ไม่ช้า มอนสเตอร์ทุกชนิดไม่ว่าจะ ‘ชาแมน’ ‘โร้กมืด’ ‘เวนดิโก’ …พวกมันเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนจัดงานขบวนแห่มอนสเตอร์ที่ยิ่งใหญ่ พวกมันไล่จี้ตูดซุนเฟยติดๆ
ซุนเฟยวิ่งไปถึงพรมแดนติดต่อกันของ ‘โคลด์เพลส’ กับ ‘บลัดมอร์’ ระหว่างทางก็สะสมกองทัพมอนสเตอร์ไม่ต่ำกว่าสามร้อยสี่ร้อยตัวที่ไล่จี้ตูดมาติดๆ
“โอ้โห ใส่รองเท้าเหล็กไปหาตั้งนานไม่เจอ พออยู่เฉยๆ กลับบังเอิญเจอซะงั้น1”
ซุยเฟยหันหน้ากลับไปมองพวกมอนสเตอร์กลุ่มใหญ่ ในใจรู้สึกตื่นเต้นดีใจแทบบ้า
มอนสเตอร์ระดับต่ำพากันมาแบบมืดฟ้ามัวดิน สำหรับซุนเฟยตอนนี้พวกมันไม่ถือว่าเป็ภัยคุกคามอะไร อีกทั้งในสายตาซุนเฟยพวกมันทั้งหมดต่างเป็ค่าประสบการณ์เดินได้ทั้งนั้น
เขาค่อยๆ หยุดก่อนจะโบกไม้คฑาเนโครแมนเซอร์ในมือ
ใช้ทักษะ ‘เขี้ยว’ ของเนโครแมนเซอร์
วูบ!
หมอกแห่งความตายสีขาวที่ดูมืดครึ้มน่ากลัวพรั่งพรูออกมา
เขี้ยวแหลมคมแฝงมากับหมอกทั้งสามอันสะท้อนแสงสีขาววูบวาบ ส่งเสียงคำรามขณะที่เคลื่อนไหวไปตามเส้นทางเองอย่างน่าแปลกใจ และลอยออกไปขย้ำร่าง ‘ชาแมน’ ที่วิ่งจี้ตูดอยู่หน้าสุดทั้งสามสิบตัวจนกลายเป็ชิ้นเล็กชิ้นน้อย
โบกไม้คทาอีกครั้ง
หมอกแห่งความตายสีขาวมืดทึมน่ากลัวและเย็บะเืก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
เปิดใช้งานทักษะเนโครแมนเซอร์ ‘อัญเชิญโครงกระดูก’
ครึกๆ ซู่ๆ!
ศพ ‘ชาแมน’ ที่เืและเนื้อสาดกระจายกองอยู่บนพื้น ทันใดนั้นก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมาจากพื้นอย่างไม่น่าเชื่อ กลายเป็ ‘โครงกระดูกนักดาบ’ กระดูกมือข้างหนึ่งถือโล่อีกข้างหนึ่งถือดาบ ร่างเล็กๆ นั่นเข้าสกัดมอนสเตอร์ที่วิ่งเข้ามาตรงหน้าพอดี ‘โครงกระดูกนักดาบ’ ยกดาบขึ้นมาฟัน ‘ชาแมน’ สองสามตัวตรงหน้าดังฉัวะ
ถือโอกาสที่โครงกระดูกกำลังขวาง ‘กองทัพมอนสเตอร์’ ซุนเฟยก็เรียกใช้ทักษะ ‘เขี้ยว’ ของเนโครแมนเซอร์อีกครั้ง หมอกสีขาวที่มีกลิ่นอายความตายอันหนาวเหน็บพุ่งเข้าไปใน ‘กองทัพมอนสเตอร์’
