“น้องสี่ นี่เ้าเป็เย่าซือ [1] อย่างนั้นหรือ เ้าช่างเก่งกาจยิ่งนัก!” จุนฟานพูดพลางมองไปที่จุนห่าว ดวงตาของเขาเปล่งประกายไปด้วยความชื่นชม ในแผ่นดินชางหลาน การเป็ตานซือ [2] นั้น ทั้งลึกลับและเป็ได้ยากยิ่ง แม้ว่าเย้าซือจะเป็ได้ยากไม่เท่าตานซือ แต่ก็มีอยู่ไม่มาก ผู้คนต่างเคารพและเทิดทูนพวกเขา ยามนี้เย้าซือตัวเป็ ๆ ได้ปรากฏอยู่ต่อหน้าจุนเช่อแล้ว จะไม่ให้เขาตกตะลึงและเลื่อมใสศรัทธาได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น ชายคนนี้คือจุนห่าว... สวะด้านการบำเพ็ญเพียรที่ใคร ๆ ก็รู้ไปทั่ว
เมื่อครู่นี้เขากังวลเื่อาการาเ็ของจุนเช่อมากเกินไป จนได้มองข้ามอะไรไปมากมาย เขามองไม่ออกว่าพลังปราณของจุนห่าวอยู่ในระดับใด แต่เขารับรู้ได้ถึงความร้ายกาจของจุนห่าว เพราะฉะนั้นระดับพลังของจุนห่าวจะต้องสูงกว่าเขาแล้วเป็แน่ และเขาก็ไม่รู้ว่าจุนห่าวบำเพ็ญเพียรอย่างไร ถึงเลื่อนขั้นได้เร็วขนาดนี้ หากบ้านตระกูลจุนรู้ พวกเขาคงจะตกตะลึงพรึงเพริดอย่างคาดไม่ถึงแน่ สวะด้านการบำเพ็ญเพียรในอดีต บัดนี้กลายเป็ผู้ที่มีพร์ที่สูงกว่าพวกเขาไปเสียแล้ว พวกเขาคงจะหน้าแตกไปตาม ๆ กัน
ไม่เพียงแค่พลังปราณเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็เย้าซืออีก จุนฟานคิดว่าจุนห่าวต้องเผอิญเจอโอกาสอันยิ่งใหญ่เป็แน่ ทว่าเขาไม่ได้อิจฉา แต่รู้สึกดีใจกับจุนห่าว ในที่สุดจุนห่าวก็สลัดฉายาว่าสวะออกไปได้ ช่างน่าเสียดาย... ที่จุนห่าวดันถูกท่านพ่อไล่ออกจากตระกูลไปเสียแล้ว จุนห่าวโดนมาหนักหนายิ่งกว่าพวกเขาอีก ท่านพ่อให้พวกเขาแยกออกมา และตอนนี้พวกเขาก็ถูกถอดชื่อออกจากตระกูลแล้วเช่นกัน เมื่อครั้งที่พวกเขา้าให้ตระกูลปกป้องคุ้มครองในตอนที่พวกเขากำลังเผชิญกับศัตรูที่แข็งแกร่ง แต่พวกเขากลับถูกตระกูลปล่อยปละละเลย พอคิดดูแล้ว ก็ช่างน่าผิดหวังนัก พวกเขาไม่ควรมาอดทนกับตระกูลแบบนี้ พอได้เห็นจุนห่าวในตอนนี้ จุนฟานก็นึกคิด ไม่รู้ว่าถ้าท่านพ่อรู้เื่จุนห่าวตอนนี้ เขาจะเสียใจภายหลังบ้างไหมนะ เขาคิดว่า หากท่านพ่อรู้ว่าจุนห่าวกลายเป็เย้าซือ แถมพลังปราณก็เลื่อนสูงขึ้นอีกล่ะก็ จะต้องเสียใจแทบเป็แทบตายอย่างแน่นอน
จุนห่าวเห็นสายตาของจุนฟานแฝงไปด้วยความเลื่อมใสศรัทธา ก็พลางนึกในใจว่า เพียงแค่นี้ท่านก็ศรัทธาข้าแล้วหรือ ความสามารถของข้ายังยิ่งใหญ่กว่านี้อีกมาก จุนห่าวพูดกับจุนฟานว่า “ใช่แล้ว บัดนี้ข้าคือเย้าซือ ถ้าหากวันใด พวกท่านจำเป็ต้องใช้ยาิญญาฟื้นฟู ก็เอาหญ้าิญญามาให้ข้า ข้าจะปรุงยาให้พวกท่านเอง แต่เมื่อถึงตอนนั้น ข้าจะคิดค่าธรรมเนียมเพียงครึ่งหนึ่ง”
