ตำหนักซวนยื่อคือหนึ่งในตำหนักใหญ่ที่เลื่องชื่อที่สุดจากหลายๆ แห่งของวังหลวง ซึ่งมักจะเป็สถานที่จัดกิจกรรมของราชวงศ์ ที่แห่งนี้สุดแสนอลังการ ตระหง่านโดดเด่น เพียงแค่ยืนอยู่ด้านนอกตำหนักก็ทำให้ผู้คนรับรู้ได้ถึงพลังที่น่าเกรงขามหนึ่งเดียวของราชวงศ์
ขณะนั้นที่ตำหนักซวนยื่อ ผู้คนต่างมากันอย่างเนืองแน่นั้แ่เช้า เหล่าผู้ฝึกยุทธ์จากทุกกองกำลังของเมืองหลวงต่างก็ทยอยมาถึงที่หมาย เพื่อเข้าร่วมพิธีหมั้นระหว่างจ้าวซินอี๋แห่งอาณาจักรจ้าวและเว่ยฉีเทียนแห่งอาณาจักรเว่ย
บนที่นั่งหลักมีเพียงสองคนเท่านั้น อายุอานามยังไม่ถึง 25 ปี ทั้งสองสวมชุดคลุมยาวลายงูทองคำ บนศีรษะยังสวมมงกุฎทองกิเลน เห็นชัดว่าไม่ใช่คนธรรมดา เพียงนั่งอยู่ตรงนั้นก็ให้ความรู้สึกกดดันเล็กน้อย
ต่อหน้าคนรุ่นเยาว์สองคนนี้ทำให้หลาย ๆ คนไร้ซึ่งจิตใจที่หยิ่งในศักดิ์ศรี มิกล้าต่อต้านแม้แต่น้อย ซึ่งคนรุ่นเยาว์สองคนนี้ก็คือบุตรหัวแก้วหัวแหวนทั้งสองคนขององค์าาจ้าว องค์ชายใหญ่จ้าวหยางและองค์ชายรองจ้าวเยี่ย
บัดนี้องค์าาจ้าวป่วยหนัก แม้แต่งานพิธีที่สลักสำคัญมากเช่นนี้ยังมอบหมายให้ทั้งสองคนมาจัดการแทนโดยที่ไม่ปรากฏตัว
ตำแหน่งที่นั่งถัดจากจ้าวหยางและจ้าวเยี่ยที่นั่งอยู่นั้นก็นำโดยเซิ่งอ๋องผู้เป็ขุนนางผู้ทรงอำนาจในราชสำนัก พวกเขาต่างดำรงตำแหน่งระดับสูงในราชสำนักกันทั้งสิ้น แต่ละคนต่างแต่งกายด้วยชุดไหมเลอค่า แสดงให้เห็นถึงยศถาบรรดาศักดิ์
ฝั่งตรงข้ามกับขุนนางใหญ่คือคณะทูตและขุนนางจากอาณาจักรเว่ย ในบรรดาคนเหล่านี้รวมทั้งสองพี่น้องเว่ยฉีเทียนและเว่ยซินหย่า วันนี้เว่ยฉีเทียนสวมชุดที่ค่อนข้างสง่างาม มีแสงเปล่งประกายรำไร ทำให้เป็ที่สนใจของผู้คนในงานพิธี จำต้องบอกว่าหากพิจารณาจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว เว่ยฉีเทียนยังคงหล่อเหลา หากไม่รู้จักเขาคนนี้ก็ยากที่จะเอาเขาไปเปรียบเทียบกับพวกลูกผู้ลากมากดีที่ทำอะไรไม่เป็พวกนั้นได้
นอกเหนือจากนี้แล้วผู้ฝึกยุทธ์จากสำนักศึกษาเสินเจียง หอชิงหลง สำนักอี่เทียน และกองกำลังต่าง ๆ ของเมืองหลวงต่างก็มาถึงงานพิธีแล้วเช่นกัน
“พี่เว่ย หากมีตรงไหนที่ดูแลไม่ดี ข้าต้องขออภัยด้วย ท่านกับข้ามาดื่มกันสักจอกเถอะ!” จ้าวหยางยกแก้วเหล้าขึ้นมา แล้วกล่าวกับเว่ยฉีเทียนที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งรองด้วยรอยยิ้ม
เว่ยฉีเทียนยิ้มจาง ๆ พร้อมยกแก้วขึ้นมาเช่นกัน “เหตุใดพี่จ้าวจึงเกรงใจเช่นนั้นเล่า หลังจากวันนี้ไป ท่านกับข้าก็ถือเป็ครอบครัวเดียวกันแล้ว ครอบครัวเดียวกันไม่ต้องพูดจาไม่เป็กันเองเช่นนี้หรอก”
ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะมีความสุขเป็อย่างมาก โดยเฉพาะเว่ยฉีเทียน เขาจะได้หมั้นหมายกับจ้าวซินอี๋ผู้ซึ่งเป็หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งเจ็ดอาณาจักรแดนชิงอวิ๋น แม้ว่าเขาจะผ่านผู้หญิงมานับไม่ถ้วน รวมถึงหญิงงามที่พบเจอกันอย่างไม่ขาดสาย แต่เขาในตอนนี้ก็ยากที่จะระงับความตื่นเต้นในใจได้
