อาชาสีน้ำตาลพุ่งทะยานดุจก้อนเมฆบนท้องฟ้า ไม่ผิดจากชื่อ ‘เมฆเหิน’ เลยแม้แต่น้อย ด้วยความแข็งแรงและปราดเปรียวของม้าแสนงามสง่าตัวนี้ ทำให้เคอหลิ่งหลินมาถึงหุบเขาชิงซานได้ในหนึ่งคืนกับหนึ่งวัน
อาจเป็เพราะเมฆเหินรู้ใจผู้อยู่บนหลังอานม้าว่าจิตใจนั้นร้อนรน้า ไปถึงปลายทางให้เร็วที่สุด มันมุ่งทะยานไปเต็มฝีเท้า แม้เมื่อหญิงสาวหยุดพักม้า มันก็ดื่มน้ำเล็มหญ้าเล็กน้อยแล้วผงกศีรษะเหมือนจะเรียกให้ไปต่อ
มาถึงที่หมายก็เย็นย่ำ หญิงสาวยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อบนใบหน้า สายตาจับจ้องไปทีู่เาที่ตั้งตระหง่านเบื้องหน้า แม้จะรีบร้อนเพียงใดก็มิควรเข้าไปยามค่ำคืน คืนนี้คงต้องหาที่พักแรมและที่ปลอดภัยในเมฆเหินเสียก่อน แม้มีความกังวลอยู่ในใจ แต่ใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้ม นางไม่แน่ใจว่า ‘บ้าน’ หลังนั้นของนางจะยังอยู่ไหม ความทรงจำในสถานที่นั้นเหลือน้อยเต็มที่ ทว่านางก็ยังจำที่ตั้งของสถานที่นั้นได้อย่างดี หญิงสาวลงจากหลังม้าแล้วจูงม้าเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางเล็กๆ ไม่นานนัก เบื้องหน้าปรากฏกระท่อมหลังน้อยที่สภาพซอมซ่อที่มีต้นไม้ขึ้นปกคลุมเต็มไปหมด ร่างเพรียวเดินเข้าไปใกล้ หัวใจตีบตัน แม่บังเกิดเกล้าให้กำเนิดนางได้ไม่นานก็ตายจาก เหลือเพียงพ่อที่เลี้ยงดูนางตามลำพังในกระท่อมหลังน้อย ท่านพ่อเป็มากกว่าพ่อ เป็ทั้งครู อาจารย์ สอนนางขีดเขียนและอ่านตำรา ฝึกวรยุทธและการแกะรอยเดินป่า ไม่เพียงแค่นั้น ท่านยังเป็พี่ เป็เพื่อนเล่นให้นางไม่รู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวและเป็แม่เมื่อยามที่นางป่วยไข้
เคอหลิ่งหลินสูดลมหายใจลึก กลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลริน แม้ไม่มีผู้ใด นางไม่ปรารถนาจะให้น้ำตารินหลั่ง ต้นไม้ขึ้นปกคลุมหนาราวกับซุกซ่อนกระท่อมไว้จากสายตาผู้อื่น เท้าของนางเดินเข้าไปใกล้พลันภาพต่างๆ ผุดขึ้นในสมองเริงร่าทับซ้อนกับความจริงเบื้องหน้า นางเห็นเงาร่างของพ่อที่มีร่างของเด็กหญิงตัวเล็กๆ ขี่คออยู่ หญิงสาวเดินผ่านความทรงจำเ่าั้ไปที่ประตูบ้าน ออกแรงอยู่หลายครั้งก็ผลักมันเข้าไปได้ ไม่ได้กลับมาที่นี่นานสิบกว่าปี สภาพในกระท่อมยังให้ความรู้สึกคงเดิม นางแหงนหน้ามอง้า หลังคาเป็รูในหลายแห่งแต่เพราะถูกหญ้าขึ้นปกคลุมจึงพอได้เป็ที่คุ้มศีรษะได้ คืนนี้นางคงจะอาศัยที่นี่พักผ่อนสักคืนก่อนจะเข้าสู่หุบเขาชิงซาน
นางก่อกองไฟเล็กๆ จัดแจงเตรียมอาหารให้ตัวเอง แม้ไม่หิวนักแต่ต้องให้ร่างกายได้กินอิ่มเพื่อมีเรี่ยวแรงไปนำไข่มุกหมื่นราตรี นางมองดูเมฆเหินพักผ่อนแล้วก็เบาใจ ม้าตัวนี้ฉลาดนักเกินคำว่าแสนรู้เสียอีก ไม่เพียงแต่ไม่เกรงกลัวสิ่งใดแล้วยังมีความสามารถในการจำทิศทาง มันสามารถพาคนที่อยู่บนหลังกลับที่พักได้เป็ม้าคู่ใจแม่ทัพอย่างแท้จริง
เสียงระบายลมหายใจเบาๆ ทำให้เมฆเหินหันมามองเพียงแวบเดียวแล้วก็ไม่ใส่ใจ เคอหลิ่งหลินเผลอหัวเราะเบาๆ แล้วส่ายหน้าไปมา ท่าทางแบบนี้ช่างคล้ายจ้าวจิ่นสือไม่มีผิด เป็ห่วงแต่ไม่แสดงออก เขามักเป็เช่นนั้น เป็เช่นนี้มาตลอด พ่อของนางพานางติดตามแม่ทัพจ้าวั้แ่อายุสิบขวบ หากสิ่งที่พ่อของนางตัดสินใจว่าดี นางย่อมเห็นว่าดีด้วย การเป็โจรป่าของพ่อแตกต่างจากโจรป่าที่นางเคยรู้จัก เพราะพ่อกับนางใช้ชีวิตตามลำพัง ไร้ญาติพี่น้อง แต่โจรป่าที่อื่นนั้นมักจะอยู่กันเป็ครอบครัวใหญ่ บ้างดำรงชีพด้วยการเป็โจร บ้างก็เป็โจรเพราะจำใจ นางไม่รู้หรอกว่าไยพ่อจึงเป็โจร ความเป็อยู่ของนางกับพ่อก็ไม่วิเศษเลิศเลออันใด ยังคงเป็แค่กระท่อมหลังน้อยที่แสนอบอุ่นนี้เท่านั้น จนเมื่อได้พบกับแม่ทัพจ้าวที่่นั้นออกปราบกบฎชายแดน
“แม่ทัพจ้าวเป็คนดี ท่านช่วยเหลือชาวบ้าน พ่ออยากจะช่วยท่าน หลินเอ๋อร์เ้าจะว่าอะไรพ่อหรือไม่”
“ท่านพ่อว่าอย่างไร ลูกก็ว่าตามนั้น” นางยักไหล่ไม่เห็นเป็เื่ใหญ่โตอะไร พ่ออยู่ไหน นางอยู่นั้น ย่อมเป็เช่นนั้น
“แต่เราจะไม่ได้อยู่ที่กระท่อมหุบเขาชิงซานอีกแล้วนะ” มือใหญ่หยาบกร้านลูบผมของลูกสาวอย่างทะนุถนอม
“จะเป็ไรไป โลกกว้างใหญ่ใช่ที่ไร้ที่ซุกหัวนอน พ่ออยู่ไหนข้าอยู่นั้น ท่านพ่อจะไม่ทิ้งให้ข้าอยู่คนเดียวใช่ไหม?”
“แน่นอน พ่อไม่ทิ้งเ้า แต่เ้าจะทนไหวหรือไม่”
นางหัวเราะเสียงใส ใช้นิ้วโป้งจิ้มที่หน้าอกตัวเอง “ข้าเป็ใคร ข้าเคอหลิ่งหลินบุตรสาวขุนโจรแห่งหุบเขาชิงซานเชียวนะ มีเื่อะไรให้ข้าต้องหวาดกลัวด้วยรึ”
“ใช่ๆ เ้าเป็ลูกพ่อ เ้าต้องเข้มแข็ง ไม่ว่าวันนั้นเ้าจะมีพ่ออยู่หรือไม่ก็ตาม”
“ท่านพ่อ ท่านสัญญาซิว่าจะไม่ทิ้งข้าไปเหมือนท่านแม่”
“หลินเอ๋อร์ จำไว้ให้ดีว่าแม่ไม่ได้ทิ้งเ้า แม่รักเ้ามากยอมเสียสละชีวิตตนเองเพื่อให้เ้าได้มีชีวิตอยู่ใช้ชีวิตเรียนรู้ทั้งสุขและทุกข์บนโลกใบนี้”
“ข้าทราบแล้วท่านพ่อ” เด็กหญิงทำหน้างอ
แต่ไม่กี่ปีผ่านมา ท่านพ่อก็ผิดสัญญากับนาง ไม่ซิท่านพ่อไม่ผิดสัญญา เพราะท่านบอกก่อนตายว่า “พ่อกับแม่จะอยู่กับเ้าเสมอจำไว้หลินเอ๋อร์ของพ่อ”
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ” นางร้องไห้เป็ครั้งแรก
“หลินเอ๋อร์ของพ่อ ต่อไปนี้เ้าต้องอยู่กับแม่ทัพจ้าวแล้ว เ้าไม่ใช่เด็กเล็กๆ อีกแล้วนะ”
“ท่านพ่อผิดสัญญา” เด็กหญิงตัวน้อยเอาแต่ทุบอกบิดาที่นอนหายใจรวยริน เนื้อตัวมีาแฉกรรจ์จากการเอาตัวเองปกป้องแม่ทัพจ้าว
“พ่อขอโทษ”
“ไม่ๆ ข้าไม่อยากได้คำขอโทษจากท่านพ่อ ข้าอยากให้ท่านพ่ออยู่กับข้า”
“หลิ่งหลิน”
เป็เสียงของแม่ทัพจ้าวที่ดังเหนือศีรษะของนาง นางหันไปมองด้วยใบหน้านองน้ำตา แม้ใบหน้าจะดูเรียบนิ่งแต่นัยตาปวดร้าวไม่แพ้กัน มือใหญ่วางบนศีรษะของนางอย่างเบามือ แต่น้ำหนักนั้นราวกับจะย้ำเตือนว่านี่คือเื่จริง ไม่ใช่ความฝัน
“ต่อไปนี้ข้าจะเป็พ่อให้เ้าเอง เ้ามาเป็ลูกสาวข้า ข้าจะดูแลเ้าให้ดีไม่น้อยกว่าพ่อของเ้า”
“ท่านแม่ทัพ...ข้าขอบคุณเหลือเกิน”
“ข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณเ้า”
เพียงสิ้นคำสั่งเสีย พ่อของนางจากไปอย่างไม่มีวันกลับ เด็กหญิงตัวเล็กไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายอย่างที่ควรเป็ นางได้แต่นิ่งงันไป แม่ทัพจ้าวจัดงานศพให้พ่อของนางตามธรรมเนียม นางยังเด็กและทำอะไรไม่ถูก หลังจากนั้นนางก็ติดตามแม่ทัพกลับมาที่จวน ได้พบฮูหยินอี้ซิ่วและจ้าวจิ่นสือเป็ครั้งแรก
