หลังจากกล่าวคำลาเถ้าแก่ร้านผลไม้ ฟางเฉาก็เดินออกมาด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม
แต่เพียงไม่นาน เสียงคำรามในท้องก็ปลุกเธอตื่น
วันนี้เธอทำงานหนักมาตลอดทั้งวัน แม้ร่างกายจะชินกับการทำงานแบบนี้อยู่แล้ว แต่เธอก็ยังรู้สึกเหนื่อยและหิวเพราะใช้พลังงานไปมาก
เธอจึงเดินมาถึงต้นไม้ใหญ่ข้างถนน หาที่นั่งพักเหนื่อยชั่วครู่ ก่อนจะหยิบซาลาเปาที่เก็บไว้ในโกดังเมื่อเที่ยงออกมา คิดว่าจะกินรองท้องก่อนกลับ
ทว่าเมื่อก้อนแป้งขาวปรากฏในมือ ฟางเฉาก็ต้องตกตะลึง
“มันยังอุ่นอยู่อีกเหรอ...” เธอพึมพำเบาๆ ก่อนจะกัดคำแรก รสชาติของแป้งนุ่มและไส้ที่ยังคงสดใหม่ ทำให้เธอคิดถึงความเป็ไปได้ในใจ
หากโกดังมิตินี้สามารถรักษาสภาพของสิ่งของได้จริง ๆ มันคงเป็ประโยชน์มหาศาล
แต่ก่อนอื่น เธอต้องวางแผนและเก็บเงินให้ได้มากพอเสียก่อน
ฟางเฉากินซาลาเปาอย่างรวดเร็ว จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นยืน พร้อมถุงผลไม้ในมือ มุ่งหน้าไปยังสหกรณ์การค้า
ภาพดวงตาเศร้าสร้อยของหลินเซียงฉินเมื่อเช้าที่เธอเดินออกมาจากบ้านยังคงติดอยู่ในใจ เธอจึงอยากหาขนมไปปลอบเขา ให้เด็กคนนี้ได้ลิ้มรสขนมเหมือนคนอื่นบ้าง
เมื่อถึงสหกรณ์ ฟางเฉาก็เดินสำรวจของในร้านอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้เธอมีเงินที่เหลือจากการเดินทางติดตัวเพียง 2 หยวน และเงินที่ได้รับจากเถ้าแก่เมื่อครู่นี้ 1.2 หยวน รวมทั้งสิ้น 3.2 หยวน แต่เด็กสาวกัดฟันตัดสินใจซื้อขนมลูกอมกระต่ายขาวหนึ่งถุงในราคา 5 เหมา ซึ่งทำให้เงินของเธอเหลือเพียง 2.7 หยวนเท่านั้น
เธอกอดถุงขนมและรีบกลับไปด้วยใบหน้าที่แจ่มใส ความเสียดายที่ต้องควักเงินออกมาใช้เริ่มบรรเทาลงอย่างรวดเร็วเมื่อนึกถึงน้องชาย
ไม่เป็ไร ถึงแม้ว่าค่าจ้างของเธอจะน้อย แต่เมื่อหักลบวันหยุดแล้ว เธอก็ยังสามารถหาเงินได้เกือบ 40 หยวนในหนึ่งเดือน
แม้แต่น้าเขยของเธออย่างหรงเทียนเจี๋ย ก็มีรายได้เพียงประมาณ 50 หยวนต่อเดือนเท่านั้น ซึ่งหากเทียบกับพ่อค้าแม่ค้าในตลาดแล้วถือว่าน้อยกว่ามาก แต่สำหรับยุคที่ราคาข้าวสารอยู่ที่ 0.1-0.15 หยวนต่อจิน (1 จิน = 500 กรัม) มันคือรายได้ที่เพียงพอจะเลี้ยงทั้งครอบครัวได้
ซาลาเปาไส้ผักที่เถ้าแก่มอบให้เธอก็มีราคาลูกละ 1-2 เหมาเท่านั้น (0.1- 0.2 หยวน) และเกือบจะเพียงพอสำหรับอาหารสองมื้อ
เมื่อฟางเฉากลับถึงบ้านของอาหญิงก็เย็นมากแล้ว แต่ทันทีที่เธอเข้าประตูมา เสียงสะอึกสะอื้นของน้องชายก็สะท้อนอยู่ในหูทันที
เด็กสาวรีบเดินไปยังต้นเสียง และภาพที่เห็นทำให้หัวใจเธอบีบรัด
น้องชายของเธอกำลังนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่บนพื้น ร้องไห้จนใบหน้าเล็กๆ ของเขาแดงช้ำ ในขณะที่ลูกพี่ลูกน้องคนที่สองของเธอ หรงหยุนลี่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าหรงจิ้งฮวาด้วยสีหน้าราวกับกำลังตำหนิเธอ
ทันทีที่เห็นฟางเฉา หลินเซียงฉินก็ร้องเรียกด้วยเสียงที่สั่นเครือ “พี่สาว!” พร้อมทั้งยกแขนขึ้น
ฟางเฉาทิ้งถุงผลไม้และลูกอมในมือโดยไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ เธอรีบเข้าไปอุ้มน้องชายขึ้นมากอดแน่น “เซียงฉิน เป็อะไร เกิดอะไรขึ้น?”
เด็กชายซุกหน้าเข้าหาไหล่ของพี่สาว ร้องไห้จนตัวโยน
ฟางเฉาหันมองหรงจิ้งฮวาที่ตอนนี้ดูเหมือนจะรู้สึกผิด สีหน้าของเด็กหญิงแสดงความไม่พอใจและกระวนกระวาย สุดท้ายด้วยความเป็เด็ก ใบหน้าก็บิดเบ้ ก่อนจะปล่อยโฮออกมาอีกคน
“เกิดอะไรขึ้น ร้องไห้กันทำไม?” หลินเหมยรีบเดินมาจากด้านนอก และเห็นฟางเฉาพอดี “เสี่ยวเฉากลับมาแล้ว” เธอพูดอย่างโล่งใจ
“หนูก็ไม่รู้ค่ะ หนูเพิ่งกลับมาเหมือนกัน” ฟางเฉาตอบคำ พลางปลอบน้องชาย
หลินเหมยหันไปมองลูกสาวคนรอง หรงหยุนลี่จึงอธิบาย “เป็เพราะจิ้งฮวา... เธอพูดว่า เธอบอกว่า...พี่เฉาไม่้าเซียงฉินแล้ว”
เมื่อฟางเฉาได้ยินดังนั้น ใจของเธอก็เต็มไปด้วยความโกรธ แต่เธอก็พยายามเก็บอารมณ์เอาไว้ ไม่อยากแสดงอารมณ์ต่อหน้าอาหญิง
“พูดจาไร้สาระ!” หลินเหมยเอ็ด ทำให้หรงจิ้งฮวาร้องไห้อีกหน
เมื่อเห็นลูกสาวร้องไห้ คนเป็แม่ก็ยังใจอ่อน เธอหันไปมองดูหลานสาวและหลานชายด้วยความละอายใจ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เสี่ยวเฉา อาต้องขอโทษแทนจิ้งฮวาด้วย น้องยังเล็กไม่รู้ความ เธอไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้นหรอก”
ฟางเฉารู้สึกอึดอัด แต่ก็ต้องตอบไปว่า “ไม่เป็ไรค่ะอาหญิง หนูเข้าใจ”
หลังจากนั้นพวกเขาก็ปลอบเด็กๆ ให้หยุดร้องทีละคน หลินเหมยอธิบายว่า “พอเห็นว่าพวกเขากลับมาจากโรงเรียนแล้ว ฉันก็เลยไปแลกไข่กับเพื่อนบ้านมา ดูสิ เย็นนี้ทำข้าวผัดไข่กันเถอะ”
ฟางเฉาพยักหน้า “หนูช่วยนะคะ”
หลินเหมยยิ้ม “เด็กดี” เธอพูดและเดินเข้าครัวไป
ฟางเฉากอดหลินเซียงฉินที่ยังคงพิงไหล่เธอ พลางลูบหลังเบาๆ เพื่อปลอบใจ “พี่สาวไม่ทิ้งเซียงฉินหรอกนะ ไม่ต้องกลัว พี่จะกลับมาหาน้องแน่นอน” เธอกระซิบใกล้หูเด็กชายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
เด็กชายพยักหน้า เชื่อคำพูดพี่สาวสุดใจ ใบหน้าเล็กๆ ยังมีหยดน้ำตาประปรายจนฟางเฉาค่อยๆ เช็ดให้
หลังจากปลอบน้องชายจนสงบลงแล้ว ฟางเฉาก็ลุกขึ้นและไปช่วยหลินเหมยเตรียมอาหารเย็นในครัว
เวลาผ่านไปไม่นาน หรงเทียนเจี๋ยก็กลับมาจากทำงานพร้อมกับถุงใบใหญ่ หรงจื้อคังที่วิ่งออกไปเล่นั้แ่เลิกเรียนก็วิ่งกลับมาเพราะความหิวเช่นกัน
เมื่อทุกคนพร้อมหน้า ครอบครัวก็นั่งล้อมวงกินข้าวด้วยกัน ฟางเฉาเล่าเื่ที่เธอหางานได้ให้ฟังในระหว่างมื้ออาหาร
“จริงเหรอ?” หลินเหมยถามด้วยความแปลกใจ “เสี่ยวเฉาไปแค่วันเดียวก็ได้งานแล้ว?”
