หมอจ่ายวิตามินอีสามขวด สำลีก้านทางการแพทย์ ทิงเจอร์ไอโอดีน และผ้าก๊อซทางการแพทย์ให้ตามที่สวี่ฮุ่ยขอ
หลังจากรับยาและผ้าก๊อซมาแล้ว สวี่ฮุ่ยก็ถือของพวกนั้นไว้ในมือเอง
สวี่ต้าซานถามด้วยความสงสัย “ทำไมต้องขอวิตามินอีด้วยล่ะ?”
ของอย่างอื่นเอามาใช้ทำแผล สวี่ฮุ่ยเอาของพวกนั้นมา สวี่ต้าซานพอจะเข้าใจได้
แต่เขาไม่เข้าใจเลยว่าวิตามินอีมีประโยชน์อะไร
สวี่ฮุ่ยไม่ได้ตอบคำถามเขาตรง ๆ แต่ถามกลับด้วยน้ำเสียงเ็า “พ่อพาหนูมาหาหมอ แล้วรู้สึกเสียดายเงินเหรอคะ?”
เธอหยิบเงินสิบหยวนออกมาจากตัวแล้วยัดใส่มือสวี่ต้าซาน “ค่าลงทะเบียน ค่าเย็บแผล ค่ายารวมแล้วแค่เจ็ดหยวนกว่า ๆ หนูให้สิบหยวน พ่อไม่ขาดทุนหรอกค่ะ”
เธอยิ้มออกมา รอยยิ้มนั้นแฝงไปด้วยความขมขื่น “ครั้งที่แล้วน้องสาวเข้าโรงพยาบาล พ่อจ่ายไปหกร้อยเจ็ดร้อยหยวนโดยไม่กะพริบตาแล้วยังกลัวว่าสวี่เยว่จะไม่มีเงินรักษาตัวต่อ เลยร่วมมือกับแม่และพี่ชายบังคับให้หนูเอาเงินมาให้ หนูโดนแม่กับสวี่เยว่บีบคั้นจนต้องชนกำแพง พ่อกลับไม่ยอมจ่ายค่ารักษาแค่เจ็ดหยวนกว่า ๆ!”
สิ้นเสียง เธอก็ปาดน้ำตาที่ไหลรินออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ แล้วสาวเท้าเดินจากไป แสดงออกด้วยการกระทำว่าเธอจะไม่นั่งรถตู้ของโรงงานเขากลับบ้าน
เพื่อนบ้านที่ตามมาต่างมองสวี่ต้าซานด้วยสายตาสับสน แล้วเดินตามสวี่ฮุ่ยไป
สวี่ต้าซานพูดตามหลังมาว่า “พ่อไม่ได้เสียดายค่ารักษาของลูก พ่อแค่จะถามว่าลูกซื้อวิตามินอีไปทำอะไร?”
สวี่ฮุ่ยทำเป็ไม่ได้ยิน
เธอแค่กลัวว่าเย็บแผลตรงหน้าผากจะทิ้งรอยแผลเป็ไว้ วิตามินอีสามารถช่วยลดรอยแผลเป็ได้ แต่เธอจะไม่อธิบายให้สวี่ต้าซานฟังหรอก
เธอรู้อยู่แล้วว่าที่สวี่ต้าซานถามถึงสรรพคุณของวิตามินอี ไม่ใช่เพราะเสียดายเงินค่ารักษาแผลให้เธอ
แต่เธอจงใจตีความคำพูดของเขาผิด ๆ เพื่อให้เขาได้ลองััความรู้สึกของการถูกคนอื่นตีความคำพูดผิด ๆ ดูบ้าง เหมือนคราวก่อนที่สวี่เยว่ยืมมือคนอื่นมาทำร้ายเธอจนลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ แล้วใจนต้องเข้าห้องไอซียู แต่สวี่ต้าซานกลับโทษเธอว่าใจแคบ ทำร้ายสวี่เยว่
สวี่ต้าซานทำให้เธอไม่สบายใจยังไง เธอก็ต้องเอาคืนด้วยวิธีเดียวกันสิ!