ฝูงมอนสเตอร์ใหญ่ขนาดนี้ทั้งเป้าหมายก็ตัวใหญ่ ซุนเฟยไม่ต้องกังวลเื่เล็งเป้าหมายเลยสักนิด แค่ยิงออกไปตามทิศทางเสียงคำรามเท่านั้น ก็สามารถฉีกกระชากมอนสเตอร์สองสามตัวได้อย่างง่ายๆ ประสิทธิภาพของทักษะ ‘เขี้ยว’ คือการทะลวง ทักษะเขี้ยวจะโจมตีด้วยการทะลวงมอนสเตอร์สองสามตัว
ห้าหกวินาทีต่อมา ในที่สุดโครงกระดูกอัญเชิญของ ‘เนโครแมนเซอร์ซุนเฟย’ ก็ถูกฝูงมอนสเตอร์ที่ล้อมไว้ให้อยู่ตรงกลางก็ถูกทุบจนกลายเป็เศษกระดูก
ซุนเฟยหันหลังวิ่งหนีอย่างมาด
หลังจากที่หนีมาจนระยะห่างพอสมควรเขาก็ใช้ทักษะ ‘อัญเชิญโครงกระดูก’ อีกครั้ง ทำให้โครงกระดูกเล็กที่อัญเชิญออกมาเข้าขวางฝูงกองทัพมอนสเตอร์ ส่วนตัวเองก็ใช้ทักษะ ‘เขี้ยว’ เรียกหมอกสีขาวมายิงพวกมันอีกครั้ง
ทำแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก
แม้ว่าตอนที่อยู่ตรงกลางจะพบสถานการณ์อันตรายหลายครั้ง แต่โชคดีที่ซุนเฟยมีการตอบสนองที่ว่องไว ผลของน้ำยา ‘น้ำยาฟื้นฟูมานาขวดเล็ก’ และ ‘น้ำยารักษาชีวิตขวดเล็ก’ นับสิบๆ ขวด ทำให้เขายังคงยืนหยัดต่อไปได้อย่างปลอดภัย
ห้านาทีต่อมา
มอนสเตอร์ตัวสุดท้ายก็ส่งเสียงร้องโหยหวนจมกองเื
กวาดสายตามอง ทุกๆ ที่ต่างเต็มไปด้วยเศษอวัยวะภายในและอวัยวะที่ขาดๆ แหว่งๆ กลิ่นเหม็นคาวลอยเข้ามาปะทะหน้า
นี่เป็ครั้งแรกที่เป็การสังหารหมู่อยู่ฝ่ายเดียว สนามรบที่เต็มไปด้วยซากศพทำให้ซุนเฟยมึนงง
ซุนเฟยพบว่าตัวเองยิ่งอยู่นานเท่าไรก็ยิ่งปรับตัวเข้ากับฉากฆ่าฟันแบบนี้ได้ สภาพจิตใจของเขา จากโอตาคุที่แค่เห็นเืจากการฆ่าไก่ฆ่าหมูในโลกเก่าก็แทบจะเป็ลมแล้ว แต่ตอนนี้กลายเป็ ‘ยอดนักเชือด’ ที่แม้ว่าจะฆ่าคนไปร้อยคนหมื่นคนก็ไม่แม้แต่จะรู้สึกอะไรสักนิด
นอกจากศพของเหล่ามอนสเตอร์แล้ว ยังมีไอเทมแปลกๆ ส่องแสงทุกๆ สีและเหรียญทองที่เป็ประกายสีทองละลานตาบนพื้น
แต่เนื่องจากว่ามอนสเตอร์ส่วนใหญ่ในถิ่นทุรกันดารมีแต่พวกเลเวลต่ำๆ ดังนั้นไอเทมที่ตกก็ไม่มีของดีๆ อะไรสักอย่าง เวลาเร่งรีบแบบนี้ ซุนเฟยหยิบไปแค่บางส่วน หยิบแค่เมจิคไอเทมโยนใส่กระเป๋าส่วนอื่นๆ ก็ทิ้งไว้ที่นี่ จากนั้นไม่เอ้อระเหยอยู่ที่นี่ต่อ เขารีบวิ่งไปต่อ
เหลือเวลาไม่ถึงสิบห้านาทีแล้ว
เมื่อเข้าสู่ ‘โคลด์เพลส’ ความหนาวเย็นก็เสียดแทงเข้ากระดูก