“ใช่ค่ะ โชคดีที่ไปเจอร้านผลไม้ท้ายตลาดกำลัง้าคนพอดี แต่หนูยังเด็ก ค่าแรงเลยได้น้อยหน่อย” ฟางเฉาตอบ
หรงเทียนเจี๋ยบอก “ดีแล้วล่ะ มีงานก็ดีแล้ว อีกอย่างยังใกล้บ้านด้วย อาคิดว่าทำไปก่อนเถอะ อย่างน้อยก็จะได้มีเงินเก็บเผื่อไว้ในอนาคต”
ฟางเฉายิ้ม ใบหน้าบ่งบอกถึงความอารมณ์ดี หรงเทียนเจี๋ยพูดเสริม “อาเพิ่งเอาถุงเท้ากลับมา เสี่ยวเฉากับเสี่ยวฉินก็เลือกไปใช้ด้วยสิ” เขาชี้ไปยังถุงใบใหญ่ที่เอากลับมา
หลินเหมยเห็นแล้วก็บ่น “เยอะขนาดนี้เลยเหรอ? หัวหน้าของพวกคุณวางแผนจะระบายสินค้าเก่าพวกนี้ให้พนักงานทั้งหมดเลยใช่ไหม?”
หรงเทียนเจี๋ยก้มหน้าจิบซุป ในใจคิดว่า หากพวกเขาทำแบบนั้นได้ก็คงอยากทำเหมือนกัน เพียงแต่สินค้าที่ค้างอยู่มีจำนวนเยอะมากจนแม้แต่เมื่อระบายออกมาบางส่วนก็ยังแทบไม่พร่องเลย
สินค้าที่เหลือในคลังกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ของใหม่ก็ยังไม่หยุดผลิต เพราะผู้อำนวยการกลัวว่าถ้าหากหยุดงานตอนนี้ อาจจะทำให้พนักงานรู้สึกไม่มั่นคงและออกมาประท้วงโรงงานได้ ดังนั้นสถานการณ์จึงยังคงต้องยื้อยุดกันต่อไป
หลังจากที่ทุกคนทานอาหารเย็นเสร็จ ฟางเฉาก็ไม่รีรอที่จะลุกขึ้นเก็บจานชามไปล้างในครัว
เมื่อทำความสะอาดทุกอย่างเรียบร้อย เธอก็หยิบถุงผลไม้ที่เธอถือมาจากตลาด ค่อยๆ คัดผลไม้ทีละลูก ตรวจสอบดูว่าลูกไหนที่เริ่มมีรอยช้ำหรือเสียจนกินไม่ได้แล้ว จากนั้นเลือกผลไม้ยังมีเนื้อดีอยู่มาปอกเปลือกอย่างระมัดระวัง
ถึงแม้จะต้องคัดทิ้งไปมากกว่าครึ่ง แต่เธอก็สามารถคัดเนื้อดีๆ ออกมาได้หนึ่งจานใหญ่ เด็กสาวนำผลไม้จานนั้นไปแบ่งทุกคน “อาหญิง อาเขย ลองกินผลไม้สิคะ”
หลินเหมยมองจานพลางขมวดคิ้ว “ผลไม้พวกนี้...” เธอคิดว่าหลานสาวเพิ่งทำงานวันแรกและฟุ่มเฟือยจนซื้อผลไม้กลับมา
ฟางเฉารีบบอก “พวกนี้เถ้าแก่ให้ฉันมาเพราะมันเป็ผลไม้มีตำหนิ แต่ยังพอกินได้อยู่ ในครัวยังมีส่วนที่ต้องทิ้งไปเยอะเลย”
หรงเทียนเจี๋ยหยิบผลไม้ชิ้นหนึ่งเข้าปากก่อนจะยิ้มพอใจ “หวานดีนะ ฉันว่าร้านที่เธอทำงานด้วยคงเป็ร้านที่ดีทีเดียว เถ้าแก่ที่เธอทำงานด้วยคงใจกว้างมากเลยใช่ไหม?”
