หลังมื้อกลางวัน เฉียวรุ่ยก็พาหลิ่วเทียนฉีกลับมาในห้องของตน
เห็นเฉียวรุ่ยไปตรงชั้นวางของโบราณ หยิบชามใหญ่ชามน้อย อ่างใหญ่อ่างน้อยมาวางเรียงรายเต็มโต๊ะ จึงได้แต่กะพริบตาปริบๆ
“เอ่อ ของโบราณบนชั้นนี่?” แปลก ของโบราณกับเครื่องเคลือบที่เคยอยู่บนชั้น ทำไมถึงกลายเป็อ่างใหญ่กับชามน้อยไปได้เล่า?
“อ้อ ข้า ข้าเห็นมันไม่ค่อยมีประโยชน์เลยให้ลุงถงช่วยเอาไปขายน่ะ!” ได้ยินหลิ่วเทียนฉีถามเื่นี้ก็ใจเสียอยู่บ้าง
“ทำไมเล่า ในมือไม่มีศิลาทิพย์แล้วหรือ? ทำไมเ้าไม่บอกข้าล่ะ?” คิดว่าคนรักขัดสนจนถึงกับต้องขายของโบราณแลกเงิน ใจรู้สึกยากที่จะเอ่ย เขาน่าจะทิ้งยันต์วิเศษให้มากกว่านี้สักหน่อย
“ไม่ๆๆ ข้ามีศิลาทิพย์ ท่านอาหลิ่วให้ยันต์กับศิลาทิพย์ข้ามามากมาย ข้าใช้สามเดือนก็คงไม่หมดหรอก?” เฉียวรุ่ยส่ายศีรษะรีบปฏิเสธ
ท่านอาหลิ่วให้ศิลาทิพย์เขาตั้งสองหมื่นก้อนเชียวนะ? จะใช้หมดเร็วปานนั้นได้อย่างไรเล่า?
“ถ้าอย่างนั้นเ้า?” หลิ่วเทียนฉีมองเฉียวรุ่ยทีหนึ่งแล้วชำเลืองมองถ้วยชามบนโต๊ะอีกหน รู้สึกอับจนคำพูด
“พวกนี้ล้วนเป็ของดีที่ข้าซื้อมา เ้าดูสิ ค้อนนี่เป็อุปกรณ์อาคมขั้นสองเชียวนะ? ตอนซื้อกลับมาทั้งด้ามสนิมเขรอะเก่าคร่ำคร่า ข้าใช้ศิลาทิพย์สิบก้อนเอง พอกลับมาถึงก็ใช้น้ำสมุนไพรทิพย์ที่ผสมขึ้นมาแช่หนึ่งเดือน มาดูผลลัพธ์สิ!” พูดพลางนำค้อนทองแดงแวววาวอันหนึ่งออกมาจากอ่างใหญ่
“ไม่เลวเลยทีเดียว เ้าเก็บไว้ป้องกันตัวเถอะ!” พอเห็นค้อน หลิ่วเทียนฉีก็พยักหน้าชม
“ไม่ ข้าอยากให้เ้าใช้ มันใช้ดีมาก!” เฉียวรุ่ยพูดพลางส่งค้อนทองแดงให้อีกฝ่าย
“ข้ามีอุปกรณ์อาคมขั้นสองแล้ว ชิ้นนี้เ้าเก็บไว้ใช้เถิด!” หลิ่วเทียนฉีส่ายศีรษะปฏิเสธ
“ก็ ก็ได้!” เห็นหลิ่วเทียนฉีไม่้า เฉียวรุ่ยก็ได้แต่เก็บเข้าไปในกำไลเก็บของตน
เฉียวรุ่ยวางอ่างเปล่าใบนั้นลงบนพื้นแล้วหยิบอ่างอีกใบหนึ่งขึ้นมา นำกระบี่หักครึ่งเล่มกับเข็มทิศหน้าตาประหลาดเรือนหนึ่งออกมาจากข้างใน
“เทียนฉี สองชิ้นนี้ก็ล้วนเป็อุปกรณ์อาคมขั้นสองเหมือนกัน พวกเราแบ่งคนละชิ้นดีไหม?”
หลิ่วเทียนฉีได้ยินเช่นนั้นก็ลูบเส้นผมของอีกฝ่ายอย่างอ่อนใจ “ทำไมเ้าถึงโง่เช่นนี้เล่า ของพวกนี้เ้าหาพบเอง ทำไมต้องให้ข้าด้วยล่ะหืม?”
“ก็พวกเรา พวกเราเป็สามีภรรยากันนี่!” เฉียวรุ่ยหน้าแดง เอ่ยเหมือนเป็เื่สมควร
“อุปกรณ์อาคมสองชิ้นนี้เ้าเก็บไว้เถอะ พลังของเ้าสู้ข้าไม่ได้ เก็บอุปกรณ์อาคมไว้ป้องกันตัวมากหน่อย มันจะเป็ประโยชน์กับตัวเ้านะ!”
