเสียั้แ่ตอนนี้คงดีกว่าค่ะ”
สิ่งที่เซี่ยเสี่ยวหลานพูดค่อนข้างดูน่าเหลือเชื่อ เพราะคนที่ไม่เคยเห็นฝุ่นละอองเต็มอากาศ ต้องใส่หน้ากากป้องกันแก๊สพิษก่อนออกจากบ้าน คงยากที่จะจินตนาการภาพที่เซี่ยเสี่ยวหลานกล่าวถึง
บางคนรู้สึกว่าเธอพูดจาเอาใจคนหมู่มาก และบางคนก็รู้สึกว่าเธอพูดเกินจริงให้คนหวาดกลัว
เซี่ยเสี่ยวหลานจับฉลากได้บทความนี้พอดี จึงใช้โอกาสนี้พูดมันออกไป
มันอาจจะไม่ใช่คำตอบที่อาจารย์้าได้ยินสินะ? เพราะอาจารย์ผู้รับผิดชอบทั้งสามไม่มีการวิจารณ์อะไรเลย
ถึงอย่างไรเธอก็ใช้ภาษาอังกฤษพูดทั้งหมด ตอบคำถามแล้วก็เท่ากับการสอบการพูดเสร็จสิ้น
จี้เจียงหยวนอดที่จะยื่นหน้ามาถามไม่ได้ “เธอสนใจเื่ปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วยหรือ?”
ประเทศจีนในปี 1984 นอกจากนักวิชาการเฉพาะทางที่เกี่ยวข้อง ใครบ้างจะสนใจเื่สิ่งแวดล้อมเช่นเซี่ยเสี่ยวหลานกัน จี้เจียงหยวนรู้สึกมาโดยตลอดว่าเซี่ยเสี่ยวหลานไม่เหมือนกับคนอื่นๆ เธอดูแปลกแยกจากสภาพแวดล้อมในประเทศจีนอย่างสิ้นเชิง และนี่ก็เป็อีกครั้งที่เขาคิดเช่นนั้น
หลิวหัวเจิงรู้สึกว่าคำตอบของเซี่ยเสี่ยวหลานเหมือนจะออกทะเลเล็กน้อย
“ทักษะการพูดดีขนาดนั้น ตอบคำถามของอาจารย์ให้ดีก็พอแล้วนี่!”
พูดออกนอกทะเลไปเพื่ออะไร ข้อสอบการเมืองทุกคนล้วนเคยทำมาแล้ว ดังนั้นคำถามประเภทนี้นักศึกษาทุกคนล้วนรู้ดีว่าควรตอบว่าอย่างไร
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน เธอได้แต่รำพึงรำพันว่า “ท่าทางฉันคงจะไร้วาสนาเข้าสู่รอบชิงแล้วสิ”
หลังพูดจบตัวเธอไม่รู้สึกเสียใจแม้แต่น้อย เธอแค่รู้สึกผิดกับอาจารย์หลินเท่านั้น อาจารย์หลินคาดหวังกับเธอมากเหลือเกิน เนื่องจากภาควิชาสถาปัตยกรรมมีแค่เซี่ยเสี่ยวหลานคนเดียวที่ผ่านเข้ารอบ
จี้เจียงหยวนเห็นว่าคำตอบของเซี่ยเสี่ยวหลานนั้นไม่ผิด แต่เมื่อพิจารณาถึงทิศทางของสังคมในปัจจุบันแล้ว แม้ทักษะการพูดของเซี่ยเสี่ยวหลานจะคล่องแคล่ว แต่คำตอบของเธอนั้นออกจะผิดเพี้ยนไปจาก ‘คำตอบมาตรฐาน’ จี้เจียงหยวนจึงไม่กล้าชมเซี่ยเสี่ยวหลานมากนัก เกิดเซี่ยเสี่ยวหลานอยากเข้ารอบชิงมาก แต่ถูกเขี่ยตกรอบเพราะการตอบคำถามเช่นนี้ เพื่อนนักศึกษาเซี่ยเสี่ยวหลานคงเสียใจอย่างแน่นอน
หลิวหัวเจิงเองก็เป็คนฉลาดเช่นกัน ดังนั้นทั้งคู่จึงไม่พูดเื่นี้อีก
เซี่ยเสี่ยวหลานบอกว่าอยากไปหาเพื่อนที่มาจากบ้านเกิดเดียวกัน และเพราะมีนักศึกษาคนอื่นที่ยังสอบอยู่ นักศึกษาจากหัวชิงนั่งรถมาด้วยกัน แน่นอนว่าต้องรอกลับพร้อมกัน
“รีบไปสิ เดี๋ยวฉันจะบอกให้รถของมหาวิทยาลัยรอเธอเอง”
หลิวหัวเจิงรับปากเซี่ยเสี่ยวหลาน และบอกให้เธอวางใจได้
จี้เจียงหยวนหยุดคิด “ไปเถอะ เดี๋ยฉันจะไปเป็เพื่อน”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้