ไม่ต้องเห็นแก่ความเป็พ่อลูก ทำร้ายกันไปเลย
สวี่ฮุ่ยถูกเพื่อนบ้านพาไปรักษาตัวด้วยใบหน้าอาบเื กู่ซิ่วกับสวี่เยว่ต่างก็กระวนกระวายใจ
แม้จะไม่มีใครเสียชีวิต แต่สวี่ฮุ่ยชนกำแพง ถ้าสวี่ต้าซานรู้เข้าคงไม่ปล่อยพวกเธอไว้แน่
ถ้าเป็เมื่อก่อน กู่ซิ่วคงพาสวี่เยว่ไปหลบที่บ้านเดิม
สวี่ต้าซานไม่มารับ พวกเธอสองแม่ลูกก็จะไม่กลับ สุดท้ายสวี่ต้าซานก็จะกลายเป็ฝ่ายผิดทั้ง ๆ ที่มีเหตุผล ต้องซื้อของขวัญราคาแพงไปง้อภรรยาและลูกสาวที่บ้านเดิม
แต่ตอนนี้ใช้มุกนี้ไม่ได้แล้ว เพราะพ่อของเธอไม่ชอบพวกเธอสองแม่ลูก กลับไปบ้านเดิมคงโดนไล่ออกมา
ขณะที่สองแม่ลูกร้อนใจราวกับมดบนกระทะร้อน โทรศัพท์บ้านก็ดังขึ้น
สวี่เยว่ไม่กล้ารับสาย กู่ซิ่วจึงต้องกัดฟันรับสายด้วยตัวเอง
ผู้อำนวยการหงเป็คนโทรเข้ามา เรียกให้เธอไปหาที่หน่วยงาน
กู่ซิ่วเลยรีบไปที่ทำงานด้วยความกังวล
เมื่อไปถึงที่ทำงาน เธอเห็นสายตาแปลก ๆ ของเพื่อนร่วมงาน ก็ยิ่งกระวนกระวายมากขึ้นไปอีก
ผู้อำนวยการหงเห็นกู่ซิ่วมาถึง ก็เรียกเธอเข้าไปในห้องทำงาน บอกเธอว่าั้แ่วันนี้เป็ต้นไป เธอถูกไล่ออกแล้ว
กู่ซิ่วถูกโจมตีอย่างรุนแรงและกะทันหันจนยืนแทบไม่อยู่
เธอเป็ถึงข้าราชการ ไม่เพียงเงินเดือนสูง สวัสดิการดี ยังมีสถานะทางสังคมที่ไม่เลวด้วย
ในเขตบ้านพัก แม้ว่าเพื่อนบ้านบางคนจะไม่ชอบเธอ แต่ก็ต้องให้เกียรติเธอ ตอนนี้ทุกอย่างหายไปหมดแล้ว ต่อไปใครในบ้านพักจะเห็นเธออยู่ในสายตาอีก
นั่นเป็แค่เื่รอง ที่สำคัญคือั้แ่วินาทีนี้ เธอไม่มีรายได้แล้ว ชีวิตครอบครัวจะดำเนินต่อไปอย่างไร?
อาศัยเงินเดือนของสวี่ต้าซานคนเดียว ครอบครัวจะกินเนื้อสัตว์ได้ทุกวันเหมือนที่ผ่านมาได้ยังไง? ยิ่งไม่มีรายได้แล้ว จะเอาเงินที่ไหนไปรักษาลูกสาวสุดที่รักกัน?
กู่ซิ่วร้อนใจ “ผู้อำนวยการหง ทำไมไล่ฉันออกล่ะคะ? นี่ไม่เท่ากับบีบให้ฉันตายเหรอ? ลูกสาวคนเล็กของฉันต้องรักษาโรคหัวใจ ต้องใช้เงินอีกเยอะนะคะ!”
ผู้อำนวยการหงไม่พอใจทันที “ก่อนหน้านี้เธอแย่งโอกาสเรียนมหาวิทยาลัยและเงินรางวัลของลูกสาวคนโตไปให้ลูกสาวคนเล็ก ฉันไม่ได้เตือนเธอแล้วเหรอว่าอย่าทำแบบนี้อีก? เธอไม่เพียงแต่ไม่แก้ไข ยังทำให้เื่ร้ายแรงขึ้นอีกด้วยการคลุมถุงชนลูก จนสุดท้ายโดนไล่ออก เธอยังมาโทษฉันว่าบีบให้เธอตายอีกเนี่ยนะ!”
กู่ซิ่วเถียง “ก็มันยังไม่สำเร็จนี่คะ ทำไมถึงไล่ฉันออกล่ะ?”