ด้านองค์ชายรองจ้าวเยี่ย เขานั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสงบเสงี่ยม ปฏิสัมพันธ์กับผู้คนน้อยครั้ง จึงไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“ทุกท่าน วันนี้ถือเป็วันหมั้นหมายขององค์หญิงอาณาจักรจ้าวและองค์ชายเว่ยฉีเทียนอาณาจักรเว่ยที่หลายคนต่างจับตามอง ผู้ฝึกยุทธ์จากทุกกองกำลังทั่วทั้งเมืองหลวงก็มาถึงกันแล้ว เพื่อมาร่วมยินดีเฉลิมฉลองในครั้งนี้”
เมื่อผู้ฝึกยุทธ์จากทุก ๆ กองกำลังมาถึงครบแล้ว องค์ชายใหญ่จ้าวหยางลุกขึ้นจากที่นั่งและกล่าวเช่นนั้น
“วันที่น่ายินดียิ่งเช่นนี้ องค์าาทรงมีราชโองการให้ลดภาษีลงครึ่งหนึ่ง ให้ชาวอาณาจักรจ้าวได้ระลึกถึงบุญคุณอันยิ่งใหญ่ของราชวงศ์” จ้าวหยางกวาดตามองทุกคนพร้อมกับกล่าวต่อ ขุนนางใหญ่ทุกท่านต่างพากันโค้งตัวคำนับ เพื่อขอบพระทัยในความเฉลียวฉลาดขององค์าาที่คิดเพื่อปวงประชา
“วันนี้ข้าคือผู้ดำเนินการพิธีหมั้นระหว่างองค์หญิงซินอี๋แห่งอาณาจักรจ้าวกับองค์ชายเว่ยฉีเทียนแห่งอาณาจักรเว่ยในนามตัวแทนองค์าาจ้าว ทั้งยังเลือกวันจัดพิธีอภิเษกแล้ว หลังจากวันนี้ไปสองอาณาจักรจะปรองดองกันอย่างแน่นแฟ้น ร่วมดื่มด่ำไปกับความเจริญรุ่งเรือง” จ้าวหยางกล่าวเสียงดัง ถือว่าปลุกเร้าอารมณ์ได้เป็อย่างมาก เว่ยฉีเทียนก็ลุกขึ้นจากที่นั่งพร้อมใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความเบิกบาน จากนั้นทั้งสองคนเดินมาที่ใจกลางตำหนักพร้อมกัน
ส่วนที่สำคัญที่สุดในพิธีหมั้นก็คือทั้งสองฝ่ายลงลายลักษณ์อักษรบนหนังสือหมั้น ซึ่งเว่ยฉีเทียนทำในส่วนของตนเอง ส่วนอาณาจักรจ้าวเป็องค์ชายใหญ่จ้าวหยางที่มาเป็ตัวแทนในการลงลายลักษณ์อักษร เมื่อหนังสือหมั้นลงลายลักษณ์อักษรเสร็จสิ้น นั่นหมายความว่าจ้าวซินอี๋จะต้องแต่งเข้าอาณาจักรเว่ย โดยไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ เว้นแต่ว่าจะมีความแข็งแกร่งของใครบางคนที่สามารถสั่นคลอนความเกรงขามระหว่างสองอาณาจักรนี้ได้ เพื่อหยุดยั้งงานแต่งของสองคน
แน่นอนว่าเื่เช่นนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นจริง อาณาจักรเว่ยเจริญรุ่งเรือง แม้จะมีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะอยู่หลายคน แต่ศักยภาพจักต้องแข็งแกร่งจริง ๆ จึงจะทำให้อาณาจักรเว่ยยอมจำนน อย่างน้อยอาณาจักรจ้าวในตอนนี้ก็ไม่มีผู้ใดทำได้
“พี่เว่ย ท่านกับข้าลงลายลักษณ์อักษรบนหนังสือหมั้นเถิด!” จ้าวหยางหยิบพู่กันหยกด้ามหนึ่งขึ้นมา แล้วหันไปกล่าวกับเว่ยฉีเทียนด้วยรอยยิ้ม
“ได้!” เว่ยฉีเทียนพยักหน้า จากนั้นหยิบพู่กันหยกขึ้นมาเช่นกัน เตรียมจะลงลายลักษณ์อักษรบนหนังสือหมั้น แต่ขณะนั้นมีเสียงหนึ่งดังมาจากด้านนอกตำหนักใหญ่ “ช้าก่อน!”