“พวกเราคือพี่น้องกันแท้ ๆ ยังต้องจ่ายค่าธรรมเนียมอีกรึ ข้าคิดว่าเ้าจะปรุงยาให้พวกเราฟรี ๆ เสียอีก แม้แต่หญ้าิญญาก็ไม่ได้ใช้ของเ้าแท้ ๆ” จุนฟานกล่าว อาการาเ็ของจุนเช่อฟื้นตัวแล้ว แรงกดดันในใจของจุนฟานจึงลดลงไปบ้าง กลับกลายเป็คนที่ไม่ค่อยคิดอะไรมากเช่นเดิม และเริ่มคิดจะหยอกจุนห่าวเล่น
“ท่านไม่เคยได้ยินคำที่ว่า ‘พี่น้องแท้ ๆ พรุ่งนี้ค่อยคิดบัญชี’ หรือ? พูดอีกอย่างก็คือ ข้าต้องเก็บเงินจากท่านเป็สองเท่าอย่างไรล่ะ” จุนห่าวถามกลับ พอได้เห็นจุนฟานกลับมาชีวิตชีวา จุนห่าวเองก็โล่งใจ แต่เขาพบว่า ความเศร้าโศกในสายตาของจุนฟานยังไม่ได้ลดลงไปซักเท่าไหร่ เหมือนยังคงกดความรู้สึกดื้อด้านเอาไว้ ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่ามีเื่อะไรเกิดขึ้นกับจุนฟานกันแน่ ถึงไม่อาจสลัดความเศร้าที่แฝงอยู่ในดวงตาได้
“เฮ้อ น้องสี่ เ้านี่ช่างใจดำเสียจริง” จุนฟานกล่าวอย่างเกินจริง
“ท่านพูดถูก จิตใจของข้าน่ะ ก็ดำจริง ๆ นั่นแหละ ยามนี้ดำจนมืดมิดเสียด้วย ข้ารู้จักแต่เงิน หาได้รู้จักคนไม่” จุนห่าวเอ่ยขึ้น
“น้องสาม เ้าควรจะพอใจได้แล้ว! ก่อนหน้านี้ถึงเ้ามีเงินและหญ้าิญญา แต่ก็ไม่มีใครปรุงยาให้เ้าได้นะ แม้แต่เย้าซือก็ไม่เคยจะพบเจอ แต่ตอนนี้เย้าซือยืนอยู่ต่อหน้าเ้าตัวเป็ ๆ แท้ ๆ เ้าควรจะพอใจได้แล้ว อย่างน้อย ๆ ที่เ้าโตมาจนถึงตอนนี้ ในที่สุดก็ได้เจอเย้าซือสักที” จุนเช่อพูดแทรกขึ้น พอได้ฟังน้องชายทั้งสองต่อปากต่อคำกัน จิตใจของจุนเช่อก็ดีขึ้นไม่น้อย
หลังจากที่จุนห่าวและจุนฟานส่งเสียงดังเซ็งแซ่กันครู่หนึ่ง บรรยากาศที่ตึงเครียดและหดหู่เมื่อครู่ก็บรรเทาลงมาก จุนห่าวและจุนฟานก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นไม่น้อย เมื่อเทียบกับตอนที่เพิ่งมาถึง ณ เวลานั้นสายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง แต่ตอนนี้สายตากลับมามีความหวังขึ้นอีกครั้ง เมื่อมีความหวังย่อมมีพลัง ปัญหาย่อมจะไม่เป็ปัญหาอีกต่อไป
หานรุ่ยกำลังวุ่นอยู่กับการเตรียมอาหารเย็น มีจุนตงและจุนหนานเป็ผู้ช่วยอยู่ในห้องครัว แต่แท้จริงแล้วพวกเขามาช่วยเพิ่มปัญหาซะมากกว่า หานรุ่ยบอกพวกเขาหลายครั้งแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่สนใจ สุดท้ายเป็เพราะจิตใจที่กตัญญูของเด็ก ๆ แม้ว่าลูก ๆ จะช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่หานรุ่ยก็รับรู้ได้ถึงความตั้งใจจริง