มอนสเตอร์และปีศาจที่นี่มีหลายประเภทมากและดุร้ายมาก
ซุนเฟยดื่ม ‘น้ำยาฟื้นฟูความแข็ง’ ก่อนจะวิ่งอย่างบ้าคลั่งอีกรอบ
และก็เหมือนกับครั้งที่แล้ว มอนสเตอร์บริเวณรอบๆ ถูกซุนเฟยรบกวนพวกมันพากันคำรามและไล่ตามมาติดๆ ไม่นานก็กลายเป็กองทัพมอนสเตอร์ที่เกรียงไกร เป็ฉากที่อลังการมาก
เป็ครั้งแรกที่ซุนเฟยพบว่า หากวิ่งในเวลากลางคืนของโลก Diablo ผลมันจะเป็แบบนี้ โลกนี้มันสมจริงมากกว่าเกมจำลองคอมพิวเตอร์ในโลกเก่าซะอีก พวกมอนสเตอร์ที่นี่รู้จักการไล่ล่าและมีชีวิตมากกว่าโปรแกรมในเกมคอมพิวเตอร์ซะอีก
วิ่งได้ครึ่งทาง ซุนเฟยก็จำเป็ต้องหยุดพฤติกรรม ‘ยั่วโมโหมอนสเตอร์’ แล้วหันกลับมาสู้
หากจำนวนมอนสเตอร์ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซุนเฟยก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถจัดการพวกมันได้ แม้ว่าพวกมันจะเป็มอนสเตอร์เลเวลต่ำและไม่มีบอสที่แข็งแกร่งก็ตาม ทว่าแม้แต่พยัคฆ์ที่ดุร้ายยังยากจะเอาชนะฝูงหมาป่า วีรบุรุษก็ยังยากที่จะเอาชนะศัตรูสี่คนพร้อมกันได้ เพราะฉะนั้นมดก็อาจจะล้มช้างได้เช่นกัน
ซุนเฟยหยุดวิ่งต่อและใช้แผนเดิม
อัญเชิญโครงกระดูกนักดาบระดับต่ำออกมาเพื่อตรึง ‘กองทัพมอนสเตอร์’ แล้วตัวเองก็วิ่งทิ้งระยะห่าง ซ่อนตัวไปพลางเรียกทักษะ ‘เขี้ยว’ ออกมายิงไปพลาง
สามสี่นาทีแรกก็ยังราบรื่นดี
ภายใต้แผนการการต่อสู้แบบไร้ยางอายของซุนเฟย พวกมอนสเตอร์ก็เหมือนกับต้นข้าวสาลีที่ล้มลง พวกมันส่งเสียงร้องโหยหวนแล้วล้มลงจมกองเื จำนวนของพวกมันลดลงไปมาก
แต่สักพัก สถานการณ์ก็เกิดการเปลี่ยนแปลง
บางทีพวกมันคงได้ยินเสียงร้องแบบเดียวกันและเสียงการต่อสู้ที่นี่ มอนสเตอร์ก็เริ่มโผล่มาจากทุกสารทิศ ยิ่งมายิ่งมาก มาเข้าร่วมการต่อสู้
เนื่องจากครั้งนี้มอนสเตอร์โผล่มาจากทุกสารทิศ ดังนั้น พึ่งพาแค่ทักษะ ‘อัญเชิญโครงกระดูก’ อัญเชิญโครงกระดูกนักดาบเพียงไม่กี่ตัวคงไม่สามารถตรึงพวกมันได้แน่ ซุนเฟยจำเป็ต้องเริ่มหนีไปให้ไกลกว่านี้ ดื่มยาไปพลางซ่อนตัวไปพลาง บางครั้งก็เรียกทักษะ ‘เขี้ยว’ ออกมาสู้กลับ
“เวรเอ๊ย ทำไมตอนกลางคืนไอ้พวกมอนสเตอร์มันถึงคึกเหมือนกินไวอาก้ามาแบบนี้เนี่ย?”