“เ้ามาอยู่กับข้านะ ข้าอยากได้ลูกสาวมานานแล้ว”
ฮูหยินอี้ซิ่วยิ้มอ่อนโยน แต่ครานั้นนางถือคำสั่งบิดาเป็ที่ยึดเหนียว บิดาสั่งให้นางติดตามแม่ทัพจ้าว ไม่ใช่ฮูหยินของแม่ทัพ นางจึงได้แต่สั่นศีรษะไปมาแล้วไปหลบด้านหลังของแม่ทัพจ้าวเสียอย่างนั้น
“เอาเถอะ! พ่อนางก็เพิ่งจากไป ให้อยู่กับข้าไปสักระยะก่อนก็แล้วกัน แล้วอย่างไรค่อยว่ากันอีกที” แม่ทัพจ้าวตัดบท และสั่งให้คนคอยดูแลเคอหลิ่งหลิน
มือเรียวใช้กิ่งไม้เขี่ยกองไฟเล็กๆ เบื้องหน้า ใบหน้ามีรอยยิ้ม นางโชคดีเหลือเกินที่ได้รับความเมตตาจากแม่ทัพจ้าวและฮูหยินอี้ซิ่ว ทั้งที่ทั้งสองไม่จำเป็ต้องใส่ใจกับนางนัก แต่นางก็เติบโตมาอย่างดี เพียงแต่นางเลือกที่จะใช้ชีวิตตามคำสั่งเสียงของบิดา นางมีความสามารถในการแกะรอยสำรวจเส้นทาง อ่านแผนที่ได้อย่างแม่นยำ ยิ่งเติบโตในค่ายทหารได้ฝึกฝนวรยุทธการต่อสู้ไม่น้อยหน้าใคร ในสนามรบนางมักมีสีหน้าเรียบนิ่งดุจผิวน้ำในฤดูหนาว แต่เมื่อใช้ชีวิตปกติ นางกลับเป็เคอหลิ่งหลินจอมทะโมน คงเพราะแบบนี้กระมั้ง นางจึงถูกคนเข้าใจผิดว่าเป็เด็กรับใช้ในจวนแม่ทัพจ้าว หรือไม่ก็เพราะนางไม่ได้มีรัศมีเป็คุณหนูตระกูลใหญ่เลยสักนิด
นางไม่อยากคิดอะไรมาก คืนนี้นางต้องพักผ่อนเก็บแรงสำหรับวันรุ่ง ขณะเอนตัวลงนอนนางกลับฝันถึงตัวเองในวัยเด็ก เสียงหัวเราะและเื่ราวของมารดาที่ไม่เคยพบหน้า
แสงอาทิตย์แตะแต้มท้องฟ้า เคอหลิ่งหลินตื่นแต่เช้าตรู่จัดการธุระส่วนตัวแล้วยืนสนทนากับเมฆเหิน มือเรียวลูบแผงคออย่างเอาใจ
“รอข้าอยู่ที่นี่นะ ข้าจะไม่ผูกเ้า แต่โปรดรอข้าและพาข้ากลับไป เราจะกลับบ้านพร้อมกัน”
เมฆเหินส่งเสียงร้องในลำคอราวกับจะบอกเป็นัยว่าเข้าใจ นางยิ้มให้แล้วมุ่งหน้าเดินเข้าสู่หุบเขาชิงซาน หากูเาไม่เคลื่อนย้ายตัวเอง นางก็จำเส้นทางเหล่านี้ได้แม่นยำ ในวัยเด็กบิดาพานางเข้ามาหาของป่าไปขายในเมือง ที่นี่อุดมสมบูรณ์ด้วยพืชและสมุนไพรสารพัด โดยเฉพาะสมุนไพรหายากหลากหลาย แต่เส้นทางสลับซับซ้อนซ้ำ เป็ป่ารกทึบทำให้หลงทางโดยง่าย