เสียงนี้ไม่ดังมากนัก แต่ทุกคนในที่แห่งนั้นกลับได้ยินชัดเจนแจ่มแจ้ง จากนั้นทุกคนหันไปมองที่ทางเข้าตำหนัก ก่อนจะเห็นผู้ฝึกยุทธ์กลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา ซึ่งมีหลายสิบคน
“ผู้ฝึกยุทธ์สำนักยุทธ์เทียนเสวียนมาถึงแล้ว!” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งจำผู้มาเยือนได้ในทันที แววตาจึงเป็ประกาย ทันใดนั้นสายตาเย็นเยือกหลายคู่มองไปที่เย่เฟิง ทั้งยังแฝงไปด้วยความอาฆาต ซึ่งเ้าของสายตาเหล่านี้มีทั้งองค์ชายใหญ่จ้าวหยาง เซิ่งอ๋อง ตระกูลตู๋กู ตระกูลเฉิน ตระกูลหวัง นิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่ และคนอื่น ๆ หรือกองกำลังที่มีความแค้นกับเย่เฟิง พวกเขาต่าง้าให้เย่เฟิงตาย แต่กลับหาโอกาสไม่ได้เสียที
“สวะนี่ก็มาด้วยหรือ!”
เว่ยฉีเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะมองเย่เฟิงพร้อมเผยสีหน้าดูถูกระคนขบขันเล็กน้อย ตอนนั้นลูกน้องของเขาสังหารเย่เฟิงไม่สำเร็จก็ช่างปะไร แต่วันนี้เขาเว่ยฉีเทียนจะให้เย่เฟิงได้ลิ้มรสของการถูกแย่งของรักไปบ้าง โดยจะแย่งไปต่อหน้าต่อตาเย่เฟิง เพียงคิดเช่นนี้ในใจของเว่ยฉีเทียนก็เปี่ยมไปด้วยความสุขแล้ว
ในฐานะองค์ชายแห่งอาณาจักรเว่ย ั้แ่เล็กจนโตสิ่งที่เขาเว่ยฉีเทียน้าก็ย่อมต้องได้มา ซึ่งเว่ยฉีเทียนมีความชอบพิเศษอย่างหนึ่ง นั่นคือชอบแย่งของของคนอื่น โดยเฉพาะผู้หญิง จ้าวซินอี๋สวยงดงามและสูงส่งเช่นนี้ เว่ยฉีเทียนจ้องมานานและในที่สุดวันนี้ก็สมปรารถนาเสียที
ดังนั้นแม้เย่เฟิง้าจะหยุดการลงลายลักษณ์อักษรบนหนังสือหมั้นระหว่างเขากับจ้าวหยาง เว่ยฉีเทียนกลับไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย เพราะเขารู้ว่าไม่มีผู้ใดมาเปลี่ยนจุดจบได้ เย่เฟิงก็ยิ่งทำไม่ได้เช่นกัน!