ซุนเฟยค่อยๆ รู้สึกว่ามันเกินแรงแล้ว
แม้ว่ามันไม่เป็อันตรายถึงชีวิต แต่มันเสียเวลาเขามาก หากยังเป็แบบนี้ต่อไปคงหมดเวลาเล่นเกม และคงไม่ได้ไปถึง ‘สุสาน’ เพื่อฆ่า ‘บลัด เรเว่น’ ถ้าถูกเสียงเ็าลึกลับบังคับให้ออกจากโลก Diablo ก่อนจะได้เลื่อนถึงเลเวล 6 ก็คงไม่ได้เรียนทักษะ ‘ศพะเิ’ พอดี
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในมือของซุนเฟยโบกสะบัดไม้คทาเร็วขึ้น
แต่สังหารไปเท่าไร
เมื่อมอนสเตอร์ล้มไปสองสามตัวก็จะมีมอนสเตอร์ในมุมมืดกระโจนออกมาแทนที่ไม่ขาดสาย สุดท้ายพอถูกซุนเฟยฆ่า ก็จะมีเสียงมอนสเตอร์ร้องตามไล่ฆ่าซุนเฟยไม่หยุด ยิ่งมายิ่งเยอะ
“ไอ้พวกสารเลว ข้าไม่ได้ขุดหลุมบรรพบุรุษพวกเอ็งซักหน่อย!”
ซุนเฟยโมโหขึ้นมาพลางฆ่าพวกมัน ไม้คทาเนโครแมนเซอร์ในมือถูกใช้เป็ไม้ไล่ทุบหัวพวกมันแล้วใช้ทักษะ ‘เขี้ยว’ กับ ‘อัญเชิญโครงกระดูก’ อย่างต่อเนื่อง โชคดีที่อาชีพในโลก Diablo ไม่มีการคูลดาวน์เวลาใช้ทักษะ แค่มีมานามากพอก็สามาถใช้ได้ไม่มีจำกัด
ซุนเฟยดื่ม ‘น้ำยารักษาชีวิตขวดเล็ก’ และ ‘น้ำยาฟื้นฟูมานาขวดเล็ก’ ไปพลางจัดการพวกมอนสเตอร์ที่พุ่งเข้ามาเหมือนกระแสไปพลาง
มอนสเตอร์ของ ‘โคลด์เพลส’ เลเวลต่ำมากและมีมอนสเตอร์โจมตีระยะไกลค่อนข้างน้อย ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ซุนเฟยพยายามที่จะยืนหยัดสู้ต่อไป
“เวรเอ๊ย ถ้าเป็แบบนี้ต่อไปองหมดเวลาเล่นเกมก่อนแน่ อย่าไปคิดว่าจะได้จัดการ ‘บลัด เรเว่น’ ผู้ทรยศเลย...”
ซุนเฟยคำนวณเวลาแล้วคาดว่าคงเหลือไม่กี่นาที
สุดท้าย หลังจากที่ยืนหยัดไปได้ห้าหกนาที เสียงลึกลับเ็านั้นก็ได้ปรากฏขึ้นในหัวของซุนเฟย
“คำเตือน ผู้เล่นซุนเฟย เวลาเล่นเกมของคุณวันนี้ถึงขีดจำกัดแล้ว เตรียมส่งคุณออกจากโลก Diablo นับเวลาถอยหลังใน…สิบ…เก้า…แปด…”
ในใจของซุนเฟยรู้สึกจำใจอย่างเลี่ยงไม่ได้
คาดไม่ถึงว่าสุดท้ายก็ล้มเหลว ตอนนี้เขาอัพเลเวลถึงเลเวล 5 อีกนิดเดียวก็จะเลื่อนเป็เลเวล 6 และได้เรียนรู้ทักษะ ‘ศพะเิ’ ทั้งที่ใกล้จะถึงเวลาที่ต้องจัดการกับพวกข้าศึกที่ล้อมจะยึดเมืองแล้วแท้ๆ ใครจะรู้ว่า…
“เพราะพวกเ้า ไอ้พวกลูกเต่า”
ในใจของซุนเฟยโมโหอย่างมาก เขาไม่สนว่าเวทมนตร์ของตัวเองกำลังลดลง ใช้ทักษะ ‘เขี้ยว’ อีกครา หมอกสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วนส่งเสียงกรีดร้องออกมาแล้วพุ่งไปตรงจุดที่เหล่ามอนสเตอร์อยู่รวมกันมากมาย เสียงโหยหวนนับไม่ถ้วนดังขึ้นมา…
ตอนนี้เองปาฏิหาริย์พลันเกิดขึ้น
ติ๊ง!