จุนหนานบ่นกับจุนตงอย่างไม่พอใจว่า “วันนี้ท่านแม่เป็คนทำอาหารอีกแล้วหรือ ท่านแม่ทำอาหารไม่อร่อยอ่ะ”
จุนตงก็ไม่ชอบอาหารที่หานรุ่ยทำเช่นกัน แต่เขารู้ว่าท่านพ่อยังไม่มีเวลาทำอาหารให้ในตอนนี้ ถ้าท่านพ่อไม่ทำ พวกเขาก็ต้องทนหิว ถ้าให้เลือกระหว่างอาหารไม่อร่อยกับทนหิว จุนตงคงจะเลือกอย่างแรก เมื่อคิดถึงเื่นี้ จุนตงจึงกล่าวกับจุนหนานว่า “แม้จะไม่อร่อย ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรกินนะ เ้าเลิกจู้จี้จุกจิกได้แล้ว หากไม่ยอม เ้าก็ต้องทนหิว ข้าคิดว่าอาหารที่ท่านแม่ทำก็พอได้อยู่”
หานรุ่ยที่กำลังยุ่ง ได้ยินการสนทนาระหว่างลูกชายทั้งสองก็ได้แต่ส่ายหัวและแอบคิดว่า จุนห่าวเลี้ยงพวกเขาให้คิดแต่เื่กิน เขาก็รู้ตัวว่าตัวเองทำอาหารไม่อร่อย แต่จุนห่าวบอกว่าเขาทำอาหารอร่อยนี่ อย่างไรก็ตาม หานรุ่ยคิดว่า จุนห่าวนี่ช่างลืมตาพูดคำบอด [3] เสียจริง
หานรุ่ยเห็นว่าในห้องโถงไม่มีเื่อะไรแล้ว จึงมาทำอาหารที่ห้องครัว เห็นอยู่ว่าจุนห่าวคงไม่ทำอาหารต่อแล้ว และการที่ครอบครัวจะไม่กินข้าวก็คงจะไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นการที่มีคนได้รับาเ็ ยิ่งต้องได้รับการบำรุงร่างกาย เพราะฉะนั้นจึงมีแค่เขามีลงมือทำอาหารได้ในตอนนี้ จะอร่อยหรือไม่อร่อยก็ช่าง แค่ทำให้กินอิ่มและไม่หิวก็พอแล้ว หานรุ่ยคิดในใจ ดูจากรูปการณ์แล้ว พี่รองกับพี่สามคงต้องพักอยู่ที่นี่ซักพักหนึ่ง
หานรุ่ยพูดกับลูกทั้งสองที่กำลังพูดคุยซุบซิบข้างกันว่า “ในเมื่อพวกเ้าคิดว่าข้าทำอาหารไม่อร่อย ถ้าอย่างนั้นพวกเ้าไม่ต้องกินก็ได้ ถือว่าเป็การลดความอ้วนละกัน พวกเ้าอ้วนเกินไปแล้ว ไม่กินสักมื้อคงไม่เป็ไรหรอก” หานรุ่ยคิดว่าลูกทั้งสองคนอ้วนไปแล้วจริง ๆ พวกเขามีพุงน้อย ๆ ถึงตอนนี้พวกเขาอาจจะยังไม่สนใจเื่นี้ก็จริง แต่ถ้าหากหลังจากนี้กลายเป็คนอ้วนขึ้นมา ทั้งสองคนคงไม่อาจแต่งงานกับใครได้ อีกทั้งเด็กทั้งสองยังไม่อาจกินของที่มีพลังิญญาสูงเกินไปได้ พวกเขาจึงกินเนื้อสัตว์ธรรมดาไปเยอะ เพราะการกินเนื้อสัตว์ธรรมดาเยอะเกินไปนี่แหละ ทำให้ยิ่งเพิ่มความซับซ้อนในร่างกาย ซึ่งไม่ดีต่อการบำเพ็ญเพียรในอนาคต ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงควรกินให้น้อยลง ต่อให้พวกเขาไม่กินเนื้อธรรมดาพวกนี้ แต่กินแต่ของที่มีพลังิญญาก็ถือว่ามีสารอาหารเพียงพอสำหรับพัฒนาการของร่างกายพวกเขาแล้ว