แน่นอนว่าเย่เฟิงรับรู้ได้ถึงสายตาเยาะเย้ยของเว่ยฉีเทียนที่มองมาที่เขา พร้อมเผยรอยยิ้มเย็นเยือก
“สำนักยุทธ์เทียนเสวียน พวกเ้ามาที่นี่ได้อย่างไร? ดูเหมือนราชวงศ์ข้าจะไม่ได้เชิญมานะ พวกเ้ามาที่นี่เพื่อทำลายงานพิธีหมั้นนี้โดยพลการ คิดว่าจะมีโทษสถานใด?” จ้าวหยางเผยสีหน้าประหลาดใจ เขามั่นใจว่าตนไม่ได้วางแผนเชื้อเชิญสำนักยุทธ์เทียนเสวียนมาเข้าร่วมด้วย มิหนำซ้ำยิ่งไม่ได้ส่งเทียบเชิญไปยังสำนักยุทธ์เทียนเสวียน เพราะกลัวว่าการมาของเย่เฟิงจะก่อให้เกิดความวุ่นวาย แต่จ้าวหยางเป็คนเฉลียวฉลาด เพียงแค่ประโยคสั้น ๆ ก็สามารถกล่าวโทษสำนักยุทธ์เทียนเสวียนว่ามาก่อความวุ่นวายต่ออาณาจักรจ้าวได้แล้ว
“องค์ชายใหญ่ อย่าบอกนะว่าเทียบเชิญนี้ไม่ใช่ทางราชวงศ์ท่านเป็ผู้ส่งมาให้!” เย่เฟิงได้ยินเช่นนั้นก็แสยะยิ้ม จากนั้นใช้พลังหยวนส่งเทียบเชิญที่สำนักยุทธ์เทียนเสวียนได้รับมาไปให้จ้าวหยาง
จ้าวหยางรับเทียบเชิญ ซึ่งเป็เทียบเชิญที่ถูกส่งจากราชวงศ์อย่างไม่ต้องสงสัย พิสูจน์ได้จากตราประทับัที่อยู่บนนั้น เพราะไม่มีผู้ใดสามารถปลอมแปลงสิ่งนี้ได้ นี่ทำให้เขาขมวดคิ้ว จู่ ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าต้องเป็ฝีมือขององค์ชายรองจ้าวเยี่ยเป็แน่ ด้วยเหตุนี้เขาจึงยังใจเย็นอยู่ได้
“ในเมื่อมาแล้ว งั้นก็เชิญนั่งเถอะ แต่อย่าทำลายพิธีหมั้นเชียวละ” สีหน้าแววตาของจ้าวหยางดูไม่ค่อยดี เขาจำต้องให้พวกเย่เฟิงอยู่ต่อ
ทุกคนล้วนได้กลิ่นแปลกๆ ต่างไปจากปกติ ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยได้ยินเื่ของเย่เฟิงกับจ้าวซินอี๋มาบ้าง จึงรู้สึกว่าการที่เย่เฟิงมาพร้อมกับศิษย์สำนักยุทธ์เทียนเสวียนมากมายเช่นนี้ ต้องไม่ได้มาเข้าร่วมพิธีหมั้นง่าย ๆ เช่นนั้นเป็แน่
“แผนการหมั้นหมาย? ช่างน่าขำสิ้นดี!” เย่เฟิงกล่าวขณะมองจ้าวหยางด้วยรอยยิ้มเย็นเยือก ก่อนจะกล่าวต่อไปว่า “งั้นข้าถามท่านหน่อย แผนการหมั้นหมายที่พวกท่านเอ่ยถึง เคยถามความเห็นชอบจากองค์หญิงบ้างหรือไม่?”