เสียงใสๆ ดังขึ้น ทันใดนั้นก็นึกได้ว่า
หลังจากนั้นลำแสงสีขาวก็ตามาจากฟากฟ้าปกคลุมซุนเฟย
ความรู้สึกอบอุ่นก็แผ่ซ่าน าแเล็กๆ น้อยๆ ทั่วร่างก็ค่อยๆ ฟื้นฟูอย่างเชื่องช้า
พลังชีวิตและพลังมานาก็พลันฟื้นฟูขึ้นมาจนเต็ม
เลเวลอัพแล้ว!
ตอนนี้เลเวลอัพแล้ว
ในใจซุนเฟยรู้สึกดีใจอย่างบ้าคลั่ง
เวลาใกล้จะหมด เขาไม่สนใจอย่างอื่น รีบนึกคิดเพื่อเปิดหน้าจอทักษะ หลังจากที่เลเวลอัพจะได้รับคะแนนทักษะ 1 คะแนน เขาไม่รีรอรีบกดเพิ่มทักษะ ‘ศพะเิ’ บนหน้าจอ
“ฮึๆ ดูเหมือนว่าบิดาจะเป็คนที่แข็งแกร่งมากๆ นาทีสุดท้ายก็ยังบรรลุเป้าหมายได้สำเร็จ!”
ซุนเฟยรู้สึกอิ่มเอมใจ
ตอนนี้ความมืดโรยตัวอยู่เบื้องหน้า ทุกสิ่งทุกอย่างในสายตาก็บิดเบี้ยวเหมือนทีวีเก่าๆ ที่ไม่มีสัญญาณ ความรู้สึกไร้แรงโน้มถ่วงก็เข้ามา จากนั้นซุนเฟยก็ออกจากโลก Diablo
……
……
เมืองแซมบอร์ด
ในที่สุดก็ถึง่เที่ยง
แม้ว่าจะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว แต่อุณหภูมิของอากาศใน่เที่ยงก็ยังคงทำให้คนร้อนจนเหลือจะทน กำแพงตรงที่มืดๆ อาบแดดจนร้อน เกราะหนังและดาบเองก็ร้อนเช่นกัน ทหารบนกำแพงบางส่วนเริ่มทรุดตัวนั่งลงกับพื้นอย่างเหนื่อยล้า
เหนื่อยล้าเหมือนมีูเาลูกใหญ่กดทับจิตใจและร่างกายของทุกคน
ข้าศึกเกราะดำตรงข้ามฝั่งแม่น้ำยังคงนิ่งไม่เคลื่อนไหว
แต่ข้าศึกที่เหมือนกระแสน้ำสีดำก็ยังคงแผ่รังสีฆ่าฟันเข้ามาจากที่ไกลๆ เสียดแทงกระดูกพวกเขาไม่หยุด ไม่ว่าใครๆ ต่างก็กวาดสายตาไปมองข้าศึกที่เหมือนงูสีดำนอนบนสะพานหิน ภายใต้แสงอาทิตย์ที่ร้อนระอุ ในใจก็ยังคงรู้สึกหนาวเย็นะเืถึงกระดูก
ไม่มีใครรู้ว่าบรรยากาศที่อึดอัดจนทำให้ผู้คนหายใจแทบไม่ออกเมื่อไรจะสิ้นสุดลง
ไม่มีใครรู้ว่าการต่อสู้นองเืนั้นกำลังจะปะทุขึ้น
ไม่มีใครรู้ว่า เมื่อาสิ้นสุดลงเมืองแซมบอร์ดจะยังเป็เมืองแซมบอร์ดในอดีตอยู่ไหม และตัวเองจะสามารถลงจากกำแพงเมืองไปทั้งยังมีชีวิตหรือเปล่า จะได้พบพ่อแม่ ภรรยา คนรัก และลูกที่รออยู่ที่หน้าประตูบ้านด้วยความกระวนกระวายหรือเปล่า...