“หากเราหาของป่าเหล่านี้ไปขายในเมืองก็ได้เงิน ไยท่านพ่อจึงต้องเป็โจรปล้นผู้อื่นด้วยเล่า” เสียงนางในวัยเด็กถามบิดาขณะเดินเข้าไปในป่าลึกเช่นเดียวกับวันนี้
พ่อหัวเราะเสียงกังวาน “พ่อทำเพราะคนที่พ่อปล้นเป็คนไม่ดี เอาเถอะหลินเอ๋อร์ โลกกว้างใหญ่มีอะไรอีกมากที่เ้ายังต้องเรียนรู้ แต่จำไว้ว่าพ่อทำเพื่อช่วยเหลือคนที่อ่อนแอ เ้าก็เช่นกัน สิ่งที่พ่อพร่ำสั่งสอนก็เพื่อให้เ้าปกป้องตนเองจากผู้อื่น และให้เ้าช่วยผู้ที่อ่อนแอกว่า อย่าได้นำสิ่งที่พ่อสอนไปรังแกใครล่ะ”
“ข้าทราบแล้วท่านพ่อ”
เคอหลิ่งหลินดีใจที่ตนเองยังจดจำเส้นทางเดินที่บิดาพานางมาได้ เพียงไม่กี่ชั่วยามนางก็เดินฝ่าแนวป่ารกทึบจนหูได้ยินเสียงน้ำตกอยู่เบื้องหน้า หากเป็เวลาปกตินางคงชมความงามสองข้างทางแต่ไม่ใช่เวลานี้ที่ความเป็และความตายกำลังคืบคลานเข้ามา
มือเรียวแหวกกอหญ้าที่สูงท่วมศีรษะ นางมองเห็นสระน้ำสีเขียวมรกต ที่นี่ถูกบิดาเรียกว่า ‘บึงมรกต’ และด้านหลังคือน้ำตกจันทรา
“ยามคืนพระจันทร์เต็มดวง ละอองน้ำกระเซ็นกระทบ
แสงจันทร์ งดงามราวกับไข่มุกสีนวลกระจ่างตา”
เสียงของบิดาดังขึ้นในหัวน้อยๆ ของนาง
“ในบึงมรกตมีไข่มุกที่ใช้รักษาโรคภัยหรือพิษร้ายแรงได้”
“ในบึงนี่นะหรือ? ข้านึกว่าไข่มุกมาจากทะเล” เด็กหญิงย่นจมูก
“มุกน้ำจืดก็มีนะ แต่สำหรับที่นี่ เป็สถานที่พิเศษ เ้าไม่ควรให้ใครรู้ หากเป็คนไม่ดีก็ทำนำสิ่งนี้ไปทำสิ่งผิด พ่อบอกเ้าเผื่อวันข้างหน้าเ้ามีเหตุจำเป็ต้องมาที่นี่”
“อืม...” นางพยักหน้าแรงๆ เป็การยืนยันว่านางจะไม่บอกใคร
แต่ใช่ว่าจะไม่มีใครรู้ หลายปีมานี่ นางได้ยินคนพูดถึงไข่มุกหมื่นราตรีบ่อยๆ สรรพคุณประดุจโอสถทิพย์จาก์ แต่ยังไม่เคยมีผู้ใดได้
ไข่มุกหมื่นราตรีอยู่ในบึงเบื้องหน้า นางต้องลงไปนำมันขึ้นมา
ดวงตาสีนิลเพ่งมองอย่างพิเคราะห์นึกถึงร่างกายกำยำของต้าซือที่เต็มไปด้วยาแสาหัสหนักเอาการ
หางตาเห็นการเคลื่อนไหวของ ‘บางสิ่ง’ กอหญ้าสั่นไหวและดูเหมือน ‘สิ่งนั้น’ พุ่งตรงมาทางนางอย่างรวดเร็ว!