“องค์าาจ้าวทรงเมตตา มีพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ เื่พิธีหมั้นย่อมถามความเห็นชอบจากน้องเล็กอยู่แล้ว!” จ้าวหยางกล่าวอย่างเ็าพร้อมแสงคมกริบปะทุจากดวงตา
“องค์หญิงซินอี๋ยินดีหมั้นหมายกับข้า แล้วเ้ามีสิทธิ์อะไรมาซักถาม?” เว่ยฉีเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก
“พวกไม้เป็โล้เป็พายอย่างเ้า หากไม่มีตำแหน่งองค์ชายแห่งอาณาจักรเว่ย เ้านับเป็สิ่งใดกัน แล้วคู่ควรหมั้นกับองค์หญิงหรือ? คางคกอยากกินเนื้อห่านชัด ๆ คาดว่าที่อาณาจักรจ้าวเห็นด้วยกับอาณาจักรเว่ย ก็คงถูกอาณาจักรเว่ยเ้าข่มขู่ละสิ หาไม่แล้วแม้แต่คนที่คอยหิ้วรองเท้าให้องค์หญิง เ้าก็ยังไม่คู่ควรเลย แต่กลับกล้ามายืนอยู่ที่นี่เนี่ยนะ?” เย่เฟิงกล่าวขณะมองเว่ยฉีเทียนด้วยสายตาจะกินเืกินเนื้อก็ไม่ปาน นับั้แ่เว่ยฉีเทียนส่งผู้ฝึกยุทธ์ไล่ล่าเขา ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนก็มาถึงจุดที่ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง ดังนั้นแม้อีกฝ่ายจะเป็ถึงองค์ชายอาณาจักรเว่ย แต่เย่เฟิงก็ไม่ไว้หน้าอีกฝ่ายแม้แต่นิด
“เ้า...” เมื่อถูกเย่เฟิงเรียกว่าพวกไม้เป็โล้เป็พาย จู่ ๆ ก็ทำให้เว่ยฉีเทียนหน้าแดงก่ำขึ้นมา แต่ไม่รู้ควรตอบโต้กลับไปอย่างไรดี
“เ้าหมอนี่...” ทุกคนได้ยินคำพูดอันกล้าหาญของเย่เฟิงต่างก็ตะลึงงัน ถึงกับไปไม่เป็เพราะความใจกล้าของเย่เฟิงกันเลยทีเดียว
“อีกฝ่ายคือองค์ชายแห่งอาณาจักรเว่ย แต่ไม่นึกว่าเย่เฟิงผู้นี้จะดูถูกอีกฝ่ายเช่นนี้ต่อหน้าผู้คน มิหนำซ้ำยังทำลายพิธีหมั้น เขาคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วกระมัง!” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าว พร้อมดวงตาฉายแววน่าเหลือเชื่อ
“เย่เฟิงผู้นี้บ้าระห่ำมาตลอด เ้าลืมไปแล้วหรือ? ที่เวทีประลองในงานชุมนุมหวงปั่ง เขายังปฏิเสธคำเชิญของผู้าุโเฉียนแห่งสำนักชิงอวิ๋นเลย ก็เลยได้รับการท้าทายจากผู้ฝึกยุทธ์ทั่วแดนชิงอวิ๋น ทั้งยังฆ่าพลเหล็กกล้าหนึ่งในสี่มหาพลแห่งอาณาจักรเว่ย เื่เช่นนี้เย่เฟิงก็ทำได้ แล้วยังมีอะไรที่เขาคนนี้ทำไม่ได้เล่า?” คนผู้หนึ่งกล่าวอธิบาย พวกเขาต่างก็เคยเห็นความบ้าระห่ำของเย่เฟิงกับตาตัวเอง จึงรู้ว่าด้วยนิสัยของเย่เฟิง ก็ไม่มีเื่อะไรที่เขาทำไม่ได้
เมื่อเทียบกับผู้าุโเฉียนแห่งสำนักชิงอวิ๋น เว่ยฉีเทียนไม่นับว่าเป็สิ่งใด การที่เย่เฟิงกล้าไม่ไว้หน้าเว่ยฉีเทียนเช่นนี้ถึอเป็เื่ปกติ!