บรู๊คเดินไปเดินมาอยู่บนกำแพง พยายามที่จะปลุกขวัญกำลังใจของเหล่าทหาร
แต่ผลก็ไม่เป็ที่น่าพอใจ
เหล่าทหารเหนื่อยล้าจากจิตใจไปจนร่างกาย คำพูดไม่กี่คำของเขาไม่อาจแก้ไขปัญหาพวกนี้ได้
ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ก็ค้นพบว่า ความสามารถในการปลุกปั่นของตัวเองยังห่างไกลกับองค์าาอเล็กซานเดอร์ องค์าาหนุ่มคนนั้นพูดไม่กี่คำก็สามารถทำให้เหล่าทหารเืเดือดพล่าน แต่ตัวเองพูดเป็สิบเป็ร้อยคำกลับได้ผลตอบรับแค่เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น
เ้าอ้วนกิลนั่งถอนหายใจอยู่บนพื้น โชคดีที่ทหารประจำตระกูลกางร่มไว้เหนือหัวเขา ส่วนผู้แทนบาร์เซิลยืนอยู่ด้านหลังลูกชายด้วยสีหน้าสงบนิ่ง เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
พัศดีโอเลเกร์ประจำอยู่ที่จุดรบที่ซุนเฟยสั่งเขา เกราะตรงอกถูกเขาถอดออกมาทำเป็พัดในมือแล้วพัดคลายความร้อนให้ตนเองไม่หยุด ปากก็บ่นพึมพำ บางครั้งก็เงยหน้าไปมองข้าศึก ไม่ก็มองไปทางหอสังเกตการณ์ที่ทรุดโทรมและหันไปมองที่ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของเมืองแซมบอร์ดอย่างแฟรงก์ แลมพาร์ด ราวกับกำลังคิดจะทำอะไรบางอย่าง แต่ตอนนี้เองเมื่อมองไปยังตุลาการทหารคอนก้าที่ยังคงถูกตอกอยู่บนกำแพง ก็หดตัว กลัวจนตัวสั่น
เพียร์ซแบก ‘กระบี่าา’ เดินไปมาบริเวณด้านนอกหอสังเกตการณ์
เมื่อเวลาผ่านไป อุณหภูมิจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร ในใจของเขาก็ยิ่งกระวนกระวาย เพียร์ซไม่รู้ว่าองค์าากำลังทำอะไรอยู่ในหอสังเกตการณ์ มันเงียบตลอดเวลา แม้แต่การเคลื่อนไหวสักนิดก็ไม่มี หากไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้การแสดงออกของอเล็กซานเดอร์ได้กำราบผู้ชายจอมมุทะลุคนนี้ เพียร์ซคงวิ่งเข้าไปถามอเล็กซานเดอร์ว่าทำอะไรอยู่ตั้งนานแล้ว
ทันใดนั้นเอง
นักรบสามดาว แฟรงก์ แลมพาร์ก็ประหลาดใจ เพราะจู่ๆ เขาก็รู้สึกถึงความผันผวนของพลังที่แข็งแกร่งและเต็มไปด้วยความหนาวเย็นที่แผ่ออกมาจากในหอสังเกตการณ์ที่พังทลาย การค้นพบนี้ทำให้ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของเมืองแซมบอร์ดอดไม่ได้ที่จะแปลกใจชื้นมา
ขณะเดียวกัน โอเลเกร์ นักรบหนึ่งดาวที่นั่งอยู่บนพื้นก็รู้สึกถึงปฏิกิริยาบางอย่าง
เขารู้สึกถึงแรงกดดันที่น่ากลัวพุ่งออกมา แรงกดดันนี้มันเกินกว่าที่เขานักรบระดับหนึ่งดาวจะรับไว้ได้ เขารู้สึกถึงความหนาวเสียดแทงกระดูก ราวกับว่ากำลังมีเทพแห่งความตายจ้องมองอยู่ด้านหลังตัวเอง และความรู้สึกนี้เขาเคยพบมันกับตัวเองก็ตอนที่เขาเผชิญหน้ากับแลมพาร์ดในยามที่กำลังโกรธ แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่แลมพาร์ด แต่...อาจจะเป็อเล็กซานเดอร์?
