“หลีกทางหน่อย หลีกทางหน่อย”
ข่งเซวียนเอ๋อร์เดินนำมู่เฟิงเบียดฝูงชนเข้ามา
“ให้ตายเถอะ! จะเบียดอะไรนักหนา อ่า มู่เฟิง น้องข่งเซวียนเอ๋อร์ ขออภัย ข้าขออภัยด้วย”
หลายคนไม่พอใจที่มีคนพยายามเดินเบียดเข้ามา แต่เมื่อหันไปเห็นว่าเป็ใคร พวกเขาก็รีบสงบปากสงบคำทันที ในสำนักศึกษาแห่งนี้มีบัณฑิตเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะกล้ายั่วยุข่งเซวียนเอ๋อร์ ส่วนมู่เฟิงก็ถือเป็อีกคนที่ขึ้นชื่อเช่นกัน
“สถานที่แห่งนี้ทิวทัศน์ไม่เลว”
มู่เฟิงกวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะกล่าวขึ้น
พวกเขายืนเบียดกันบนไม้กระดาน สายตากำลังจับจ้องไปยังแท่นสังเวียนโลหิตซึ่งอยู่ห่างออกไปกว่าสิบเมตร
บนแท่นสังเวียนโลหิตมีแผ่นศิลาตั้งอยู่ และบนแผ่นศิลานั้นก็กำลังเปล่งแสงรายชื่อของบัณฑิตจำนวนหนึ่งร้อยคนออกมา ซึ่งมันถูกสลักขึ้นโดยพลังปราณ ส่วนรายชื่อทั้งหมดนั้นก็คือรายชื่ออันดับของยอดฝีมือทั้งหนึ่งร้อยคนของสำนักศึกษาเทียนอวิ่น
จางเจี้ยนมองไปยังรายชื่อเ่าั้เพื่อเลือกคนที่เขา้าจะประลองด้วย
สายตาของเขาจับจ้องไปยังแถบรายชื่อด้านล่าง ความแข็งแกร่งของเขาสามารถท้าประลองได้เพียงสิบอันดับสุดท้ายเท่านั้น
“ไม่ทราบว่าเกาเผิงคือผู้ใด จางเจี้ยนจากสำนักศึกษาเป๋ยโต่ว้าท้าประลองกับเ้า”
จางเจี้ยนกวาดตามองไปยังกลุ่มคนบนไม้กระดานก่อนจะะโออกมาเสียงดัง
“เ้าหมอนี่คงคิดจะเก็บลูกพลับนิ่มก่อนสินะ ชื่อของเกาเผิงอยู่ในอันดับที่เก้าสิบเก้า ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้บ้าบิ่นถึงเพียงนั้น”
ทุกคนต่างก็ฮือฮากับการเลือกของอีกฝ่าย
ทันใดนั้นชายหนุ่มร่างผอมในชุดคลุมสีเหลืองก็ะโขึ้นไปบนแท่นต่อสู้ด้วยใบหน้ามืดครึ้ม
“เ้าคือเกาเผิง?”
จางเจี้ยนขมวดคิ้วพลางแสดงสีหน้าเหยียดหยาม
ดวงตาของเกาเผิงมืดครึ้มลง เขาตระหนักได้ถึงความแข็งแกร่งของชายผู้นี้ และตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้
“เกาเผิง เ้าห้ามทำให้พวกเราขายหน้านะ!”