เคอหลิ่นหลิงะโหลบ แม้จะเพ่งมองแต่ก็ไม่เห็นสิ่ง
ที่พุ่งเข้าใส่ อีกอึดใจสิ่งนั้นก็พุ่งใส่นางอีกครา สองมือของหญิง
สาวจับกิ่งไม้เหนือศีรษะแล้วโหนตัวเองขึ้นไปนั่งบนกิ่งไม้ อยู่ที่สูงย่อมได้เปรียบ นางหยิบกระบี่ที่ห้อยข้างกายออกมาแต่ยังไม่ชักออกจากฝัก แต่นางคิดผิดเพราะสิ่งนั้นกลับกระโจนใส่นางแม้นางจะอยู่บนกิ่งไม้สูง
เงาร่างดำทมิฬทำให้นางตะลึงไปเสี้ยววินาที ปากที่อ้าปากและเขี้ยวแหลมคมนั้นทำให้นางต้องยกกระบี่ขึ้นกันตัวเอง ปากของมันงับเข้าใส่กระบี่ของนางก่อนจะถึงท่อนแขนที่มันหมายปอง หญิงสาวเสียหลักตกจากต้นไม้แต่ยังตั้งสติได้ทัน นางม้วนตัวลงมาจึงไม่ได้รับาเ็ แต่กระนั้นก็ยังทันได้สังเกต ‘สิ่งนั้น’ เต็มตา ลิงตัวใหญ่ั์กว่านางถึงสองเท่ากำลังพุ่งเข้าใส่ แต่นางกลับเพ่งมองราวกับค้นหาบางสิ่งในความทรงจำ แล้วนางกลับยืนนิ่งเบื้องหน้าพญาวานร ลิงั์ทำท่าจะตะปบนาง แต่หญิงสาวกลับเชิดหน้าขึ้นจ้องมอง
“พี่วานร! พี่วานร! ข้าหลิ่งหลินเอง ท่านจำข้าได้หรือไม่”
ลิงั์ชะงัก มือทั้งสองยกค้างแล้วค่อยๆ ทิ้งลงข้างตัว มันจ้องมองนางก่อนยื่นหน้ามาสูดดมกลิ่นอายของนาง แม้หัวใจจะเต้นรัวแต่นางกลับยิ้มออกมา ความลับที่บิดาของนางไม่เคยรู้ ก็คือหลังจากที่บิดาพานางมาที่บึงมรกตครั้งหนึ่งแล้วนั้น นางก็แอบมาที่นี่คนเดียวอีกหลายหน ทำให้ได้พบกับ ‘พี่วานร’ ของนาง
“พี่วานร ข้าเอง ข้าไม่ทำร้ายท่านหรอก”
นางยื่นมือไปััแก้มของลิงั์อย่างแ่เบาและอ่อนโยน จากลิงั์ที่ดุร้ายมุ่งหมายเอาชีวิต มาบัดนี้มันจดจำััของนางได้ จึงย่อตัวลงแล้วโอบกอดนางแน่นจนหญิงสาวแทบหายใจไม่ออก
“พี่วานร หากพี่กอดข้าแน่นเช่นนี้ กระดูกข้ากรอบแน่ๆ” หญิงสาวหัวเราะดีใจที่ได้เจอพี่วานรของตน “ท่านเป็อย่างไรบ้าง สบายดีหรือไม่”
ลิงั์คลายอ้อมกอด เคอหลิ่นหลิงมองอย่างสำรวจหาสิ่งความเปลี่ยนแปลง ทว่านางต้องใที่เห็นว่าแขนข้างหนึ่งเป็แผลยาว ดูท่าจะเป็แผลมานานแล้วไม่ใช่แผลใหม่
“พี่วานรให้ข้าทำแผลให้พี่ก่อนเถิดนะ” นางไม่รอช้า จำได้ว่าทางที่เดินผ่านมีพืชสมุนไพรที่ใช้ใส่แผลให้สมานกันเร็วขึ้น นางเดินย้อนกลับไปเด็ดมาเท่าที่ต้องใช้ จากนั้นเคี้ยวให้แหลกก่อนจะนำมันมาพอกกับแผลของลิงั์แล้วฉีกชายผ้าพันแผลให้
“คงพอช่วยให้แผลของพี่วานรสมานกันเร็วขึ้น” นางลูบหลังลิงษ์ั์อย่างปลอบโยน “คงมีคนใจร้ายทำลายท่านใช่ไหม”
“ก็คนอย่างพวกเ้า! ที่หวังมากอบโกยสมบัติแห่งผืนป่านะซิ!”