บรู๊ค นักรบหนึ่งดาวก็รู้สึกถึงพลังผันผวนนี้เช่นกัน
เขามองไปทางหอสังเกตการณ์ ในใจก็อดไม่ได้ที่จะยินดี
กิลที่เป็ผู้ฝึกเวทมนตร์และอยู่ใกล้กับหอสังเกตการณ์ ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาเองก็พบเื่อะไรบางอย่างที่น่าหวาดกลัว จู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาจากพื้นพลางหายใจลำบาก ขาเริ่มสั่นเทา เห็นภาพตอนที่ลูกชายแสดงอาการแบบนี้ ผู้แทนบาร์เซิลที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยตาก็พลันเบิกกว้างครุ่นคิดบางอย่างก่อนจะหลับตาลงอย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่า นอกจากยอดฝีมือหรือผู้ฝึกฝนด้านเวทมนตร์และพลังแล้ว ทหารธรรมดาและชาวบ้านต่างไม่รู้สึกอะไรเลย
นั่นรวมไปถึงเพียร์ซเช่นกัน
เขาเป็เพียงคนธรรมดาที่มีพลังเกินมนุษย์ไปหน่อย แม้จู่ๆ จะรู้สึกได้ว่าบรรยากาศบนกำแพงเมืองเหมือนจะเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย แต่เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรนั้นเขาเองก็ไม่รู้
……
ในหอสังเกตุการณ์ที่ทรุดโทรม
ซุนเฟยลืมตาขึ้น
เขามองผ่านรอยแตกตรงหน้าต่างเพื่อมองสถานการณ์ที่อยู่ห่างไกลจากเมือง
ผ่านไปสี่ชั่วโมงแล้ว สถานการณ์ของเมืองแซมบอร์ดไม่ได้ต่างจากที่เขาคาดการณ์ไว้ก่อนเข้าไปในโลก Diablo ดูเหมือนว่าผู้บัญชาการทหารลึกลับของข้าศึกจะเหมือนงูเห่าที่ยังคงไม่บุกเข้าโจมตี แต่กำลังรอคอยโอกาสอย่างอดทน
สถานการณ์กำลังอยู่ใน่น่าอึดอัด
เห็นได้ชัดว่าในสถานการณ์เช่นนี้ เหมือนกำลังทดสอบความแข็งแกร่งทางจิตใจของเหล่าทหาร
และเหล่าทหารเกราะดำที่เคยผ่านการฝึกฝนมาแล้วย่อมแข็งแกร่งกว่าทหารของเมืองแซมบอร์ด ไม่ว่าจะเป็ทหารองค์รักษ์หรือชาวบ้านธรรมพวกเขาต่างห่างชั้นจากอีกฝ่ายมากนัก เวลาผ่านไปอย่างเงียบๆ ช่องว่างระหว่างสองฝ่ายจะกว้างขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และตาชั่งแพ้ชนะก็จะเอนเอียงไปทางฝั่งทหารเกราะดำ
หากซุนเฟยเดาไม่ผิด เวลาที่เหมาะสมที่ผู้บัญชาการลึกลับของข้าศึกกำลังรอก็คือ หลังทานอาหารเที่ยงซึ่งมันเป็่เวลาปกติที่ทุกคนจะเหนื่อยล้ามากที่สุด และเมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าศึกก็จะเริ่มเปิดฉากการโจมตีเหมือนพายุคลั่ง
เขามองสีท้องฟ้า อีกไม่ถึงยี่สิบนาทีก็น่าจะได้เวลาทานอาหารเที่ยงแล้ว
ากำลังจะปะทุขึ้น
เขาเริ่มวางแผน
ซุนเฟยลุกขึ้นยืนบนก้อนหิน
แต่เขาไม่ได้รีบร้อนที่จะออกจากหอสังเกตการณ์