“คนไร้ค่า คิดไม่ถึงว่าเ้าจะกล้าพูดกับองค์ชายแห่งอาณาจักรเว่ยเช่นนี้ ช่างเนรคุณเสียจริง ก่อนหน้านี้ข้าเคยพูดไว้แล้วว่าวันนี้ข้าจะต้องเอาชีวิตเ้ามาให้จงได้ ให้เ้ารู้ว่าการไม่เคารพต่อองค์ชายแห่งอาณาจักรเว่ยของข้าเป็อย่างไร แล้วก็จะเป็การล้างแค้นให้พลเหล็กกล้าพี่น้องของข้าด้วย!” ทางฝั่งอาณาจักรเว่ย จู่ ๆ เงาร่างหนึ่งลุกพรวดจากที่นั่งแล้วเดินมาหาเย่เฟิง พร้อมพลังพวยพุ่งออกจากร่าง กล้ามเนื้อสีทองแดงเปี่ยมไปด้วยพละกำลังที่พร้อมจะปะทุออกมา
“เป็พลทองแดงหนึ่งในสี่มหาพล ตบะของพลทองแดงบรรลุขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 แล้ว เขาชำนาญในการใช้แรงโจมตี ลือกันว่าพลทองแดงไม่ใช้เคล็ดวิชา แต่แค่กำปั้นเดียวก็มีพลังมหาศาลถึง 150,000 จินแล้ว ถือเป็คู่ต่อสู้ที่หาได้ยากในระดับเดียวกัน!” คนผู้หนึ่งจำตัวตนของคนที่เดินออกมานี้ได้ ซึ่งก็คือพลทองแดงที่มีเื่ทะเลาะกับเย่เฟิงที่นอกตำหนักซวนยื่อ
พลทองแดงนั้นเกลียดเย่เฟิงเข้ากระดูกดำ ตอนนี้เห็นเย่เฟิงพูดจาหยามเกียรติองค์ชายแห่งอาณาจักรเว่ยอีก จู่ ๆ ความโกรธก็ปะทุขึ้นมา ดังนั้นเขาจึงเดินออกมาเพื่อที่จะสั่งสอนเย่เฟิงให้เข็ดหลาบ
“อะไรกัน เ้าอยากสู้กับข้าหรือ?” เย่เฟิงขมวดคิ้วขณะมองพลทองแดงด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม
“อย่าพูดมาก ตายเสียเถอะ!”
อารมณ์ของพลทองแดงเดือดพลุ่งพล่าน เย่เฟิงอยู่แค่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 1 แต่กลับกล้าอวดดีต่อหน้าเขา เขาก็ย่อมต้องทำให้เย่เฟิงเสียใจที่เกิดมาบนโลกใบนี้
เมื่อสิ้นเสียง พลทองแดงเหวี่ยงหมัดโจมตีเย่เฟิงอย่างไม่มีความลังเลใด ๆ พลังมหาศาล 150,000 จินพวยพุ่งออกมา ด้วยการโจมตีก็เพียงพอที่จะสังหารผู้ฝึกยุทธ์ระดับเดียวกันได้อย่างง่ายดายแล้ว
“พลังหมัดของพลทองแดงน่าหวาดกลัวมาก สมแล้วที่เป็ผู้ฝึกยุทธ์ลำดับที่สามในสี่มหาพล ช่างทรงพลังยิ่งนัก ไม่รู้ว่าเย่เฟิงจะรับมือกับพลทองแดงได้กี่กระบวนท่ากัน?” ผู้คนเห็นพลทองแดงเหวี่ยงหมัดโจมตีโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงต่างก็นิ่งอึ้งไป คิดว่าคราวนี้เย่เฟิงต้องตายอย่างแน่นอน
“ไปให้พ้น!”
ดวงตาของเย่เฟิงเผยประกายเย็นเยือก แม้เผชิญหน้ากับหมัดของพลทองแดง แต่เขาก็เหวี่ยงหมัดออกมาเช่นกันโดยไม่มีความลังเลแต่อย่างใด ก่อนทั้งสองหมัดจะเข้าปะทะกัน ตามมาด้วยเสียงะเิดังสนั่น นาทีต่อมาผู้คนเห็นพลทองแดงตัวสั่นสะท้าน พร้อมร่างกระเด็นออกไปกระแทกกับพื้นอย่างแรงจนกระอักเื!
“เ้า... เ้าแข็งแกร่งขนาดนี้ได้ยังไง? หมัดของข้ามีพละกำลังถึง 150,000 จิน แต่ไม่นึกว่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเ้า ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” พลทองแดงกล่าวพร้อมตัวสั่นระริก ในดวงตาฉายแววเหลือเชื่อ รู้สึกว่าตนเจอกับเื่ราวที่คาดไม่ถึง
“มดแมลงจะไปรู้ความทะเยอทะยานของวิหคั์ได้อย่างไรกัน?” เย่เฟิงกล่าวด้วยถ้อยคำดูถูก
“เ้าน่ะหรือจะเป็คู่ต่อสู้ของข้า? ลงมือกับเศษสวะอย่างเ้าทำมือข้าสกปรกไปหมด!” เย่เฟิงเย้ยหยันต่อขณะจ้องมองพลทองแดง
นาทีนี้ทุกคนต่างต้องตะลึงงันขณะมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า และรู้สึกว่าหัวใจสั่นสะท้านไปทั้งดวง