ชายหนุ่มร่างกำยำบนไม้กระดานซึ่งอยู่ห่างออกไปะโขึ้นมาเสียงดัง
ชายผู้นั้นคือหยวนเฮ่า ส่วนเกาเผิงเป็หนึ่งในสมาชิกของกลุ่มต้าหยวนของเขา
คนทั้งสองบนเวทีไม่เสียเวลาพูดจาไร้สาระอีกต่อไป พวกเขาเริ่มประลองกันทันที โดยจางเจี้ยนเป็คนเริ่มเคลื่อนไหวก่อน เขาดีดตัวทะยานร่างออกมาพร้อมกับพลังกังหยวนที่รวบรวมเอาไว้บนฝ่ามือ ก่อนที่เขาจะปล่อยลำแสงใบมีดสีทองออกมาสองสาย มันพุ่งทะลวงไปทางเกาเผิงอย่างรวดเร็ว
การเคลื่อนไหวของเกาเผิงนั้นค่อนข้างว่องไว เขาสามารถหลบหลีกการโจมตีทั้งสองครั้งของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย จากนั้นเขาก็ทะยานร่างเข้าหาจางเจี้ยนต่อทันที
พวกเขาสองคนมีวรยุทธ์เท่ากัน แต่ความแข็งแกร่งของเกาเผิงนั้นมากกว่าจางเจี้ยนที่เพิ่งผ่านการต่อสู้กับศิษย์สายในมา ดังนั้นจึงไม่ใช่เื่ง่ายที่จะรับมือกับเกาเผิง
พลังกังหยวนพลันปะทุขึ้นบนแท่นสังเวียนโลหิตอย่างต่อเนื่อง มีบางครั้งที่คลื่นพลังสาดซัดไปทางแอ่งน้ำในทะเลสาบจนก่อให้เกิดคลื่นสูงกว่าสิบเมตร หลังจากผ่านไปหลายสิบกระบวนท่า ในที่สุดเกาเผิงก็ถูกการเคลื่อนไหวของจางเจี้ยนหลอกล่อให้เผยช่องโหว่ออกมา เมื่อสบโอกาสจางเจี้ยนก็ปล่อยหมัดกระแทกทรวงอกของเกาเผิงอย่างแรงทันที
ปัง!
เกาเผิงกระอักเืพร้อมกับร่างที่ร่วงตกลงไปในทะเลสาบ
“ทำได้ดี!"
กลุ่มศิษย์จากสำนักศึกษาเป๋ยโต่วปรบมือพร้อมกับโห่ร้องด้วยความยินดี แต่ทางฝั่งศิษย์ของสำนักศึกษาเทียนอวิ่นต่างก็รู้สึกผิดหวัง
“เกาเผิง เ้ามันไร้ประโยชน์นัก ทำข้าโมโหจะตายอยู่แล้ว!”
หยวนเฮ่าแผดเสียงออกมาและกระทืบเท้าอย่างไม่สบอารมณ์
“ฮ่าๆ นี่คือยอดฝีมือที่ถูกจัดอันดับของสำนักศึกษาเทียนอวิ่นหรือ? ช่างไร้ประโยชน์เสียจริง ในสำนักศึกษาเป๋ยโต่วของเรา จางเจี้ยนยังไม่ได้ถูกจัดอันดับด้วยซ้ำ”
“จางเจี้ยน ข้าว่าจากความแข็งแกร่งของเ้า เ้าต้องสามารถเอาชนะสิบอันดับสุดท้ายทั้งหมดได้อย่างแน่นอน”
“จางเจี้ยน แสดงให้พวกเขาเห็นเสียว่าสำนักศึกษาเป๋ยโต่วของเรานั้นทรงพลังเพียงใด”
บัณฑิตจำนวนกว่าสองร้อยคนจากสำนักศึกษาเป๋ยโต่วต่างก็ส่งเสียงะโเชียร์ออกมา
เมื่อบัณฑิตของสำนักศึกษาเทียนอวิ่นได้ยินดังนั้น ใบหน้าของพวกเขาก็พลันเปลี่ยนเป็มืดครึ้มทันที นอกจากนี้ยังมีบางคนะโตอบโต้และสาปแช่งอีกฝ่ายด้วยความโกรธด้วย
“มารดามันเถอะ อีกประเดี๋ยวหากมันท้าประลองเหลาจื่อ เหลาจื่อจะสั่งสอนพวกมันให้รู้สำนึกเอง”
“ถูกต้อง เกาเผิงนั้นฝีมืออ่อนเกินไป แม้แต่คนที่ไม่ได้ถูกจัดอันดับก็ยังไม่สามารถเอาชนะได้”
บัณฑิตของสำนักศึกษาเทียนอวิ่นรู้สึกขุ่นเคืองกับผลลัพธ์นี้
หลังจากนั้นจางเจี้ยนก็ท้าประลองกับอันดับที่เก้าสิบแปดต่อทันที
ผลลัพธ์คือสำนักศึกษาเทียนอวิ่นพ่ายแพ้อีกครั้ง
ต่อจากนั้น อันดับที่เก้าสิบเจ็ด พ่ายแพ้!
อันดับที่เก้าสิบหก พ่ายแพ้!
หลังจากจางเจี้ยนสามารถเอาชนะยอดฝีมือสามคนติดต่อกันได้ก็ยิ่งทำให้บรรดาศิษย์จากสำนักศึกษาเป๋ยโต่วทะนงตนมากขึ้น พวกเขาะโเรียกชื่อจางเจี้ยนกันอย่างบ้าคลั่ง
“มารดามันเถอะ ไอ้พวกสำนักศึกษาเป๋ยโต่วมันตั้งใจทำแบบนี้เพื่อท้าทายพวกเรา พวกมันรู้ดีอยู่แล้วว่าความแข็งแกร่งของจางเจี้ยนควรจัดอยู่ในอันดับไหน มันทำเช่นนี้จงใจตบหน้าพวกเราชัดๆ”
โจวเหวินเฉวียนกล่าวอย่างเ็า
“ชายผู้นั้นฝึกฝนหมัดราชสีห์คำรามจนบรรลุถึงระดับสัมฤทธิ์แล้ว สิบอันดับสุดท้ายไม่สามารถเอาชนะเขาได้หรอก”
หยางฉานกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ฮ่าๆ นี่คือผู้ที่ถูกจัดอยู่ในอันดับยอดฝีมือของพวกเ้าหรือ? ช่างไม่เจียมตัวเอาเสียเลย!”
จางเจี้ยนหัวเราะออกมาอย่างเย่อหยิ่ง ก่อนจะกลืนเม็ดยาลงไปเพื่อฟื้นฟูพลังปราณ
“ใครจะเป็คนต่อไปขอข้าดูหน่อย มู่หลิงเอ๋อร์ ใครคือมู่หลิงเอ๋อร์”
จางเจี้ยนะโเรียกอีกครั้ง
“มารดามันสิ”
หยวนเฮ่าตวาดออกมาอย่างเดือดดาล
ใบหน้าสวยของมู่หลิงเอ๋อร์ยังคงเรียบเฉย ไม่นานร่างบางก็ดีดตัวทะยานขึ้นไปบนแท่นประลองอย่างรวดเร็ว ชุดคลุมสีดำที่พลิ้วไหวไปตามแรงลมของนางดึงดูดสายตาของผู้คนได้เป็อย่างดี
เมื่อจางเจี้ยนเห็นว่าอีกฝ่ายเป็สาวงามเขาก็ผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็แสดงท่าทีขี้เล่นออกมาอย่างนึกสนุก
“โอ๊ะโอ แท้จริงแล้วก็เป็สาวงามผู้หนึ่งหรอกหรือ คนงามเ้าลงไปเถอะ ข้าเป็คนรักหยกถนอมบุปผา ทำร้ายสาวงามอย่างเ้าไม่ลงหรอก”
“ฮ่าๆ ๆ ๆ เ้านี่...”
บัณฑิตจากสำนักศึกษาเป๋ยโต่วหัวเราะออกมาเสียงดัง
ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่ารูปลักษณ์ของพี่หญิงของมู่เฟิงนั้นไม่ธรรมดา นับได้ว่าเป็หญิงงามล่มเมืองนางหนึ่งเลยทีเดียว
มู่หลิงเอ๋อร์ขมวดคิ้ว สีหน้าของนางเผยให้เห็นถึงความไม่พอใจ แต่ในขณะที่นางกำลังจะกล่าวอะไรบางอย่างนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขัดขึ้นมาเสียก่อน
“สายตาของเ้ามองไปที่ใดกัน”
ร่างของเด็กหนุ่มในชุดคลุมสีดำะโขึ้นมาบนแท่นสังเวียนโลหิตก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างเ็า
เมื่อมู่หลิงเอ๋อร์เห็นผู้มาใหม่ นางก็เผยรอยยิ้มออกมาก่อนจะกล่าวว่า “เ้าออกจากการปิดด่านฝึกแล้ว”
มู่เฟิงเดินเข้าไปหาหญิงสาวก่อนกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มเช่นกันว่า “เพียงวรยุทธ์ก้าวหน้าขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น แต่พอข้ามาถึงที่นี่กลับพบว่ามีคนกำลังพ่นวาจาสกปรกใส่ท่านอยู่”
ดวงตาของมู่เฟิงพลันเปลี่ยนเป็เ็าขณะกล่าวประโยคหลังออกมา
“วางใจเถอะ อีกเดี๋ยวข้าจะทำให้เขาอยู่ไม่สู้ตายเอง”
มู่หลิงเอ๋อร์เหยียดยิ้ม ดวงตาคู่สวยของนางเต็มไปด้วยความชั่วร้าย
“ข้าเอง เื่แบบนี้ข้าจะปล่อยให้ท่านต้องลงมือได้อย่างไร พี่หญิง ท่านอยากให้ข้าทำลายมือซ้ายหรือมือขวาของเขา?”