เขาหลับตาลง รับรู้ถึงพลังที่นำออกมาในโลก Diablo อย่างช้าๆ ตามประสบการณ์ก่อนหน้านี้ของซุนเฟย ครั้งนี้ หลังจากที่ออกมาจากโลก Diablo นอกจากพลังคนเถื่อนเลเวล 12 แล้ว ตอนนี้ในร่างตัวเองก็น่าจะมีพลังของจอมเวทเลเวล 3 พาลาดินเลเวล 6 และเนโครแมนเซอร์เลเวล 6
ซุนเฟยหลับตาลง ครุ่นคิดอย่างรอบคอบ
ค่อยๆ กระตุ้นมันออกมา
พลังเย็นะเืมืดครึ้มค่อยๆ ปรากฏออกมา พลังผันผวนรอบๆ กายซุนเฟย มันทั้งลี้ลับและไม่แน่ชัด
ตอนนี้เขาพลันรู้สึกคุ้นเคยอย่างมาก
ซุนเฟยคิดพลางพลิกฝ่ามือ
เพียงชั่วพริบตา
หมอกแห่งความตายสีขาวก็ปรากฏให้เห็นได้ด้วยตาเปล่าบนฝ่ามือของเขา มันหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
และส่งเสียงคำรามเบาๆ มันดูราวกับพายุทอร์นาโดขนาดเล็กที่ถูกย่อส่วนให้เล็กและกำลังก่อตัวขึ้นบนฝ่ามือของซุนเฟย
“นี่คือ...หมอกแห่งความตายของเนโครแมนเซอร์”
ในใจของซุนเฟยพลันดีใจ
แต่ไม่นานเขาก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
เพราะนอกจากพลังของเนโครแมนเซอร์ เขากลับไม่รู้สึกถึงพลังของคนเถื่อน จอมเวท และพาลาดินเลยสักนิด แม้ว่าจะพยายามรับรู้ถึงขนาดไหนก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับมาสักนิด
“ทำอย่างไรดี?”
ซุนเฟยหลับตา
ในใจก็คิดอย่างตึงเครียด “ไม่ควรเป็แบบนี้...แย่ล่ะสิ หรือว่าความคิดก่อนหน้านี้ของเขามันผิดนะ?”
ตอนนี้เอง
“คำเตือน ขณะนี้คุณสามารถมีทักษะและพลังของตัวละครเพียงหนึ่งตัว หากอยากใช้ความสามารถของตัวละครอื่น กรุณาเลือกเปลี่ยนโหมดตัวละคร”
เสียงลึกลับเ็านั่น จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นในหัวของซุนเฟย
เปลี่ยนโหมดตัวละคร?
ซุนเฟยชะงัก เขาครุ่นคิดเล็กน้อย ในไม่ช้าก็เข้าใจความหมายของคำพูดนั้น
“ที่แท้เป็แบบนี้นี่เอง”
หัวใจพลันกระตุก
ในใจก็โห่ร้องอย่างดีใจ เปลี่ยนโหมดตัวละครเป็คนเถื่อน
ฟู่ว!
วินาทีต่อมา ก็มีการเปลี่ยนแปลงประหลาดๆ เกิดขึ้น!
หมอกแห่งความตายสีขาวของเนโครแมนเซอร์บนฝ่ามือของซุนเฟยก็พลันสลายหายไป พลังแห่งความตายที่หนาวเย็นมืดครึ้มที่อยู่รอบตัวซุนเฟยก็พลันหายไปเช่นกัน ราวกับไม่เคยมีมาก่อน
ตามมาด้วย พลังเนโครแมนเซอร์ก็ไม่มีแล้วเช่นกัน แต่แทนที่ด้วยพลังที่น่าเกรงขามไร้ที่สิ้นสุดของคนเถื่อนเลเวล 12
--------------------------
1 เป็อุปมาอุปไมยว่า พยายามมากที่จะทำอะไรหรือหาอะไรไม่เคยได้ แต่สุดท้ายก็ได้มันมาแบบง่ายๆ อย่างไม่น่าเชื่อ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้