เสียงะโดังกึกก้องแม้กระทั่งนกยังเสียขวัญบินแตกกระเจิงไปหลงทิศทาง ลิงั์ยังแสดงความหวาดหวั่น หญิงสาวหยิบกระบี่ขึ้นเตรียมป้องกันตัว นางรู้สึกได้ถึงขุมพลังที่พุ่งเข้าใส่ หญิงสาวม้วนตัวหลบแรงปะทะนั้น ในนาทีต่อมานางรีบยกกระบี่ขึ้นป้องกันตน ประมืออีกฝ่ายที่ฟาดฝ่ามือใส่ แม้ไม่ถูกตัวนางแต่พลังนั้นกระแทกเข้าใส่จนร่างของเคอหลิ่งหลินถอยหลังซวนเซไปหลายก้าว
“หึ! เป็สตรีแต่แต่งตัวเป็บุรุษ คิดจะมาเอากระบี่ผงาดฟ้า”
เคอหลิ่งหลิงมองไม่เห็นผู้มาใหม่ได้ชัดนัก เห็นเพียงเงาร่างที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและเส้นผมสีขาวดุจเงินยวน
“ชักกระบี่ออกมา!”
“ข้าน้อยบุกรุกมาที่นี่เพื่อนำสิ่งหนึ่งไปรักษาชีวิตคน มิได้มาเพื่อสิ่งอื่นใด” นางยืนยันเจตนาของตัวเอง ไม่ยอมชักกระบี่ออกจากฝักซ้ำยังแค่แกว่งกระบี่ปกป้องตัวเองไม่ตอบโต้
สิ้นประโยคของนางทำให้อีกฝ่ายชะงักไป เคอหลิ่งหลินไม่ประมาทแต่ไม่อาศัยจังหวะนี่ตอบโต้กลับ ผู้มาใหม่ถลาร่อนลงมาหยุดยื่นเบื้องหน้าทำให้นางได้มองเห็นอีกฝ่ายเต็มตา เป็หญิงวัยสี่สิบต้นๆ แต่เส้นผมยาวสลวยนั้นเป็สีขาว และสวมเสื้อผ้าสีขาว หรือจะเป็นักพรตหญิงที่ต้าซื่อกล่าวถึง และอาจเป็ที่มาที่ทำให้เขาาเ็สาหัสกลับไปและหากใช่ นางเองก็ไม่ใช่คู่ต่อกรกับคนผู้นี้
“ไป๋ลู่?”
“?”
“ไป๋ลู่จริงๆ”
“ท่านรู้จักท่านแม่ของข้าด้วยรึ”
“ฮึ! เ้าว่าอะไรนะ” นักพรตหญิงเดินเข้ามาใกล้แล้วเดินวนรอบหญิงสาว เพ่งพินิจแล้วส่ายหน้าไปมา “บิดาของเ้าคือ...”
“เคอตงตง ส่วนข้าเคอหลิ่งหลินเ้าค่ะ”
“เ้านี่มันขี้เหร่ได้พ่อจริงๆ”
เคอหลิ่งหลินอ้าปากค้าง เดี๋ยวก็บอกว่านางเหมือนแม่ เดี๋ยวก็ว่าขี้เหร่เหมือนพ่อ นักพรตหญิงท่านนี้จะเอายังไงกับนางกันละเนี้ย แต่กระนั้นนักพรตหญิงวางมือจากการโจมตีนางพลันหันหลังให้ หญิงสาวจ้องมองอย่างงุนงงจนได้ยินเสียงตะคอกอีกครั้ง
“ยังจะยืนโง่อีกถึงเมื่อไหร่ รีบตามมายกน้ำชาให้ป้าของเ้าซิ!”
“!?!”.