ผู้อำนวยการหงเห็นกู่ซิ่วไม่มีท่าทีสำนึกผิดเลย สีหน้าก็ยิ่งบึ้งตึงขึ้น “ถ้ามันสำเร็จ ไม่ใช่แค่เธอที่โดนไล่ออก แม้แต่ฉันก็จะโดนสอบสวนด้วย เธออยากลากฉันลงไปเอี่ยวด้วยหรือไง?”
กู่ซิ่วร้อนใจจนเกือบร้องไห้ “ผู้อำนวยการหง ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น ฉันแค่อยากขอร้องให้คุณอย่าไล่ฉันออก ถ้าฉันไม่มีงานทำ แล้วฉันจะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ลูกสาวคนเล็กล่ะคะ?”
ผู้อำนวยการหงไม่อยากพูดกับเธออีกแล้ว โบกมือไล่ “ประธานสหพันธ์สตรีมณฑลเป็คนไล่เธอออกโดยตรง เธอมาขอร้องฉันก็ไม่มีประโยชน์ ไปขอร้องท่านประธานโน่น”
กู่ซิ่วถึงกับหน้าซีดเผือด
หลังเสร็จธุระ กู่ซิ่วก็เดินกลับบ้านด้วยฝีเท้าหนักอึ้งเหมือนคนหมดอาลัยอยากตาย สิ่งที่รอต้อนรับเธอก็คือฝ่ามือของสวี่ต้าซาน
กู่ซิ่วโกรธอยู่แล้ว พอกลับถึงบ้านก็โดนตบหน้า เธอจึงอาละวาดใหญ่โต โถมตัวเข้าหาสวี่ต้าซาน “สวี่ฮุ่ยแค่ชนกำแพงเองไหม? คุณก็เข้าข้างมันแล้ว! มันไม่ได้เป็อะไรสักหน่อย!”
“แต่มันทำให้ฉันเสียงาน คุณรู้บ้างไหม!”
สวี่ต้าซานได้ยินแบบนั้น ก็ลืมเื่ที่อยากจะสั่งสอนกู่ซิ่วไปหมดสิ้น ถามด้วยความใว่าเกิดอะไรขึ้น?
กู่ซิ่วเล่าเื่ทั้งหมดให้เขาฟังทั้งน้ำตา
สวี่ต้าซานทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาเหมือนลูกโป่งที่ลมรั่ว
ั้แ่นี้ไปไม่มีเงินเดือนกองโตของกู่ซิ่วแล้ว ชีวิตจะดำเนินต่อไปยังไง?
หลังจากกลับจากโรงพยาบาล สวี่ฮุ่ยก็สอนพิเศษฟรีให้กับนักเรียนมัธยมปลายในบ้านพักที่ห้องรับรองเหมือนเช่นเคย
สอนจนถึงตอนกลางวัน เธอค่อยเก็บของกลับบ้าน
กู่ซิ่วทำอาหารกลางวันเสร็จแล้ว เห็นเธอกลับมาก็ไม่สนใจ ตักข้าวให้สวี่ต้าซานกับสวี่เยว่ แต่ไม่ตักให้เธอ
สวี่ฮุ่ยก็ไม่ได้ใส่ใจ เดินไปตักข้าวเองในครัวแล้วมานั่งที่โต๊ะอาหาร
เธอกวาดตามองกับข้าวบนโต๊ะอาหาร ไม่มีอาหารดี ๆ สักอย่าง
ขอเพียงแค่สวี่เยว่อยู่บ้าน อย่างน้อยต้องมีผัดไข่หนึ่งจาน แต่วันนี้แม้แต่ผัดไข่ก็ไม่มี
เท่านั้นยังไม่พอ กับข้าวทุกจาน กระทั่งผัดผักโขมจีนก็ใส่ซีอิ๊วเยอะมาก
สวี่ฮุ่ยหัวเราะเยาะในใจ กู่ซิ่วช่างร้ายกาจจริง ๆ
รู้ทั้งรู้ว่าเธอมีแผลที่หน้าผาก ่ที่แผลกำลังสมานตัวต้องกินซีอิ๊วน้อย ๆ ไม่อย่างนั้นจะทำให้เกิดเม็ดสี และทิ้งรอยแผลเป็ไว้ แต่กู่ซิ่วกลับใส่ซีอิ๊วเยอะ ในทุกจาน!
สวี่ฮุ่ยตักข้าวเปล่าเข้าปากแล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หรือว่าไม่ต้องเสียเงินซื้อซีอิ๊วมา ถึงได้ใส่เยอะทุกจานขนาดนี้!”