มู่เฟิงยังคงถามด้วยรอยยิ้ม
“ขอทั้งสองมือเลยได้หรือไม่?”
มู่หลิงเอ๋อร์ตอบกลับอย่างหยอกล้อ
“สำหรับท่านแน่นอนว่าได้อยู่แล้ว”
สองพี่น้องพูดคุยกันโดยไม่ได้สนใจคนอื่นเลยแม้แต่น้อย
“เ้าเด็กนั่นเป็ใครกัน ไสหัวออกไป อย่ามาสร้างปัญหา”
บัณฑิตจากสำนักศึกษาเป๋ยโต่วไม่พอใจที่เห็นเด็กหนุ่มผมขาวโผล่ขึ้นมาบนเวที
เว่ยอี้อวิ๋น หยางฉาน โจวเหวินเฉวียนและคนอื่นๆ ต่างก็ขมวดคิ้ว พร้อมกับจับตามองเหตุการณ์นี้ด้วยความสนใจ
“เ้าเด็กบ้า เ้าเป็ใครกัน ไสหัวออกไป!”
จางเจี้ยนมองมู่เฟิงก่อนจะตวาดออกมาอย่างเ็า
มู่เฟิงชำเลืองมองไปทางจางเจี้ยนอย่างไม่แยแสและกล่าวอย่างเ็าว่า “ข้ามู่เฟิง เป็บัณฑิตสายนอกของสำนักศึกษาเทียนอวิ่น เ้าจะต้องชดใช้ในสิ่งที่เ้าทำไปเมื่อครู่”
“ฮ่าๆ เป็เพียงเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ไสหัวกลับไปกินนมที่บ้านเ้าเถอะเ้าบัณฑิตใหม่ แม้แต่ศิษย์พี่ในสำนักศึกษาของเ้ายังพ่ายแพ้ต่อข้า อย่างเ้ามีคุณสมบัติใดให้เสนอหน้าออกมากัน”
จางเจี้ยนกล่าวอย่างเหยียดหยาม
“ใครบอกว่าเขาไม่มีคุณสมบัติ ตอนนี้เขาคือตัวแทนของข้า”
มู่หลิงเอ๋อร์กล่าวอย่างเ็า
เมื่อสิ้นเสียงก็เกิดความโกลาหลขึ้นในกลุ่มคนที่กำลังเฝ้าชมอยู่ทันที
“ว่าอย่างไรนะ มู่หลิงเอ๋อร์จะให้มู่เฟิงต่อสู้แทนนาง คิดจะทำเื่เหลวไหลอันใดกัน มู่เฟิงเป็เพียงศิษย์สายนอกของสำนัก อย่างเขาจะมีคุณสมบัติอะไรไปยืนอยู่ตรงนั้น?”
“ถูกต้อง แม้ว่ามู่เฟิงจะเป็อันดับหนึ่งในกลุ่มบัณฑิตใหม่ และเคยเอาชนะศิษย์สายในได้ก็ตาม แต่เขาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจางเจี้ยนอยู่ดี นี่ไม่ใช่ว่าจงใจจะทำให้สำนักศึกษาเทียนอวิ่นของเรายิ่งขายหน้าหรอกหรือ?”