“อ้อ อย่างนั้นก็ได้!” เฉียวรุ่ยพยักหน้า ช้อนอุปกรณ์สองชิ้นออกมา ใช้ผ้าเช็ดจนแห้งจึงเก็บเข้าไปในกำไลเก็บของ
หลังจากนั้น ก็นำอุปกรณ์อาคมอีกสองชิ้นมาให้หลิ่วเทียนฉีดูอีก เป็ขวานขั้นสามคู่หนึ่ง แต่หลิ่วเทียนฉียังคงไม่้า ล้วนให้เฉียวรุ่ยเก็บไว้เอง
ท้ายที่สุด เฉียวรุ่ยหยิบอ่างที่ใหญ่ที่สุดมา ล้วงมีดบินเล่มเล็กวาววับห้าเล่มออกมาจากในน้ำยาสมุนไพรทิพย์สีเขียว
“เทียนฉี นี่เป็อุปกรณ์อาคมชิ้นสุดท้ายที่ข้าซื้อได้ในสามเดือนนี้ เป็ขั้นสาม เหมาะให้เ้าใช้พอดี เ้าก็จะไม่เอาเหมือนกันหรือ?” เฉียวรุ่ยมองหลิ่วเทียนฉี เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าผิดหวัง
“เอา ชิ้นนี้ข้า้า ขอบคุณเ้ามากนะ!” หลิ่วเทียนฉีจูบปอยผมด้านข้างของเฉียวรุ่ยเบาๆ รับอุปกรณ์อาคมในมือคนรักมา
“ฮ่าๆๆๆ...” เฉียวรุ่ยเห็นเทียนฉีรับอุปกรณ์อาคมของตนก็หัวเราะเบิกบานใจ
“แล้วพวกนี้คืออะไรหรือ?” หลิ่วเทียนฉีมองชามใบน้อยสิบกว่าใบที่เหลือบนโต๊ะ ยิ้มพลางเอ่ยถามอีก
“พวกนี้เป็ของวิเศษที่ใช้ฝึกฝน พวกเราสามารถเก็บตัวฝึกฝนใช้ของพวกนี้ยกระดับพลังด้วยกันได้”
“ดูท่า สามเดือนที่ข้าเก็บตัว เ้าจะได้ของมามากมายพอตัวเลยนะ!” ในนิยายต้นฉบับ เฉียวรุ่ยตอนอายุสิบเก้ายังเป็เด็กหนุ่มจนๆ อยู่สินะ? ย่อมไม่มีทางมีศิลาทิพย์ซื้อสมบัติเหล่านี้ได้ ดังนั้น สมบัติที่หลิ่วเทียนฉีเห็นในวันนี้จึงไม่ได้มีเขียนเอาไว้
“ฮ่าๆๆ ก็ ก็ไม่หรอก ซื้อสมบัติต้องพึ่งโชค ยามข้ามีโชคย่อมพบสองชิ้น หากโชคไม่ดีสักชิ้นก็ซื้อไม่ได้!” พูดถึงตรงนี้เฉียวรุ่ยก็ยักไหล่
ก่อนหน้านี้เขามักโชคดีพานพบสมบัติเสมอ แต่น่าเสียดายเขาที่ไม่มีศิลาทิพย์ มีหลายครั้งที่ซื้อไม่ไหว ทว่าั้แ่มาที่ตระกูหลิ่วเขาก็กลายเป็คนรวย พบสมบัติอีกหนย่อมซื้อได้ตามใจ เพราะอย่างนั้น ่เทียนฉีเก็บตัวฝึกฝนสามเดือน เขาจึงซื้อสมบัติมาทั้งหมดสามสิบสองชิ้น หากไม่ใช่เพราะตรากตรำฝึกวิชาอยู่ตลอด ออกไปเดินตลาดแค่บางครั้ง เขาคงซื้อสมบัติมาได้มากกว่านี้อีกกระมัง?
“ข้าสงสัยนักว่าเ้าแยกของเหล่านี้ออกได้อย่างไร เ้าบอกเองว่าพวกมันดูธรรมดา บางอันสนิมเขรอะ บางอันถูกโคลนเลนหุ้ม และยังมีบางอันที่ผนึกอยู่ในก้อนหิน เช่นนั้นเ้ามองพวกมันออกได้อย่างไรเล่า?” หลิ่วเทียนฉีมองเฉียวรุ่ย เอ่ยถามจริงจัง
“ข้า ข้า...” ได้ยินคำถามนี้ เฉียวรุ่ยก็กัดริมฝีปาก ขมวดคิ้วน้อยขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว