ในวันถัดมา จวนองค์ชายหกมีแขกไม่ได้รับเชิญมาหาถึงเรือน
หลังจากมู่หลิงจูทราบเื่ที่มู่อวิ๋นจิ่นตกน้ำในทะเลสาบ จนนางพักผ่อนจนใกล้หายดีแล้ว มู่หลิงจูจึงร้องจะพบหน้า
ทุกคนในจวนองค์ชายหกต่างไม่ค่อยชอบคุณหนูสี่มู่หลิงจู ในวันนั้นที่พระชายาต้องตกน้ำเป็เพราะช่วยนางแท้ ผลลัพธ์คือคุณหนูสี่มู่หลิงจู ไม่มีแม้แต่คำขอบคุณ
คราวนี้ แม่นมเสิ่นได้พามู่หลิงจูมานั่งเก้าอี้ด้านข้างอยู่ในห้องโถง แล้วบอกว่าหากพระชายาตื่นแล้วจะมาหาเอง
มู่หลิงจูโกรธหน้าดำหน้าแดง บ่าวใช้คนหนึ่งเห็นเช่อเฟยอย่างนางแล้วไม่รีบทำตาที่้า ถึงแม้จะขัดเคืองอย่างมาก ทว่ากลับอาละวาดไม่ได้
พอมองไปรอบห้องโถงถึงได้รู้ว่าที่นี่งดงามมากกว่าจวนท่านอ๋องหรงอยู่มิน้อย
เห้อ!ขาดเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น นางอาจได่เป็นายหญิงที่นี่แล้ว เสียดายที่ปล่อยให้คนชั่วอย่างมู่อวิ๋นจิ่นแย่งองค์ชายหกไป
มู่หลิงจูนั่งรอสองชั่วยามเต็มๆ จนถึงยามอู่สือ[1]มู่อวิ๋นจิ่นจึงค่อยย่างกรายมาที่ห้องโถง
“พระชายาตื่นแล้ว จะรับอาหารเช้าหรืออาหารกลางวันเ้าคะ?” แม่นมเสิ่นรีบเดินออกมารับ
มู่อวิ๋นจิ่นยังคงง่วงหงาวหาวนอน จึงสนใจเฉพาะสิ่งที่แม่นมเสิ่นเอ่ยถาม ไม่ได้กวาดสายตามองว่ามีใครอื่นอยู่ที่นี่ด้วย ดังนั้นจึงถามขึ้นว่า “ฉู่ลี่ไปไหนแล้ว?”
“ฝ่าาเรียกองค์ชายเข้าเฝ้าั้แ่เช้าตรู่แล้วเ้าค่ะ”
“เอาล่ะ อย่างนั้นข้าทานข้าวก่อนแล้วกัน” มู่อวิ๋นจิ่นพูดจบลงก็หาวออกมา
มู่หลิงจูที่นั่งอยู่เก้าอี้ด้านข้าง ได้ยินมู่อวิ๋นจิ่นเอ่ยนามตรงๆ ของฉู่ลี่ ภายในใจกลับพลันเกิดความอิจฉาริษยาขึ้นมาจับใจ
“ท่านพี่……” มู่อวิ๋นจิ่นอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้น
พอได้ยินเสียงด้านข้างดังขึ้น มู่อวิ๋นจิ่นหยุดก้าวลงทันใด พอเหลือบตามองกลับพบว่ามู่หลิงจูอยู่ที่นี่
มู่อวิ๋นจิ่นลุกขึ้นเดินเข้ามาหา พร้อมด้วยชุ่ยอวิ๋น
“เ้ามาได้ยังไง?” สำหรับมู่หลิงจูน้องตัวดีคนนี้ มู่อวิ๋นจิ่นรู้สึกไม่จำเป็ต้องดีด้วย
มู่หลิงจูแสร้งยิ้มกลบเกลื่อน “หลิงจูอยากมาเยี่ยมท่านพี่ตั้งนานแล้ว ได้ยินว่า่นี้ท่านพี่ร่างกายไม่ค่อยสบาย จึงตั้งใจมาเยี่ยมหา”
“มาแค่เยี่ยมอย่างนั้น?” มู่อวิ๋นจิ่นมองดูมู่หลิงจูอย่างมีความนัย
มู่หลิงจูชะงัก ส่ายหน้าปฏิเสธ พอมองไปรอบด้านกลับพบบ่าวใช้ยืนอยู่เต็มห้อง “ยังมีอีกเื่ ที่อยากคุยส่วนตัวกับท่านพี่”
“ได้สิ รอข้าทานข้าวเสร็จแล้วค่อยว่ากัน” มู่อวิ๋นจิ่นเดินไปห้องทานอาหาร โดยไม่เชื้อเชิญมู่หลิงจูไปด้วย
มู่หลิงจูเกิดโมโหโกรธาขึ้นมาอีกครั้ง กลับไปนั่งเก้าอี้ด้วยความโหยหิว นางมานั่งอยู่ที่นี่ั้แ่เช้า แม้แต่น้ำหยดเดียวก็ไม่ได้ดื่มสักหยด
……
ภายในห้องทานอาหาร มู่อวิ๋นจิ่นทานย่างละเมียดละไม จื่อเซียงที่อยู่ด้านข้างอดมิได้ที่จะกระซิบกระซาบ “คุณหนู คุณหนูสี่มาหาถึงที่จวน ต้องมีเื่ไม่มีอย่างแน่นอนเ้าค่ะ!”
“ใช่” มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้าเห็นด้วย “เช่นนั้น รอดูแล้วกันว่านางจะคิดมาทำอะไรที่นี่”
มู่อวิ๋นจิ่นใช้เวลาทานอาหารเกินครึ่งชั่วยามไปแล้ว
พอมู่อวิ๋นจิ่นเดินออกจากห้องทานอาหาร มู่อวิ๋นจิ่นหันไปพูดกับมู่หลิงจู “ตามข้ามา”
มู่อวิ๋นจิ่นพามู่หลิงจูไปที่ห้องด้านข้าง ปิดประตูแนบสนิท มีเพียงนางสองคนที่อยู่ในนั้น
“พูดมา มีเื่อะไร?” มู่อวิ๋นจิ่นเปิดประเด็นถามตรงไปตรงมา
มู่หลิงจูได้แต่กัดริมฝีปาก มาถกแขนเสื้อด้านหน้ามู่อวิ๋นจิ่น เห็นแขนทั้งสองข้างมีรอยฟกช้ำม่วงเป้นเส้นๆ
“ั้แ่ที่แต่งเข้าจวนหรง ฉินซูหนิงหาสารพัดวิธีเล่นงานนาง ต่อหน้าพูดจาดิบดี ลับหลังด่าทอสนุกปาก”
“ท่านพี่ น้องขอร้องพี่แหละ น้องรู้ว่าเมื่อก่อนทำไม่ดีกับพี่ไว้มาก เมื่อคืนได้ยินว่าพี่ช่วยจวนอัครเสนาบดีมู่กลับสู่ภาวะปกติ เช่นนั้น พี่ต้องหาวิธีช่วยให้น้องหลุดออกจากกรงที่กังขังไว้ได้ใช่ไหม?”
มู่หลิงจูพูดไปพร้อมกับคุกเข่าวิงวอน
พอได้ยินเื่วุ่นวายนี้ มู่อวิ๋นจิ่นเอ่ยอย่างไม่ไว้หน้า “นี่เป็เื่ภายในของจวนหรง มาเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย?”
“น้อง……” มู่หลิงจูบีบน้ำตาไหลพราก “น้องทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ฉินซูหนิงร้ายกาจเหลือทน ครั้งนี้ตระกูลของเรารอดปลอดภัยมาได้ แต่ฝ่าากลับลงโทษตระกูลฉิน ฉินซูหนิงต้องมาระบายอารมณ์กับน้องเป็แน่”
“ห๊ะ?” มู่อวิ๋นจิ่นมองมู่อวิ๋นจิ่นด้วยสายตาประหลาดใจ “ความคิดจะกำจัดข้าให้พ้นทางไปั้แ่แรกนั้นไปไหนหมดแล้ว เื่จัดการฉินซูหนิง ทำไมน้องกลับอับจนหนทางแล้วล่ะ”
คนอย่างมู่หลิงจู มู่อวิ๋นจิ่นเห็นใจช่วยมาแล้วนับไม่ถ้วน ในครั้งนี้เมื่อเห็นมู่หลิงจูตกอยู่ในสภาพนี้ มีหรือที่จะอยู่นิ่งเฉย
เห็นท่าทางมู่อวิ๋นจิ่นไม่เต็มใจอยากช่วยเหลือ มู่หลิงจูก้มหน้าเศร้าเค้นน้ำตา “พี่ช่วยน้องครั้งนี้ น้องจะแลกกับความลับเื่หนึ่งเป็ยังไง? ”
……
เมื่อมู่หลิงจูเดินออกจากห้องด้านข้างด้วยใบหน้าแดงก่ำ ท่าทางไม่ดูเศร้าเหมือนเมื่อครู่ ริมฝีปากของนางยังสามารถกระหยิ่มยิ้มย่องได้
ระหว่างจะเดินทางกลับ มู่หลิงจูได้เห็นฉู่ลี่เดินผ่านประตูจวนเข้ามา
ในวันนี้ฉู่ลี่สวมชุดสีม่วง เกล้าผมสวมมงกุฎหยก ใบหน้านิ่งขรึม ความสง่างามแผ่ซ่านรอบกาย ให้ความรู้สึกสูงส่งยากจะอาจเอื้อมถึง
เห็นเพียงแวบเดียว จิตใจของมู่หลิงจูเต้นระรัวขึ้นมา หันไปทำความเคารพฉู่ลี่ “หลิงจูคารวะองค์ชายหกเพคะ”
ฉู่ลี่ทำเหมือนไม่ได้ยินเดินผ่านหน้านางไปประหนึ่งอากาศธาตุ ไม่นานนัก มู่หลิงจูได้ยินฉู่ลี่ดังขึ้น “มู่อวิ๋นจิ่นอยู่ไหน?”
เห็นฉู่ลี่กลับมาก็มาหามู่อวิ๋นจิ่น ภายในใจของมู่หลิงจูกลับคิดเพ้อฝันว่า ชื่อที่เรียกนั้นถ้าเป็ตัวนางคงดีมากเพียงใด
คนหนึ่งเพิ่งตื่นถามหาอีกฝ่าย คนหนึ่งเพิ่งกลับมาถามหาอีกฝ่าย
สองคนนี้เกิดความรู้สึกรักใคร่กันขึ้นมาจริงๆ แล้วหรือ
คิดไปคิดมา มู่หลิงจูกลับเดินลงส้นเสียงดังออกจากจวนองค์ชายหกอย่างไม่พอใจ
ในตอนนี้ มู่อวิ๋นจิ่นยังคงนั่งอยู่ในห้องด้านข้างดังเดิม ยกมือขึ้นกุมขมับ สาเหตุมาจากความลับที่มู่หลิงจูเล่าให้ฟังนี่เอง
นางเล่าว่า “ที่ฉินไท่เฟยล้มป่วยกะทันหัน เป็เพราะฉินมู่เยว่เอากู่ฉง[2]ที่มาชายแดน ให้เข้าสู่ร่างกายและกัดกินภายใน ไม่มีสิ่งใดที่จะช่วยชีวิตนางได้แล้ว”
มู่อวิ๋นจิ่นนึกถึงสภาพร่างกายของฉินไท่เฟยที่ซูบผอมและซีดขาวผิดปกติ พลันนึกถึงเื่ชั่วช้าต่างๆ ที่ตระกูลฉินสร้างไว้
นางพยายามปกป้องคนรอบตัว จนละเลยฉินไท่เฟยที่อยู่วังหลัง ด้วยคิดว่าที่นั่นเป็ที่ปลอดภัย กลับนึกไม่ถึงวาจะกลายเป็ที่เอาชีวิตของฉินไท่เฟย
ถึงแม้ตอนนี้นางกับฉินไท่เฟยมองหน้ากันไม่ติด ด้วยเื่ที่ขอร้องให้ช่วยจวนอัครเสนาบดีมู่ แต่การกระทำที่ต่ำช้าของคนตระกูลฉิน อาจคุกคามมาถึงตัวฉู่ลี่เป็ได้ หากนางทำตัวลอยเหนือปัญหา ปิดตาไม่รับรู้ เกรงว่าจิตใจยากจะสงบได้
คิดได้ดังนั้น ประตูห้องด้านข้างถูกฉู่ลี่ผลักออก
มู่อวิ๋นจิ่นจ้องไปที่ฉู่ลี่ คันปากอยากเล่าเื่งที่มู่หลิงจูเล่าให้ฟังเมื่อครู่ แต่คิดว่าฉินมู่เยว่มีส่วนเกี่ยวข้อง นางจึงลังเลใจขึ้นมา
“เ้าเป็อะไรไป?” ฉู่ลี่เห็นทำท่าจะพูดก็ไม่พูด
มู่อวิ๋นจิ่นลุกขึ้นจะเดินกลับเรือน
ฉู่ลี่พยักหน้าเข้าใจ “อาจารย์เฟิงเสวียนพักอยู่ที่เรือนิหราน เ้าสามารถไปเรียนวิชาทำลายค่ายกลกได้ทุกเมื่อ”
พอได้ยินวิชาทำลายค่ายกล มู่อวิ๋นจิ่นกลับเบะปากทันใด “เ้าทานข้าวหรือยัง?”
“ยังเลย อย่างนั้นข้าจะไปหาของทาน” ฉู่ลี่ส่ายหน้า
“พอดีเหมือนกันข้าจะได้แวะไปดูอาจารย์ที่เรือนิหรานเสียหน่อย ไม่รู้ว่าเป็อย่างไรบ้าง” มู่อวิ๋นจิ่นเอ่ย
ทั้งสองคนกล่าวจบ ต่างคนต่างเดินไปทำสิ่งที่ปรารถนา
……
เมื่อมาถึงเรือนิหราน มู่อวิ๋นจิ่นเห็นอาจารย์เฟิงเสวียนนั่งทำสมาธิบนก้อนหินใหญ่ที่ลาน
ชายชราผู้นี้คงไม่กลัวก้อนหินทิ่มแทงจนเจ็บกระมัง
พอมู่อวิ๋นจิ่นมองไปโดยรอบเห็นโต๊ะหินตั้งอยู่กลางลาน พร้อมกับอาหารเรียงรายอยู่จนเต็ม ก่อนจะหันไปมองอาจารย์เฟิงเสวียนอีกครั้ง
สงสัยอาจารย์เฟิงเสวียนกำลังพักผ่อนอยู่ มู่อวิ๋นจิ่นไม่อยากรบกวนจึงกลับหลังคิดเดินไปที่จวนของนาง
“นางหนู เ้าจะไปไหน?” เสียงของอาจารย์เฟิงเสวียนเอ่ยอย่างไม่ค่อยพอใจ
“โอ้ อาจารย์แสร้งทำเป็หลับเหรอ?” มู่อวิ๋นจิ่นหันกลับมายู่ปาก
อาจารย์เฟิงเสวียนะโจากบนก้อนหินใหญ่ลงมานั่งที่เก้าอี้กินด้านล่าง ยกสุราขึ้นมาจิบ คว้าตะเกียบคีบอาหาร “นางหนู ชีวิตพระชายาของเ้า ผ่านไปอย่างมีความสุขมิน้อย”
“แล้วยังไงต่อ?” มู่อวิ๋นจิ่นนั่งเงื่อหูฟังรอ
“จากนั้นก็……” อาจารย์เฟิงเสวียนนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนหันมาะโใส่หน้ามู่อวิ๋นจิ่น “จากนั้นเ้าก็ควรฝึกวิชาได้แล้ว! ข้ารอเ้าั้แ่เช้า ยังไม่เห็นเ้ากลับมาทบทวนวิชา!”
“ถ้าเ้าขืนยังสบายแบบนี้อยู่ ครึ่งปีก็เรียนไม่สำเร็จ!”
มู่อวิ๋นจิ่นรีบยกมือขึ้นมาแคะขี้หู “เอ๊ะ นับว่าอาจารย์ดูแปลกเหมือนคนเสียสติ อารมณ์แปรปรวนยิ่งกว่าสตรีเสียอีก”
“ไม่ต้องพูดมาก ไร้สาระ เริ่มฝึกได้แล้ว!”
“ได้ ทราบแล้ว” มู่อวิ๋นจิ่นตอบอย่างไม่ค่อยเต็มใจ
การฝึกฝนในวันนี้กับครั้งแรกที่ฝึกให้ความรู้สึกเหมือนกัน นางมิอาจควบคุมกายาและจิตใจให้เป็หนึ่งได้ หลายต่อหลายครั้งที่พยายามรวมิญญาดอกบัวดำในตัวให้เป็หนึ่งจนเกือบสำเร็จ แต่กลับขาดอีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้นถึงจะสำเร็จ
มู่อวิ๋นจิ่นลองครั้งแล้วครั้งเล่าจนเกิดความงุ่นง่านขึ้นภายในใจ
ที่แท้คนที่เกลียดขี้หน้าของนาง ล้วนรวมตัวอยู่ที่เมืองเตี๋ยฮวานี่เอง พอกลับมาจิตใจมิอาจรวมเป็หนึ่งได้สักที
ในตอนนี้มู่อวิ๋นจิ่นมิอาจสู้หน้าอาจารย์เฟิงเสวียน เกรงว่าเขาคงใกล้ะเิอารมณ์ใส่นางแล้ว
เมื่อฉู่ลี่เดินเข้ามาที่เรือนิหราน ภาพที่เห็นคือมู่อวิ๋นจิ่นหลับตาพยายามรวมพลังลมปราณ ทว่ากลับล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า
ทุกครั้งที่ล้มเหลว นางมักเหลือบตาขึ้นมองอาจารย์เฟิงเสวียนทุกครั้งไป
อาจารย์เฟิงเสวียนที่นั่งกำกับอยู่ด้านข้าง สีหน้าเริ่มไม่ทน ยกมือกอดอกสองข้าง กำหมัดแแ่จนสั่น ดูท่ามิอาจทนดูต่อไปได้อีกแล้ว
เพียงมองแค่ปราดเดียว ฉู่ลี่ทราบถึงสาเหตุได้ทันที
เมื่อเห็นฉู่ลี่เดินเข้ามา มู่อวิ๋นจิ่นเหมือนเห็นฟ้าประทานมาโปรด รีบหันไปกะพริบตาปริบๆ อย่างน่าสงสาร
ฉู่ลี่เห็นเข้าจิตใจเกิดหวั่นไหว ไอกระแอมขึ้นมา “เปิ่นหวงจื่อต้องพาเ้าเข้าวังแล้ว”
อาจารย์เฟิงเสวียนเหลือบตามอง ยกมือสะบัดไปมา “ไปเถอะ ไปเถอะ นางหนุวันนี้ทำอะไรไม่เข้าตาข้าทั้งนั้น”
ได้ยินที่อาจารย์เฟิงเสวียนเอ่ย มู่อวิ๋นจิ่นเหมือนได้ปลดพันธนาการ รีบลากฉู่ลี่ออกไปข้างนอก
พอก้าวออกจากเรือนิหรานแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นถึงถอนหายใจอย่างโล่งอก “พวกเราเข้าวังไปทำอะไร?”
“เ้านี่มันซื่อบื้อโดยเเท้” ฉู่ลี่ส่ายหน้าให้กับมู่อวิ๋นจิ่น ทำท่าจะเดินกลับเรือนิหราน
มู่อวิ๋นจิ่นเบิกตากโพลง คิดว่าหูฟาดไปที่ได้ยินฉู่ลี่ใช้คำว่า “ซื่อบื้อ”
เขาหมายถึงใคร?
[1] ยามอู่สือ คือ ่เวลาั้แ่ 11.00-13.00 น.
[2] กู่ฉง เป็ สัตว์พิษที่ผ่านพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ โดยนำแมลง สัตว์เลื้อยคลานต่างๆ ใส่ภาชนะแล้วปล่อยให้กัดกินกันเอง โดยตัวที่เหลือรอดมาได้ นับว่ามีพิษร้ายแรงที่สุด ซึ่งจะนำมาใช้วางพิษสังหารคนหรือใช้ถอนพิษก็ได้