เห็นสวี่ต้าซานไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของเธอ สวี่ฮุ่ยจึงถามกู่ซิ่วตรง ๆ “แม่จงใจล่ะสิ รู้ทั้งรู้ว่าหนูมีแผลที่หน้าผาก ยังใส่ซีอิ๊วในทุกจาน อยากให้หนูมีรอยแผลเป็ใช่ไหม แม่อายุขนาดนี้แล้ว ยังเล่นมุกแบบนี้อีก น่าสมเพชจริง ๆ”
กู่ซิ่วถลึงตาใส่ “ฉันอุตส่าห์ทำอาหารให้กิน แกยังเื่มากอีก อยากกินก็กิน ไม่อยากกินก็ไม่ต้องกิน!”
สวี่เยว่ถามขึ้น “พี่ แม่ตกงานเพราะพี่ พี่ไม่รู้สึกผิดบ้างเหรอ?”
สวี่ฮุ่ยหันไปถามสวี่ต้าซาน “พ่อ พ่อคิดว่าที่แม่ตกงานเป็เพราะหนูหรือเป็เพราะแม่ทำตัวเอง?”
สวี่ต้าซานพูดอย่างเหนื่อยใจ “มันเป็แบบนี้ไปแล้ว อย่าทะเลาะกันเลย กินข้าวเถอะ”
สวี่ฮุ่ยเข้าใจ แม้ว่าสวี่ต้าซานจะรู้ว่าที่กู่ซิ่วตกงานเป็เพราะกู่ซิ่วทำตัวเอง แต่ในใจก็ยังคงโทษเธออยู่ดี
มันเป็แบบนี้เสมอ ขอแค่กู่ซิ่วกับสวี่เยว่มีปัญหาอะไรนิดหน่อย ขอแค่พวกเธอสองคนโทษเธอ สวี่ต้าซานก็จะโทษเธอตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็ความผิดของเธอหรือไม่ก็ตาม
สวี่ฮุ่ยหัวเราะเยาะสองที แล้วก้มหน้ากินข้าว
ทันใดนั้นก็มีเสียงเพื่อนบ้านดังมาจากข้างนอก “อ้าว กินข้าวกันแล้วเหรอ!”
ทุกคนในครอบครัวหันไปมองที่ประตู ป้าหลิวเพื่อนบ้านถือชามไข่ลวกพุทราอุ่น ๆ มาให้
ป้าหลิวกวาดสายตามองอาหารบนโต๊ะทันทีที่เข้ามา จากนั้นก็วางชามไข่ลวกพุทราลงตรงหน้าสวี่ฮุ่ย “ยายหลิวกลัวว่าหลานจะเสียเืเยอะ ไม่มีอาหารบำรุงกิน เลยตั้งใจต้มไข่ลวกพุทราให้หลานโดยเฉพาะ ไม่ต้องเกรงใจนะ!”
สวี่ฮุ่ยรับของขวัญจากป้าหลิวด้วยรอยยิ้ม
ป้าหลิวพูดว่า “หยงจื่อลูกชายป้ากินข้าวเสร็จแล้วจะไปจับปลา ถ้าจับปลาช่อนหรือปลาตะเพียนได้ ป้าจะต้มน้ำแกงปลาให้หลานกินตอนเย็น ไม่ใส่ซีอิ๊วด้วย”
สวี่ฮุ่ยรีบพูด “เมื่อคืนหนูก็ตกปลาช่อนได้ หนูต้มน้ำแกงปลาช่อนกินเองได้ค่ะ”
ป้าหลิวพูด “ปลาช่อนของหลานเก็บไว้ขายเถอะ กินน้ำแกงปลาช่อนที่ป้าต้มให้ก็พอ”
สวี่ฮุ่ยกล่าวขอบคุณ
ป้าหลิวโบกมือ “ขอบคุณทำไม? หลานสอนพิเศษให้หยงจื่อทุกวัน ป้ายังไม่เคยขอบคุณหลานเลย!”
ก่อนไป ป้าหลิวยังกำชับอีกว่า “ไข่ลวกชามนี้เป็ของหลานนะ อย่าแบ่งให้ใครกินเด็ดขาดล่ะ”
สวี่ฮุ่ยรับคำด้วยรอยยิ้ม
กู่ซิ่วกับสามีต่างก็ทำสีหน้าไม่ค่อยดี คำพูดของป้าหลิวตบหน้าพวกเขาเข้าอย่างจัง