พอได้ฟังหานรุ่ยกล่าวเช่นนั้นแล้ว จุนตงและจุนหนานก็มองหานรุ่ยด้วยสายตาอันเ็ป หานรุ่ยที่ถูกสายตาทั้ง 2 คู่จดจ้อง ก็กล่าวขึ้นมาอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “ข้าทำเพื่อพวกเ้าต่างหาก พวกเ้าน่ะ อ้วนเกินไปแล้ว เกรงว่าจะไม่ได้แต่งงานน่ะสิ และที่สำคัญที่สุด คือ พวกเ้ากินแต่ของที่ไม่มีพลังิญญา ซึ่งมันไม่ดีต่อการบำเพ็ญเพียรในภายภาคหน้านะ”
“ข้าจะไม่แต่งงาน ถ้าแต่งไป ก็จะไม่ได้กินของที่ท่านพ่อทำแล้วน่ะสิ” จุนหนานกล่าวพลางมองหานรุ่ย จุนหนานคิดในใจว่า ถ้าแต่งงานแล้วต้องจากท่านพ่อท่านแม่ไป เขาก็จะไม่แต่ง สู้อยู่กินของอร่อย ๆ กับท่านพ่อท่านและแม่ไปวัน ๆ ดีกว่าเยอะ
หานรุ่ยและจุนตง: ...... จุนหนานห่วงแต่เื่กิน หวังว่าในอนาคตจะไม่ถูกคนลักพาตัว เพราะของกินก็แล้วกันนะ
“ท่านแม่ ข้าไม่อ้วน ถึงแม้ว่าข้าจะกินเยอะ แต่ข้าก็ออกกำลังกายกับท่านพ่อทุกวันนะ” จุนตงพูดด้วยท่าทางเข้มแข็งดูมีพลัง ไม่เหมือนจุนหนานที่มักจะี้เี เขาอยากจะมีรูปร่างที่ดีเช่นเดียวกับท่านพ่อและท่านแม่ของเขา
“ไม่อ้วน แล้วนี่อะไร?” หานรุ่ยลูบพุงน้อย ๆ ของจุนตง แม้ว่าพุงของจุนตงจะไม่ใหญ่เท่าพุงของจุนหนาน แต่ก็ถือว่ามี หานรุ่ยฟังเด็กทั้งสองแล้วคิดในใจว่า ประเด็นของเื่นี้ถูกเด็กสองคนบิดเบือนไปหมดแล้ว อันที่จริงยังไม่มีใครสนใจที่เขาพูดว่า ‘กินของที่ไม่มีพลังิญญาจะไม่ดีต่อการบำเพ็ญเพียร’ เลย ห่วงแต่กินกันทั้งนั้น
“ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้ข้าจะฝึกเพิ่มเป็สองเท่า” จุนตงกล่าวด้วยใบหน้าแดง ๆ ดูเหมือนว่าความเข้มงวดในการออกกำลังกายของเขายังคงไม่พอ
จุนหนานพูดด้วยท่าทางที่เข้มแข็งและมีพลังเช่นกันว่า “ท่านแม่ จากนี้ไปข้าจะไม่ี้เีแล้ว ข้าจะตั้งใจออกกำลังกาย และจะไม่กลายเป็คนอ้วนแน่นอน”
“พวกเ้ากินให้น้อยลงก็พอ ไม่ต้องหักโหมมากนักหรอก” หานรุ่ยกล่าว การควบคุมอาหารของเด็กสองนี้ช่างเป็เื่ที่ยากยิ่งนัก
“ไม่ได้!” เด็กทั้งสองกล่าวเป็เสียงเดียวกัน พวกเขาคิดในใจว่า ท่านแม่โหดร้ายเกินไปแล้ว ทำไมต้องกีดกันสิทธิ์ในการเพลิดเพลินกับการกินของพวกเขาด้วย
หานรุ่ยนึกในใจ เด็กสองคนนี้เห็นแก่กินจนดื้อเอามาก ๆ ต้องโทษจุนห่าวที่ทำอาหารอร่อยเกินไปซะแล้ว
เขาพูดพลางทำอาหารไปจนอาหารเสร็จ และตั้งโต๊ะเรียบร้อย พร้อมกล่าวกับจุนตงกับจุนหนานว่า “ไปเรียกท่านพ่อและท่านลุงทั้งสองมากินข้าวเร็ว"
[1] เย้าซือ คือ นักจ่ายยา เปรียบเสมือนเภสัชกรในปัจจุบัน
[2] ตานซือ คือ นักปรุงยา เปรียบเสมือนแพทย์ในปัจจุบัน
[3] ลืมตาพูดคำบอด เป็สำนวนในภาษาจีน มีความหมายว่า แม้รู้ว่าสิ่งนั้นไม่ดี แต่ก็ยังกล่าวว่าสิ่งนั้นดี