ฟางเฉาเพียงยิ้มบางๆ แต่ในใจรู้ดีว่าเถ้าแก่ไม่ได้ใจกว้างนัก เขาแค่ขี้เหนียวและไม่อยากทิ้งของเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้พูดอะไรต่อ
หลังจากกินผลไม้เสร็จ ฟางเฉาก็หยิบถุงลูกอมที่ซื้อไว้ออกมา “เซียงฉิน นี่ของน้อง” เธอพูดพลางยื่นถุงลูกอมให้น้องชาย
ดวงตาของเด็กชายเปล่งประกาย เขายื่นมือเล็กๆ มารับลูกอมไปด้วยความตื่นเต้น “ขอบคุณพี่สาว!”
หรงจื้อคังเห็นถุงลูกอมในมือหลินเซียงฉินและร้องออกมาทันที “ลูกอม! ฉันก็อยากกิน!”
ฟางเฉามองเขา แล้วก็หันไปมองหรงหยุนลี่และหรงจิ้งฮวาที่ตอนนี้ก็มองมาทางเธอด้วยแววตาคาดหวัง ก่อนจะหยิบลูกอมแจกให้แต่ละคน “กินด้วยกันนะ”
เด็กๆ ดีใจกันยกใหญ่ สถานการณ์ดูผ่อนคลายและกลมเกลียวกันมากขึ้นชั่วคราว
อย่างไรก็ตาม ฟางเฉาไม่ได้ลืมสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ แม้จะมีความคับข้องใจอยู่ในใจ แต่เมื่ออยู่ใต้หลังคาบ้านคนอื่น เธอก็ทำอะไรได้ไม่มากนัก สิ่งเดียวที่ทำได้ในตอนนี้คืออดทน เก็บเงิน และวางแผนเพื่อวันข้างหน้า เพื่อที่จะพาน้องชายออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเอง
หลังจากที่แจกจ่ายลูกอมให้เด็กๆ ฟางเฉาก็หันมาสนใจถุงใหญ่ที่หรงเทียนเจี๋ยเอากลับมาจากโรงงาน
เธอหยิบถุงเท้าหนึ่งคู่ขึ้นมาดู มันเป็ถุงเท้าผ้าฝ้ายสีขาว รูปทรงเรียบง่ายที่มีตะเข็บตัดเย็บอย่างประณีต แม้จะไม่ได้ดูหรูหรา แต่วัสดุที่ใช้กลับให้ความรู้สึกทนทานและนุ่มนวล
เธอลองลูบเนื้อผ้าดู และคิดว่ามันน่าจะให้ความอบอุ่นได้ดีในฤดูหนาว
น่าเสียดายที่ตอนนี้เป็่ปลายฤดูใบไม้ผลิ ความ้าสินค้าแบบนี้จึงลดลง
เธอเริ่มเข้าใจว่าทำไมโรงงานถึงต้องแจกถุงเท้าจำนวนมากให้พนักงานแทนที่จะมอบของกินของใช้อย่างอื่น เพราะสินค้าอาจจกำลังจะล้นคลังและไม่ตรงกับความ้าของตลาด
เธอปิดถุงและวางมันไว้ข้างผนังอย่างเรียบร้อย ก่อนจะลุกขึ้นตามเด็กๆ ที่เริ่มแยกย้ายกันไปนอน
แม้การหางานได้จะดี แต่การทำงานตลอดทั้งวันก็เหนื่อยจริงๆ จนเด็กสาวแทบจะหลับทันทีที่หัวถึงหมอน
อธิบายหน่วยเงิน
- 1 หยวน = 10 เหมา
- 1 เหมา = 10 เฟิน
เช่น
ซาลาเปา 1 ลูก ราคา 2 เหมา (0.2 หยวน)
บะหมี่ 1 ชาม ราคา 1 หยวน 5 เหมา (1.5 หยวน)
ลูกอม 1 เม็ด ราคา 5 เฟิน (0.05 หยวน)
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้